สงครามดาวศักดิ์สิทธิ์ : อารัมภบท
อารัมภบท
หมู่บ้านแรนเด็งซี่ตั้งอยู่บนขอบของป่าโบราณอายุหนึ่งพันปีในเทือกเขาขินหลิง ตั้งอยู่ในเมืองเปาจิของมณฑลชานซี มันอยู่ในภูมิภาคของภูเขาและลำธารที่มีต้นไม้เรียงรายไปด้วยพืชพรรณสีเขียวชอุ่ม มันเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามและวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายที่ทำให้เมืองนี้เป็นเหมือนเมืองสวรรค์ มันยังโด่งดังไปทั่วทั้งมณฑลชานซีและยังโด่งดังจากวัดแรนเด็งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งสร้างขึ้นในราชวงศ์เหนือและใต้ที่ด้านหลังของภูเขาในหมู่บ้าน
ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว แสงอาทิตย์สาดสะท้อนหมู่บ้านแรนเด็งซี่
ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่ยังคงมีสีเขียวขจีทั่วป่าภูเขาและทุ่งนา ทิวทัศน์อันงดงามนี้ช่างสวยงามราวกับภาพวาดซึ่งทั้งหมดที่เห็นนี้ถ้าใครได้เห็นก็ต้องตะลึงเป็นอย่างมาก
วัยรุ่นหุ่นดีคิ้วหนาและมีตาโตคาบฟางไว้ในปาก เขาหำเพลงขณะที่เดินออกจากโรงฆ่าสัตว์ที่มีแห่งเดียวในหมู่บ้าน และมีกลิ่นเลือดเล็กน้อยติดตัวเขาหลังจากฆ่าหมู เขามีตับหมูสดชิ้นหนึ่งในตะกร้าที่อยู่ในมือของเขา
และวัยรุ่นคนนี้มีชื่อว่า หลี่มู่ เขาอายุ 14 ปีในปีนี้
หลี่มู่เพิ่งจะเรียนจบมัธยมต้นเกียรตินิยมอันดับ 1 จากโรงเรียนในช่วงสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายเดือนกรกฎาคมนี้
หลี่มู่เป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ เขาเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าอาวาสวัดโบราณแรนเด็ง เมื่อตอนเขาเด็กที่วัดมีเพียงเจ้าอาวาสคนเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามเจ้าอาวาสนี้ไม่ใช่พระ แต่เป็นคนแก่ในชนบท
ทั้งคนแก่และคนหนุ่มต่างก็อยู่ด้วยกันในวัดโบราณที่ผุพังนี้
หลี่มู่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนเขาอาศัยอยู่ในวัดแรนเด็งโบราณ เขามักจะดูพระพุทธรูปโบราณและดื่มน้ำพุ เขาได้รับการต้อนรับในหมู่ชาวบ้านเพราะเขามีขนคิ้วหนาและดวงตาโต ในตอนที่เขายิ้มก็ดูน่าดึงดูด เขามักจะกินและดื่มกับเพื่อนบ้านของเขาเมื่อยังเด็ก หรือจะพูดก็คือเขาได้เติบโตขึ้น เพราะหลายครอบครัวในหมู่บ้านช่วยกันเลี้ยงดู
เมื่อเขาอายุได้ 10 ปีหลี่มู่ ถูกปู่บังคับหมูให้เป็นผู้เชือดหมูเพื่อเป็นงานพาร์ทไทม์ในโรงฆ่าสัตว์ของหมู่บ้านและตอนนี้เขาทำงานนี้มาสี่ปีแล้ว
และปู่คนนี้ก็ให้เหตุผลกับหลี่มู่ว่ามันมีประโยชน์สำหรับเขา เพราะมันจะช่วยฝึกฝนให้มีจิตวิญญาณนักฆ่า
"ผมเป็นนักเรียน ม.ต้น ทำไมผมถึงต้องจิตวิญญาณนักฆ่านี้ ... เมื่อผมคิดดูดีๆ ปู่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ"
เมื่อหลี่มู่คิดถึงสิ่งนี้เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อย
หลี่มู่สังหารหมูมากกว่า 100 ตัวในเวลาสี่ปี เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขารู้สึกว่ามันช่างเลวร้ายราวกับว่ามือของเขาเปื้อนเลือด
