ตอนที่ 260 ปรือกระดูกแปดบวงสรวง (ฟรี)
“จงตายไปซะเจ้าหนู!”
ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมตะโกนขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วโบกมืออันแห้งกร้านของเขาฟาดเข้ามาที่หลงเฉินอย่างหนักหน่วง
ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตปรือกระดูกซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสซุนและผู้อาวุโสจากสำนักต่างๆ พลังกดดันของคนผู้นี้จึงมีผลกับเขามากกว่าผู้อาวุโสของสำนักนรกโลหิตผู้นั้นเป็นอย่างมาก
หากไม่ได้เป็นเพราะว่าหลงเฉินอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบสามไปแล้วก็คงไม่อาจเผชิญหน้ากับพลังกดดันอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้ อีกทั้งแม้แต่จะทำการเคลื่อนไหวร่างกายก็ยังลำบากอย่างยิ่ง
ดาบทลายมารถูกกระชับจนแน่น ในเมื่อมีศาสตราวุธแห่งเทพเล่มนี้แล้ว หลงเฉินก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวต่อการคุกคามของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูก เขาก็พร้อมรับการโจมตีด้วยความกล้าหาญที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“เจ้าสิที่สมควรตายไป”
หลงเฉินตะโกนเสียงดังพร้อมกับสะบัดดาบใหญ่ด้วยสองมือจนเกิดเป็นขุมพลังอันมหาศาลแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ประกายแสงสีทองฟันลงไปทางผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นอย่างหนักหน่วง
“ตูม”
ดาบทลายมารกระทบกับฝ่ามือที่คล้ายกับเป็นอาวุธอันร้ายกาจของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมจนร่างของหลงเฉินลอยกระเด็นออกไปหลายก้าว ทว่าผู้อาวุโสผู้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก ด้วยกระบวนท่าอันหนักหน่วงของหลงเฉินก็ได้ทำให้เขาร่นถอยหลังออกไปมากกว่าสิบก้าว แม้ว่าจะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกก็ยังไม่อาจทานรับพลังการต่อสู้ของหลงเฉินได้
“ปรือกระดูกอย่างนั้นหรือ? หึหึ แท้ที่จริงก็เป็นการเรียกขานของผู้ที่มีกระดูกแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้านี่เอง” หลงเฉินสะบัดแขนไปมาเพื่อคลายอาการชาที่เกิดขึ้นจากการปะทะ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าขอบเขตปรือกระดูกนั้นเป็นเช่นไร
ขอบเขตก่อรวม ก่อโลหิต เปลี่ยนเส้นเอ็น และปรือกระดูก ในส่วนของขอบเขตสามระดับแรกนั้นเป็นการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของโลหิต ขอเพียงเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้ก็ทำให้กระดูกแข็งแกร่งขึ้นมาจนสามารถแสดงพลังอันมหาศาลที่แท้จริงของร่างกายออกมาได้อย่างเต็มที่
ทว่าที่หลงเฉินยังไม่ทราบนั้นก็คือยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตปรือกระดูกนั้นได้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและพลังอันมหาศาลเพื่อที่จะเสริมสร้างส่วนของกระดูกทั่วทั้งร่างกายขึ้นมา ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ในสำนักปลายแถวอย่างสำนักนรกโลหิตเหล่านั้นเป็นเพียงการเสริมสร้างกระดูกแค่ท่อนเดียวเท่านั้น