"โฮ่งโฮ่ง ... โฮ่ง"
นี่เป็นไซบีเรียนฮัสกี้ขาวดำมีดวงตาสีต่างกัน ที่เดินตามเขามา มันอ้วนและน่ารักมาก
หลี่มู่พบสุนัขตัวนี้ที่ประตูโรงเรียนเมื่อสามปีที่แล้ว ในเวลานั้นมันเป็นสุนัขทารกแรกเกิด มันถูกทอดทิ้งและผอมจนแทบจะอดตาย
หลี่มู่เอามันไปที่วัดแรนเด็งโบราณและเลี้ยงไว้จนถึงตอนนี้
และหลังจากผ่านไปสามปีฮัสกี้นี้ก็สูงแข็งแรง ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนสุนัขต้องคำสาปขนาดใหญ่ของหมู่บ้านทำตัวเหมือนเป็นหัวโจกในหมู่สุนัขกว่า 60 ตัวในหมู่บ้านแรนเด็งซี่ มันมักจะพาทีมสุนัขของมันข้ามหมู่บ้านไปทั่วทั้งภูเขาและในป่า แต่โชคดีที่ฮัสกี้นี้ไม่ได้ถูกฆ่าทำเป็นหม้อไฟสุนัข
หลี่มู่เรียกมันว่านายพล
นายพลของเหล่าสุนัขทั้งหลาย
"โฮ่ง." นายพลจ้องไปที่ตับหมูสดที่อยู่ในมือของหลี่มู่ มันเดินน้ำลายไหลด้วยความหิวโหยเดินตามอย่างใกล้ชิดหลี่มู่ไปนี่และนั่น
ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาทีจากโรงฆ่าสัตว์ไปยังวัดโบราณที่ด้านหลังของภูเขา
มันเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามไปตามถนนและพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินก็เหมือนทอง
เมื่อหลี่มู่ได้พบกับชาวบ้านที่กลับมาจากการทำงานในฟาร์มเขามักจะทักทายคนอื่นอย่างกระตือรือร้น
ลุงและป้าเหล่านั้นดีต่อหลี่มู่เสมอตั้งแต่เด็กและปฏิบัติต่อเขาในฐานะญาติของพวกเขาเอง หลี่มู่รู้สึกขอบคุณชาวบ้านที่เรียบง่ายและมีน้ำใจเช่นนี้
เมื่อชาวบ้านเห็นเขาพวกเขาจะตอบด้วยรอยยิ้มเพราะพวกเขาชอบหลี่มู่มาก
พระอาทิตย์กำลังตก
บางคนก็ส่ายหัวและถอนหายใจเมื่อพวกเขาเห็นหลี่มู่และนายพลหายตัวไปตามเส้นทางบนภูเขาในระยะไกล
"ดีจริงแต่ก็น่าเสียดาย หลี่มู่ เรียนเก่ง สมองดี เขาเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดในหมู่บ้านของเราและติดอันดับ 1 ในการสอบเข้าโรงเรียนมัธยม แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ลี่ไม่ต้องการให้เขาเรียนต่อในโรงเรียนมัธยม"
"แน่นอนว่าอาจารย์ใหญ่จากโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองเคยมาที่วัดแรนเด็งด้วยตัวเอง เขาต้องการให้เด็กคนนี้เรียนที่โรงเรียนของเขาฟรีและต้องการให้เขาอยู่ในโรงเรียนหยูหลินด้วยค่าอาหารรายเดือน ... ยังไงก็เถอะอาจารย์ลี่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด"
“ข้าเดาว่าอาจารย์หลี่ต้องการให้หลี่มู่สืบทอดทักษะของเขา”
"ข้าไม่คิดว่าทักษะของอาจารย์หลี่อย่าง ดาราศาสตร์, การฟื้นฟูร่างกาย, การกำจัดปีศาจหรือการจับผีนั้นมีประโยชน์ในสังคมสมัยใหม่นี้และข้าไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ดีสำหรับเด็กชายหลี่มู่ที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ อาจารย์หลี่นั้นเก่งจริง ๆแหล่ะ แต่บางคนก็บอกว่าเขามีอาการป่วยทางจิตและนั่นจะแย่มากถ้าอาการกำเริบ แล้วมันก็จะลำบากหลี่มู่มากเพราะต้องดูแลอาจารย์อย่างดี "
และชาวบ้านเหล่านั้นก็ยังคงคุยกันต่อไปและรู้สึกเสียดายกับหลี่มู่
...
"สวัสดีปู่ผมกลับแล้ว"
เมื่อหลี่มู่เข้ามาทางประตูของวัดเขาก็ทักทายอย่างเสียงดัง
แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆจากปู่ที่อยู่ในสวนข้างหลังห้องทำสมาธิ
หลี่มู่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่นั่น เขาจึงปล่อยให้นายพลวิ่งเล่นของมันไป แล้วหลังจากนั้นก็เดินไปที่ห้องครัว
มีเพียงหลี่มู่และปู่ที่อยู่ในวัดแรนเด็ง ตอนนี้ห้องทำสมาธิเงียบและสงบมาก
ตอนนี้หลี่มู่เสร็จงานแล้วก็กลับมาวัดแรนเด็งเขาจึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาซ่อนตับหมูไว้ในขวดหลังจากที่เข้าไปใน เผื่อเอาไว้เพราะกลัวนายพลจะเข้าไปขโมยมากิน หลังจากนั้นเขาก็ยกน้ำจากบ่อขึ้นมา
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงน้ำออกไปและเริ่มฝึกฝนในที่โล่งบริเวณวัดตามปกติ
โดยสิ่งที่เขาฝึกก็คือ มวยเจนหวู่ และเซี่ยนเที่ยน
และแน่นอนว่าคนที่สอนหลี่มู่ให้รู้จักทักษะทั้งสองนี้ก็คือปู่
ในเวลานั้นที่หลี่มู่เริ่มหัดเดินเขาถูกบังคับให้ฝึกพวกนี้ โดยปู่ มวยเจนหวู่เป็นศิลปะกะการต่อสู้และลูกเล่นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ เซี่ยนเที่ยน เป็นวิธีการหายใจ เขาฝึกฝนมาแล้ว 11 ปีแล้วจนมันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา เขาจะฝึกฝนพวกนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทั้งในตอนเช้าและตอนบ่าย
ตามที่ปู่บอกมามวยเจนหวู่นั้นคือความเป็นอมตะ มันช่วยให้สามารถบดขยี้ภูเขาและทำลายภูผาได้หลังจากที่บรรลุความเชี่ยวชาญผ่านการศึกษาที่ครอบคลุมของสิบแปดรูปแบบของมวยเจนหวู่ อย่างไรก็ตามเซี่ยนเที่ยน มีสิบสองขั้นซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากช่วยให้ผู้ที่สำเร็จสามารถ สร้างกล้ามเนื้อได้ใหม่และต่ออายุกล้ามเนื้อ เมื่อใครก็ตามมาถึงขั้นนี้ได้จะสามารถบินได้อย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาเป็นอมตะ
แต่คำถามก็คือหลีมู่ไม่สามารถแม้แต่จะทุบชิ้นส่วนไม้ได้ ด้วยมวยเจนหวู่ที่เขาฝึกมา 11 ปีแล้วก็ตาม
และปู่ก็มีคำอธิบายของตัวเองสำหรับเรื่องนี้
ตามที่คุณปู่บอกก็คือขณะนี้โลกกำลังอยู่ในช่วงสิ้นอายุขัย นั่นก็เพราะว่าพลังแห่งสวรรค์และโลกกำลังจะหมดไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีพลังในการฝึก และนั่นคือสาเหตุที่เขาไม่สามารถควบคุมทักษะทั้งสองอย่างที่เขาสอนให้แก่หลี่มู่ได้
เขาหาข้อแก้ตัวแบบนี้มาจากไหนกัน?