เพราะถ้าหากฝึกมากไปกว่านี้จะทำให้สำนักของพวกเขาแบกรับภาระอันหนักอึ้งจนเกินไป แน่นอนว่าสำนักปลายแถวอย่างพวกเขาย่อมไม่มีทรัพยากรหรือเงินทองมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ พรสวรรค์ที่พวกเขามีนั้นเป็นความธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุด หากเสริมสร้างกระดูกเพิ่มขึ้นก็แต่จะสิ้นเปลืองพลังและเรี่ยวแรงไปโดยเปล่าประโยชน์
และโดยส่วนมากแล้วเหล่ายอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกมักจะเลือกเสริมสร้างกระดูกส่วนปลายแขนก่อน เนื่องจากพวกเขาชมชอบที่จะใช้ร่างกายส่วนนี้เป็นเสมือนอาวุธชิ้นหนึ่ง เพราะกระดูกท่อนนี้สามารถใช้พลังทั้งหมดภายในร่างกายมารวมไว้ได้ อีกทั้งยังโจมตีได้แม่นยำและคมกล้ามากยิ่งขึ้น
ส่วนผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมที่หลงเฉินกำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ก็คล้ายกับผู้อาวุโสซุนที่เป็นชนชั้นผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ พวกเขาเหล่านี้มีการเสริมสร้างกระดูกที่มากถึง ‘แปดบวงสรวง’ นั่นก็คือกระดูกแขนส่วนต้นและส่วนปลายทั้งสองข้าง และกระดูกขาส่วนต้นและส่วนปลายทั้งสองข้างนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ขอบเขตปรือกระดูกจึงใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากเพื่อจุนเจือการเสริมสร้างกระดูกในแต่ละท่อน การเสริมสร้างกระดูกท่อนต่อๆ ไปก็จะต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าท่อนก่อนหน้านั้นกว่าเท่าตัวเป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว
ด้วยการล้างผลาญจนน่าหวาดกลัวเช่นนี้ย่อมทำให้สำนักใหญ่ต่างๆ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉะนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องส่งศิษย์ที่จะเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกบางส่วนไปยังสาขาลี้สวรรค์เพื่อทำการฝึกฝนตัวเอง ส่วนคนที่เหลือก็จะต้องปฏิบัติภารกิจเหมือนกับศิษย์พี่ว่าน นั่นก็คือการเป็นผู้คุมกฎของสำนักเพื่อทำการเก็บแต้มคะแนนไปเป็นต้นทุนในการเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกด้วยตัวเองนั่นเอง
“ชิ ข้าจะเห็นแก่ที่เจ้าสามารถรับหมัดของข้าได้อยู่หลายครั้งโดยการรวบรัดการตายให้แก่เจ้า เพราะภายใต้เงื้อมมือของผู้อาวุโสเช่นข้าแล้วย่อมเห็นเจ้าเป็นเพียงเห็บหมัดตัวหนึ่งเท่านั้น”
ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมกล่าวขึ้นมาด้วยนำเสียงราบเรียบ ทว่าภายในจิตใจของเขากลับแตกตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย พลันก็พุ่งหมัดไปทางหลงเฉินอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่คมหมัดกำลังพุ่งออกไปยังเบื้องหน้า ชายชราก็ได้ปะทุพลังจนบรรยากาศโดยรอบร้อนระอุขึ้นมาไม่หยุด พื้นดินใต้ฝ่าเท้าเกิดการสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง
หลงเฉินเองก็สัมผัสได้ว่าพลังสภาวะทุกหนแห่งเป็นพลังกดดันจนทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก ภายในทรวงอกอัดแน่นจนคล้ายกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกที่มีชีวิตอยู่บนโลกหล้าใบนี้มาเนิ่นนานจนเป็นเฒ่าชราไปแล้ว ทว่ากลับลงมือกับผู้ที่อยู่ขอบเขตก่อโลหิตตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งได้อย่างหน้าชื่นตาบาน เหอะ มีสิ่งใดให้น่าโอ่อวดกับลูกหลานกันเล่า?