ช่างเป็นคนโกหกจริงๆ!
แต่หลี่มู่ก็ไม่อยากจะวุ่นวายกับการแฉปู่มากนัก
ที่เขาโกรธยิ่งกว่าก็คือความจริงที่ว่าปู่ยังบังคับให้เขาฝึกแม้ว่ามันไม่มีทางที่จะฝึกฝนจนสำเร็จได้บนโลกนี้
หลี่มู่ดื้ออยู่บ่อยครั้งในช่วงสองสามปีแรกเมื่อเขาอายุห้าหรือหกขวบ อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องร้องไห้กลับไปทุกครั้งที่ดื้อเพราะโดนปู่เฆี่ยนตี ต่อมาพอเขาโตขึ้นและปู่ต้องเปลี่ยนวิธีไปใช้วิธีที่นุ่มนวลแทนถึงจะยอมให้หลี่มู่ทำตามได้ ดังนั้นเขาจึงแกล้งป่วยทางจิตพูดไร้สาระและวิ่งเปลือยกายไปเรื่อยถ้าหลี่มู่ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของเขา ผลที่ตามมาหลี่มู่ไม่สามารถดื้อหรืองอแงได้และต้องฝึกฝนต่อไป
และต่อมาหลี่มู่ก็ชินกับเหตุการณ์แบบนี้
อย่างไรก็ตามหลี่มู่เองก็ยอมรับว่ามันมีประโยชน์ สร้างร่างกายที่ดีขึ้นสุขภาพดีขึ้นในระดับหนึ่งด้วย แม้ว่ามันจะเป็นความฝืนใจ เป็นเวลาสองชั่วโมงทุกวันก็ตาม
เสียงเริ่มดังขึ้นเมื่อเขาฝึกฝน
หลังจากฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเสร็จแล้ว หลี่มู่ก็รู้สึกร้อนไปหมดทั้งตัว
โดยเฉพาะอวัยวะภายในร่างกายที่เขารู้สึกร้อนและแห้งราวกับว่าพวกเขากำลังถูกไฟไหม้ แต่มันก็รู้สึกสะดวกสบายมากด้วยเช่นกัน
และหลี่มู่ก็ชินไปแล้วกับสิ่งนี้
หลังจากฝึกซ้อมในตอนเย็นเขาก็ไปที่ประตูห้องสมาธิที่สนามหลังบ้านและยืนท้าวเอว
"ปู่ อยากกินอะไรมั้ยสำหรับอาหารเย็น ผมฝึกเสร็จแล้วตอนนี้ผมมีตับที่สดจากโรงฆ่าสัตว์ เอารังผึ้งและซุปตับหมูอย่างที่ปู่ชอบรึเปล่า? ... “ หลี่มู่เริ่มทำงานตั้งแต่เขาอายุหกขวบและเขาถูกบังคับให้ทำอาหารโดยปู่ แล้วหลังจากนั้นมาหลี่มู่ก็เป็นคนทำอาหารมาโดยตลอด
"วันนี้เป็นวันสำคัญ ไม่ต้องรีบทำอาหาร ปู่มีอะไรที่สำคัญมากจะบอกแก"
เสียงที่ผิดปกติและดังมากมาจากด้านหลังม่านของห้องทำสมาธิ
"วันสำคัญคือวันอะไร?" หลี่มู่ได้ยินแบบนั้นแล้วเขาจึงคิดอยู่แปปนึงและเกาหัว วันนี้เป็นวันที่ 14 กรกฎาคม 2017 และไม่ใช่วันหยุดราชการหรือวันหยุดทางจันทรคติดั้งเดิมหรือวันเฉลิมพระเกียรติสากล ... วันนี้เป็นวันปกติดังนั้นทำไมมันถึงสำคัญกันนะ?
"นั่งที่หน้าประตูแล้วฟังปู่" มันเป็นเรื่องที่หาดูได้ยากมากที่ปู่จะพูดอะไรจริงจัง "ปู่จะบอกสิ่งที่สำคัญ ฟังอย่างตั้งใจอย่าขัดจังหวะปู่ตอนพูดหล่ะ"
"โอ้วตกลง." หลี่มู่มีข้อสงสัยในใจ แต่เขาก็นั่งลงที่ประตูห้องทำสมาธิ
เขารู้สึกไม่ดีเลยในตอนนี้
เพราะทุกครั้งที่ปู่บอกว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ปู่จะอาการทางจิตกำเริบทันที
แต่ในครั้งนี้เขากับไม่เป็นอะไร...
"จะพูดง่ายๆก็คือ มันจะมีสถานีขนส่งทางอวกาศขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนถูกสร้างขึ้นในภูมิภาคดาวซีเหว่ ซึ่งมีนิกายศิลปะการต่อสู้หลายแห่งตั้งอยู่นอกระบบสุริยะเพื่อให้พวกเขาสะดวกต่อพวกเขาในการพัฒนาส่วนใต้ของกาแลกซี่ อย่างไรก็ตามเส้นทางหลักที่ต้องใช้ผ่านนั้นก็คือโลก นั่นหมายความว่าโลกกำลังจะถูกกำจัดทิ้ง ปู่ต้องพาแกออกไปจากโลกนี้ แต่ก่อนที่แกจะไป ปู่มีอะไรจะบอกแกเพื่อให้คุณคุ้นเคยกับการอยู่ที่นั่นได้อย่างรวดเร็ว ... "และมันก็เป็นเสียงที่พูดของปู่ที่อยู่ในห้องทำสมาธิอย่างแน่นอน
"อะ ... อะไร?"
หลี่มู่มึนงง
"โลกจะถูกกำจัด?"
"ภูมิภาคดาวซีเหว่?"
"และนิกายศิลปะการต่อสู้?"
ตามที่คาดไว้ปู่ก็อาการกำเริบอีกครั้ง
และเห็นได้ชัดเลยว่ามันรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เขาพูดเรื่องไร้สาระออกมา
บางทีถ้าปู่พูดต่อก็คงจะพูดว่า มีเอเลี่ยนจากกาแลกซี่ทั้ง5 มาบุกทางช้างเผือกเพื่อมารุกราณโลกและขโมยแพนด้าก็เป็นได้..
"อืมปู่ หยุดพูดเถอะ ... โอเคผมคิดว่าเราควรจะเลิกสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ แล้วมาสนใจสุขภาพของปู่ก่อนดีมั้ย? บางทีปู่อาจเป็นไข้ ให้ผมไปส่งปู่ที่โรงพยาบาลดีรึเปล่า? " หลี่มู่พยายามทำให้ตัวเองพูดดูจริงใจ
ปัง!
รองเท้าแตะบินออกมาจากห้องทำสมาธิและพุ่งไปที่หัวของหลี่มู่
"ไอ้บ้า บอกว่าอย่าพูดแทรกปู่ไง ตอนนี้การก่อตัวได้เริ่มขึ้นแล้วและเวลามีจำกัด แกไม่ควรพูดไร้สาระ ทำไมแกทำให้ปู่รู้สึกโมโหด้วยห้ะ? เงียบแล้วฟังส้ะ ... " มันเป็นน้ำเสียงที่โกรธจากปู่ ขณะที่เขาแหกปากออกมาจากห้องทำสมาธิ “ปู่ไม่ได้ป่วย! แกมันเด็กที่ยังไม่เห็นโลกภายนอก เพราะฉะนั้นเงียบไปส้ะ!!”