“มารดาเจ้าเถิด”
หลงเฉินตะโกนเสียงดังอย่างเย็นชาแล้วกระตุ้นพลังลมปราณภายในจุดดารากักวายุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ไหลเวียนลมปราณภายในร่างกายเข้าสู่ดาบทลายมารในมืออย่างรวดเร็ว
“หึ่ง”
เมื่อพลังลมปราณทั้งหมดเข้าสู่ดาบทลายมารแล้วก็คล้ายกับคมดาบมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังเกิดเสียงของการสั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างบ้าคลั่ง บนคมดาบปรากฏร่องรอยประหลาดทอประกายแสงสว่างขึ้นมาราวกับมีบางอย่างเวียนว่ายอยู่ในนั้นไม่หยุด
“ตูม”
ดาบทลายมารกระแทกกับท่อนแขนของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเสียงระเบิดที่ดังเสียนิ่งกว่าการโจมตีครั้งที่แล้วมา ผืนดินและผืนฟ้าโดยรอบสั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างรุนแรงจนผู้คนมากมายเกิดอาการแตกตื่นไปตามๆ กัน
หลงเฉินและผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมกระโดดออกจากแรงปะทะอย่างพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชรามีอาการปากอ้าตาค้างขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เนื่องจากเมื่อครู่นี้เขาได้ทุ่มเทพลังที่มีอยู่ทั้งหมดโจมตีออกไปทว่ากลับถูกหลงเฉินทานรับเอาไว้ได้อีกครั้ง
หลงเฉินกระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าภายในร่างกายกลับมีโลหิตไหลย้อนขึ้นมา มุมปากมีสายโลหิตรินไหลออกมาเป็นสาย ชิ เฒ่าผีผู้นี้แข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว
“ทุกคน เข้าไปป้องกันหลงเฉินเอาไว้” ถู่ฟางตะโกนเสียงดังท่ามกลางวงต่อสู้ที่ชุลมุน
เดิมทีถู่ฟางได้ตั้งจิตสมาธิอยู่ที่การต่อสู้กับเฒ่าประหลาดเนตรมารแล้วหลังจากที่หลงเฉินสามารถสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมที่เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตลงได้ ภายในจิตใจก็นึกคิดไปว่าศึกในครั้งนี้จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ขอเพียงเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายธรรมะสามารถขัดขวางผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมเหล่านี้เอาไว้ได้ก็ย่อมไม่เป็นปัญหา
ทว่าการปะทะกันของหลงเฉินและผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนภายในสนามรบจนถู่ฟางต้องหันกลับมาแล้วก็พบว่าหลงเฉินกำลังเผชิญหน้าอยู่กับยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงอยู่ เขาจึงเกิดอาการวิตกกังวลจนเรียกขานให้ผู้คนเข้าไปสนับสนุนหลงเฉินโดยเร็ว
ต่อให้หลงเฉินเป็นอี้ซู่แห่งฟ้าดินที่ไม่อาจตายได้ด้วยเงื้อมมือของคนผู้นี้ ทว่าก็ไม่ได้หมายความหลงเฉินจะชนะ และหากหลงเฉินถูกฝ่ายอธรรมจับไปเป็นเชลยแล้ว ศึกครั้งใหญ่นี้ก็คงจะต้องเกิดการพลิกพลันอย่างถึงที่สุดแน่นอน
เสียงของถู่ฟางดังสะท้อนไปทั้งหุบเขา จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ก็เร่งฝีเท้าเข้าไปหาเห็นหลงเฉินอย่างร้อนรน ชายชรามากมายต่างก็ระเบิดพลังทั้งหมดออกมามุ่งหน้าไปทางผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงของฝ่ายอธรรมอย่างบ้าคลั่ง
“ฮาฮาฮา คิดจะเข้ามาช่วยเขาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด”
ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา พลันก็ปะทุพลังสภาวะจนร่องรอยประหลาดบนแขนทั้งสองข้างเกิดเป็นประกายแสงเจิดจ้าอยู่หลายสาย
“เจ้าหนู เจ้าไม่ทราบเลยหรือว่าขอบเขตปรือกระดูกที่แท้จริงนั้นมีความน่ากลัวมากเพียงใด ฉะนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเป็นบุญตาเอง ให้เจ้าได้ทราบพลังจากร่างกายที่บวงสรวงกระดูกไปแล้วแปดท่อน!”
ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมแผดเสียงตะโกนขึ้นมาด้วยความสะใจ อาภรณ์ยาวที่ปกคลุมทั้งแขนและขาฉีกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ปลิวว่อนไปกลางอากาศจนเผยให้เห็นผิวหนังที่มีรอยประหลาดคล้ายกับโครงกระดูกออกมา
พื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าของคนผู้นั้นแหลกละเอียดไปในพริบตา พลังสภาวะมหาศาลพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าเบื้องบน เพียงครู่เดียวก็ได้กลายเป็นขุมพลังอันน่าหวาดกลัวที่อยู่ในขีดสูงสุด
หลงเฉินจ้องมองไปยังเงาร่างของชายชราผู้นั้นอย่างไม่วางตา ภายในจิตใจเกิดอาการเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่ายอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงนั้นจะมีพลังสภาวะที่ท่วมท้นจนน่ากลัวมากถึงเพียงนี้
และที่หลงเฉินยังไม่ทราบก็คือเมื่อใดที่ยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกผู้หนึ่งได้ฝึกฝนจนเข้าสู่ ‘สี่บวงสรวง’ แล้วก็จะสามารถใช้ท่อนแขนและขาเป็นศาสตราวุธที่แข็งแกร่งได้ อีกทั้งยังมีพลังความสามารถของคนผู้นั้นกักเก็บเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย
หลังจากที่ปลดผนึกแปดบวงสรวงแล้ว บรรยากาศบนร่างกายของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พลังสภาวะที่แข็งแกร่อย่างไร้ที่เปรียบหลั่งไหลออกมาจนทำให้ผู้คนมากมายเกิดอาการสั่นเทาอย่างรุนแรง ฝีเท้าของชายชรามุ่งเข้ามาหาหลงเฉินพร้อมกับวาดกรงเล็บอันแห้งกร้านเข้ามาราวกับหมายที่จะปลิดชีพหลงเฉินในครั้งเดียว
แม้ว่าชายชราผู้นั้นจะอยู่ห่างจากหลงเฉินหลายสิบจั่ง ทว่าหลงเฉินก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของชายผู้นั้น ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาเกิดอาการหนาวเหน็บขึ้นมาจนถึงกระดูก พลังทำลายขุมนั้นกดดันจนหลงเฉินหายใจได้อย่างยากลำบากราวกับว่าร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะต้องตายตกไปอย่างไม่ต้องสงสัย รีบตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมดีกว่า”
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก พลังลมปราณที่อยู่ในจุดดารากักวายุหยุดชะงักลงไปในทันที จากนั้นสภาวะแปลกประหลาดที่น่าหวาดกลัวขุมหนึ่งก็ปะทุขึ้นมาจากร่างกาย ให้ความรู้สึกคล้ายกับเป็นสัตว์โบราณที่แสนจะดุร้ายได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น
“กายาศึกกักวายุ——เบิก!”
หลงเฉินแผดเสียงร้องทุ้มต่ำขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด ดวงตาคู่คมปรากฏเป็นแสงสว่างวาบของดวงดารา พื้นดินอันกว้างใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแหลกระเบิดจนกลายจุลไปในพริบตา ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าที่สูงหลายหมื่นจั่งจนทำให้เมฆหมอกกระจายตัวไปคนละทิศทางอย่างวุ่นวาย
อาภรณ์พลิ้วไหวไปพร้อมกับเส้นผมที่ลอยระบำตามกระแสลมกรรโชก บรรยากาศของสัตว์โบราณเก่าแก่ปกคลุมอยู่รอบกายของหลงเฉินจนเกิดการสั่นไหวไม่หยุด ผู้คนมากมายมองไปยังหลงเฉินที่คล้ายกับเป็นเทพสงครามลงมาจุติบนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
แววตาที่ทอประกายแสงสว่างจากดวงดาวจ้องมองที่ยังฝ่ามือของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรม ดาบใหญ่ที่อยู่ในมือมี อักขระปรากฏขึ้นมาตามคมดาบแล้วกวาดไปทางผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมอย่างรุนแรง
“ตูม”
ดาบทลายมารปะทะกับฝ่ามือที่เปี่ยมไปด้วยร่องรอยประหลาดบางอย่างของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วทุกสารทิศ สายลมกรรโชกแรงจนกลายเป็นวังวน ผืนดินเบื้องล่างแตกระแหงออกเป็นเสี่ยงๆ จนศิษย์ฝ่ายอธรรมมากมายที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายลี้ถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผงไปในทันที
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เฒ่าประหลาดเนตรมารตกใจขึ้นมายกใหญ่ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยว่าเจ้าหนูผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งจะสามารถต้านทานกระบวนท่าของยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกแปดบวงสรวงได้ เกรงว่าหยินหลอที่เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ประหลาดคนแรกในรอบพันปีของฝ่ายอธรรมก็ยังไม่อาจเทียบชั้นได้เลย
เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็ถึงกับสะท้านไปทั่วทั้งปฐพี เมฆาบนฟากฟ้าแหวกออกไปคนละทิศทาง การต่อสู้อันวุ่นวายท่ามกลางสนามรบต่างก็หยุดลงกะทันหัน สายตาทุกคู่จับจ้องมายังหลงเฉินที่กำลังอยู่ในท่วงท่าของเทพแห่งสงครามผู้ที่เปี่ยมไปด้วยสภาวะไร้ผู้ต้าน
แม้แต่หยินหลอและม่อเนี่ยนที่กำลังต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งในบริเวณที่ห่างไกลออกไปเป็นอย่างมากก็ยังต้องหันไปมอง มุมปากของม่อเนี่ยนปรากฎรอยยิ้มประหลาดขึ้นมา ไม่แปลกใจเลยที่ชายหนุ่มผู้นั้นมีบรรยากาศบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแผ่ออกมา แท้ที่จริงแล้วก็เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ เหอะ ปกปิดความลึกล้ำที่แท้จริงเอาไว้ได้อย่างมิดชิดเลยนะ
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาถึงได้เลิกหมวกคลุมศีรษะลงแล้วเอ่ยนามของตัวเองออกไป นั่นก็เป็นเพราะเขาให้เกียติต่อยอดฝีมือผู้หนึ่งซึ่งมีน้อยคนนักที่จะได้รับ
ส่วนหยินหลอเองก็ได้มองไปทางหลงเฉินด้วยเช่นกัน ทว่ากลับเป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยรังสีสังหาร หอกยาวสีทองกระชับแน่นหมายที่จะพุ่งออกไปหาหลงเฉินในทันที ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากจะเป็นคนปลิดชีพของหลงเฉินด้วยตัวเอง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นแค่ของว่างอย่างนั้นหรือ เหอะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจำทำให้เจ้าเลิกออมแรงเอง” ม่อเนี่ยนกู่ร้องด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พลันก็มีปีกนกโปร่งใสปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของเขา ปีนนกผืนนั้นยาวถึงสามจั่ง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณที่ไหลเวียนไปมา ดูไปแล้วช่างงดงามคล้ายกับม่านน้ำฉากหนึ่ง
และทันทีที่ปีกนกโปร่งใสผืนนั้นเหยียดสยายออก บรรยากาศบนร่างกายของม่อเนี่ยนก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง คันธนูยาวสีรุ้งถูกยกขึ้นมาพร้อมกับสาดประกายคมศรสีทองขึ้นมานับพันสายลอยละล่องเข้ามาที่หยินหลออย่างรวดเร็ว
หยินหลอทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาแล้วกวาดคมหอกออกไปทางด้านหน้าอย่างร้อนรน พลันก็มีเงาร้ายสีทมิฬอันเย็นเยียบปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา
นับตั้งแต่ที่แยกตัวออกมาจากสนามรบ ทั้งหยินหลอและม่อเนี่ยนต่างก็ต่อสู้แบบหยั่งเชิงกันมาโดยตลอด เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นยอดฝีมือที่มีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากลงมืออย่างไม่ระมัดระวังก็คงจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
ทว่าช่วงเวลาเช่นนั้นได้ล่วงเลยผ่านมานานจนเกินไป ถึงเวลาที่ความอดทนทั้งหมดจะต้องถูกระเบิดออกมาเป็นพลังอันมหาศาลที่ไร้ผู้ต้านแล้วเข้าสู่การต่อสู้ที่แท้จริงกันเสียที
ดาบทลายมารและฝ่ามือของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ตายซะเถิด”
.
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 772 แล้วครับ)