หลี่มู่เช็ดรอยรองเท้าบนหน้าผาก
"ก็ได้ๆ ใจเย็นๆ พูดต่อเลยจะไม่พูดแทรกแล้ว ... " หลี่มู่พูดและสนใจฟังปู่
จากนั้นพูดต่อแบบโกรธๆต่อไป "ให้ปู่พูดสั้นๆ ทุกคนรู้ดีว่านิกายศิลปะการต่อสู้จากภูมิภาคดาวซีเหว่นั้นเลวมาก พวกมันต้องการทำลายโลกโดยตรง แต่พวกมันไม่สามารถทำลายได้โดยไร้เหตุผล พวกมันจึงใช้เรื่องสถานีเดินทางอวกาศมาเป็นข้ออ้าง ... แต่ข่าวดีก็คือการเตรียมการขั้นต้นของการสร้างสถานีเดินทางอวกาศขนาดใหญ่ใช้เวลาพอสมควรและอาจจะนานกว่า 20 ปีตามวิธีการคำนวณบนโลก ... ให้ปู่ส่งแกไปยังดาวที่มีศิลปะการต่อสู้ต่ำ ซึ่งมันจะสะดวกสำหรับแกที่จะฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้นและบางทีแกอาจจะเรียนรู้ศิลปะมวยเจนหวู่และเซี่ยนเที่ยน ได้สำเร็จภายใน 20 ปีก็ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจจะได้รับพลังในการทำลายล้างและค้นหาวิธีการช่วยโลกได้"
"โอเคเลยปู่ ผมเข้าใจแล้วไม่ต้องกังวลไป ผมจะฝึกฝนทักษะทั้งสองที่ปู่ถ่ายทอดมาให้ แต่ไม่ใช่เพื่อโลกนะ ผมทำไปเพื่อคนของหมู่บ้านแรนเด็งซี่ที่แสนดี ... " หลี่มู่คิดว่าอาการของปู่กำเริบหนักมาก จึงจำเป็นต้องคล้อยตามไป
"เอาล่ะ แกเข้าใจก็ดีแล้ว" และปู่ก็พูดเสริมออกมาจากห้องทำสมาธิอีกครั้งว่า "นี่คงเป็นชะตากรรมที่เราอยู่ด้วยกันสินะ แกต้องเป็นอิสระในอนาคต อย่างไรก็ตามปู่จะเตือนแกอีกครั้ง... แกรู้รึเปล่า ว่าอะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับศิลปินศิลปะการต่อสู้เมื่อพวกเขาต้องอยู่อย่างสันโดษท่ามกลางหมู่ดาวหน่ะ?”
เอ่อ... ปู่ถ้าจะอาการหนักมากแล้วจริงๆ
หลี่มู่ไม่รู้จะตอบยังไงดี นอกจากการคล้อยตามปู่ไป
จากนั้นเขาแสร้งทำเป็นคิดอยู่แปปนึงและพูดอย่างจริงจัง "ผู้ที่เป็นศิลปะการต่อสู้ต้องเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นและต้องดิ้นรนเพื่ออนาคตที่ดีไม่ว่าเขาจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม! เขาต้องให้ความสำคัญกับความเที่ยงตรงก่อน เมื่อเขามุ่งมั่นเพื่อชีวิตในโลกนี้และช่วยเพื่อนของเขาที่สูญเสีย เขาจะไม่มีวันหนีความชั่วร้ายแม้ว่าต้องตาย เขาก็พร้อมสู้เพื่อความยุติธรรมโดยไม่ลังเล ... "
ก่อนที่เขาจะพูดจบ
ปัง
รองเท้าแตะตัวอีกข้างบินออกมาจากห้องนั่งสมาธิแล้วชนกับหัวของเขา
"งี่เง่า ... แกลืมสิ่งที่ปู่สอนงั้นหรอ? ทำไมแกถึงพูดว่ายอมสละชีวิตเพื่อความยุติธรรม? มันผิดผิดอย่างยิ่ง! แกทำให้ปู่โกรธอีกแล้วนะ! แกต้องจำไว้ว่าหลักการแรกคือแกจะไม่สามารถชนะได้ถ้าหากอยู่ที่โลก แกต้องรับความพ่ายแพ้ เรียนรู้จุดอ่อนของตัวเอง ... ชีวิตตัวเองนั้นสำคัญ แกต้องอยู่อย่างปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด!"
ปู่โมโหมาก เขารู้สึกผิดหวังอย่างที่หลี่มู่ไม่เคยพัฒนาอะไรเลย
หลี่มู่ไม่รู้จะพูดอะไร
และปู่ก็ยังคงพูดต่ออย่างจริงจัง "ไอหลานรักของปู่ ปู่ได้สอนทักษะทั้งหมดของปู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันยอดเยี่ยมมากในจักรวาล ถึงแม้ว่าปู่จะบังคับแกมาเสมอ แกทำสิ่งต่างๆที่แกไม่อยากทำ อย่างไรก็ตามปู่ทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวแกเองแล้วแกจะเข้าใจว่าทักษะเหล่านั้นมันสำคัญยังไงเมื่อแกไปถึงดาวศิลปะการต่อสู้ระดับล่าง แล้วแกต้องขอบคุณปู่สำหรับทุกอย่างแน่ ... "
เมื่อได้ยินอย่างนี้หลี่มู่ก็นิ่งไปเลย
พูดตามตรงบางทีเขาอาจจะเชื่อแล้วถ้าเป็นคนอื่นพูด แต่นี่เป็นปู่ผู้ที่มีอาการทางจิต
อันที่จริงเขาจะโน้มน้าวให้ปู่ให้เข้าโรงพยาบาลได้อย่างไรกัน? เมื่อเขาป่วยหนักมากขนาดนี้แล้ว...
จากนั้นปู่ก็พูดอีกครั้งว่า "เอาละปู่จะไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อแกอยู่ในโลกที่อิสระ อย่าทำให้ปู่ผิดหวังล่ะ... เข้ามาข้างในนี่มา ตอนนี้ปู่จะส่งแกออกไป"
หลี่มู่หัวเราะคิกคัก
นี่เป็นโอกาสที่ดี
เมื่อเขาเข้ามาแล้ว เขาจะพยายามหาวิธีที่จะเข้าใกล้ปู่และมัดเขาไว้เพื่อส่งเขาไปที่โรงพยาบาล
หลี่มู่เปิดประตูห้องทำสมาธิและเดินเข้ามาทันที
แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลาที่เขาเข้ามา เขารู้สึกตื่นตาในทันทีและมีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ภายหลังม่านมันไม่ใช่โลกจริง หลี่มู่รู้สึกเหมือนกำลังก้าวสู่นรก ในขณะที่เขาก้าวพลาดและเขาจะตกลงไปข้างล่างในทันที จากนั้นมีเสียงกระหึ่มแปลก ๆ อยู่ในหูทำให้เขาไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง ...
“ปู่นี่ร้ายกาจจริงๆ จะต้องบ้าขนาดไหนถึงขุดหลุมลึกลงไปในห้องนั่งสมาธิ ...”
หลี่มู่ร้องไห้ด้วยความเศร้าและความขุ่นเคือง
แต่เสียงของเขาก็หยุดในทันที
ราวกับว่าเขาได้หายตัวไปจากโลกนี้
"ฮ่า ... ข้าทำได้แล้ว ... ใช้เวลากว่า 10 ปีในการสลักดาว 9แถว และเปิดการใช้งานมันด้วยเลือดของข้า เอาล่ะนี่เป็นสิ่งที่เด็กนั่นต้องเจอ ข้าส่งเด็กนั่นไปได้สักที ... อ้า.. ในที่สุดข้าก็สามารถกลับไปได้แล้ว ... เดี๋ยวนะขอข้าปิดการเชื่อมกันของดาวทั้ง 9ก่อน ... อ้า... ข้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ดาวหมดพลังอย่างโลกอีกต่อไป ... "
เสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวของปู่ดังไปทั่วในห้องทำสมาธิ
อย่างไรก็ตามทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังออกมาจากข้างนอกวัดแรนเด็นในตอนนี้
"สวัสดี, นายพล, พี่มู่ อยู่ในห้องนั่งสมาธิรึเปล่า?" เสียงที่ไพเราะของเด็กผู้หญิง
นายพละกำลังส่ายหัวและกระดิกหาง
และมีสาวสวยอายุราวๆสิบสามหรือสิบสี่ตามมาข้างหลัง
เธอเป็นเด็กสาวหุ่นดีและสูงเกือบ 170 ซม. มีผมสีดำหน้าตาดีและผิวสีขาว เธอมักจะยิ้มก่อนที่เธอจะพูด เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวหิมะที่สะท้อนแสงจนแสบตา แม้แต่กางเกงยีนส์ขายาวตรงของเธอก็ยังดูโดดเด่นเธอเป็นคนสวยจริงๆ จนทำให้วัดแรนเด็งเปล่งประกายและมีเสน่ห์เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอ
หลี่มู่จำเธอได้แน่ถ้าเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนี้คือวังฉีหยูซึ่งเป็นตัวแทนการศึกษาในโรงเรียนมัธยมของเขา และยังเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะในโรงเรียนกันอีกด้วย
"โฮ่ง ... โฮ่ง" นายพลกระโดดด้วยความตื่นเต้นและกระดิกหางอย่างมีความสุขมันนำทางให้แก่เธอมายังห้องทำสมาธิ
วังฉีหยูติดตามนายพลมาอย่างใกล้ชิด "สวัสดีพี่มู่ คุณอยู่ในห้องหรือเปล่าคุณเฉินขอให้ฉันมาที่นี่เขาหวังว่าคุณจะเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยม ... "
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาต่อมาเสียงกรีดร้องของหญิงสาวและสุนัขดังขึ้นในห้องทำสมาธิ
จากนั้นเสียงของพวกเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์
ความเงียบกลืนกินก่อนที่ปู่จะพูดขึ้นมา ---
"โอ้ไม่ ... สุนัขโง่ ... อ่าเธอคนนี้ ... เข้ามาที่นี่ได้ยังไง ... ? แย่จริง ข้าไม่มีโอกาสที่จะหยุดพวกเขาเลย เพราะข้าเสียเลือดไปมาก แถมข้ายังเปลี่ยนดาวทั้ง9ไม่เสร็จอีกด้วย ... โอ้ว พระเจ้าหญิงสาวธรรมดาและสุนัขโง่นี้ถูกส่งไปแล้ว แถมเลือดที่มีพลังของข้าก็ได้หายไปหมดเพราะสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าทั้งสองนี้ ... หายนะแล้ว! ข้าจะทำยังไงดีล่ะ การเคลื่อนย้ายนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ข้าจะถูกขังอยู่ที่นี่งั้นหรอ?"
เรื่องนี้มันทำให้คนแก่บ้าคลั่ง
และหลังจากนั้นไม่นานเสียงของปู่ก็ดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาเข้าไปพัวพันในห้องนั่งสมาธิ
"แม่งเอ้ย หมาของเจ้าและหญิงสาวของเจ้าถูกส่งไปด้วยหมดแล้ว ... แกต้องสนุกกับดาวที่ข้าส่งไปแน่ๆ ... แกต้องฝึกฝน เซี่ยนเที่ยนให้สำเร็จเพื่อความสมบูรณ์แบบภายใน 20 ปี เพื่อที่แกทะลายกำแพงแห่งดวงดาว และช่วยข้าออกไปให้ไป ไม่อย่างงั้นข้าจะติดอยู่บนโลกนี้!"