บทที่ 2: ชนชั้นที่แตกต่าง
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
สารบัญ จอมมารสะท้านภพ (เรื่องใหม่)
••••••••••••••••••••
บทที่ 2: ชนชั้นที่แตกต่าง
......
พื้นที่ด้านหลังของภูเขาอยู่ข้างๆเมือง ถ้าหากเดินไปตามแนวของรั้วเรื่อยๆจนสุดทางจะพบกับบ้านของโม่ฝานซึ่งอยู่ตรงสุดขอบถนน
มันเล็กมาก เล็กกว่าครึ่งของครึ่งและครึ่งของบ้านอื่น มันถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐแดงที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความเก่าแก่ อีกทั้งรอบบ้านยังมีกองขยะมากมาย
ในขณะที่เพื่อนบ้านของเขานั้นมีขนาดสามชั้นครึ่ง พร้อมด้วยการตกแต่งซ่อมแซมอยู่เสมอจึงทำให้บ้านของโม่ฝานยิ่งดูแย่มากกว่าเดิม
“เฮ้ โม่ฝาน กลับมาแล้วหรอ ฉันมีข่าวดีจะบอกด้วย!” ในขณะที่เขาเปิดประตูออกก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาราวกับลิงโลด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ชื่อของเขาคือจางหู่ ซึ่งเป็นเด็กของหมู่บ้านนี้ เขาเติบโตมาพร้อมกับโม่ฝาน
“ข่าวดีอะไรเหรอ?” โม่ฝานถาม
“เจ้าหญิงน้อยกลับมาแล้ว ฉันเห็นเธออยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ พูดจริงๆว่าเธอสวยมาก เรียกว่าเป็นนางฟ้าก็ย่อมได้!” จางหู่กล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
โม่ฝานมองไปที่สุดถนนและเห็นภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คฤหาสน์ที่สวยงามหลังนั้นสร้างความอิจฉาให้กับผู้คนในเมืองอย่างมาก ทุกตารางนิ้วของมันเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาชนิด ความสวยงามของมันเรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง!
แต่อย่างไรก็ตามความสวยงามเหล่านั้นถูกล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กขนาดสูงใหญ่
เขานึกถึงวัยเด็กของเขาที่เมื่อก่อนเข้าไปเล่นภายในภูเขาลูกนั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นมันยังไม่มีรั้วเหล็ก
บนยอดของภูเขานั้นมีอาคารก่อสร้างมากมายสไตล์ยุโรป ซึ่งมันสวยงามมาก ในสายตาวัยเด็กตอนนั้นราวกับว่าพวกเขากำลังวิ่งเล่นอยู่ในปราสาทของเทพนิยาย อีกทั้งความสวยงามของเจ้าหญิงน้อยที่มักจะแอบออกมาเล่นกับเขาเสมอนั้นทำให้พวกเขาแทบจะลืมหายใจ
เขาจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ภูเขาลูกนั้นสร้างรั้วเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมา ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่ภูเขาลูกนั้น เด็กหญิงที่เคยเล่นเป็นเจ้าหญิงในวัยเด็กของพวกเขา ในตอนนี้เธอกลายเป็นเจ้าหญิงในปราสาทอย่างแท้จริง ทุกคนค่อยๆเติบโตและห่างหายกันออกไปในที่สุดตามกาลเวลา
“นายรู้ไหม ฉันได้ยินมาว่าเจ้าหญิงน้อยนั้นเป็นหนึ่งในนักเวทย์ห้าอันดับแรกของโรงเรียนจักรพรรดิ เธอเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ธาตุน้ำแข็ง อีกทั้งเธอยังสามารถปลดปล่อยเวทย์น้ำแข็งได้ก่อนอายุสิบห้าเสียอีก!” จางหู่กระซิบกับโม่ฝานอย่างลับๆ
โม่ฝานตะลึงไปชั่วขณะ ถ้าหากจางหู่บอกว่าเธอสามารถเป็นนักกีฬาโอลิมปิกได้ เขาก็คงจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่นี่มันแตกต่างออกไป นักเวทย์น้ำแข็งนั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกินกว่าจะคาดเดาได้!
คนส่วนใหญ่นั้นได้เข้าโรงเรียนเวทมนตร์ในช่วงอายุสิบหกปี และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทุกคนจะได้สัมผัสกับมันจริงๆ นับว่าเป็นเหตุการณ์ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต
แต่ทว่าหลังจากที่ได้รับการปลุกพลังเวทย์แล้วไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นนักเวทย์ได้ พวกเขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนักแม้ว่าจะมีหนังสือมากมายให้ศึกษา แต่ถ้าหากไม่เรียนรู้มัน ก็จะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลย แต่สำหรับเจ้าหญิงไม่เป็นเช่นนั้น นางสามารถใช้มันได้ก่อนที่จะอายุสิบห้าด้วยซ้ำ!
ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้สามารถเรียกว่าเธอเป็นอัจฉริยะหรือไม่? นี่มันคือเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเวทมนตร์แล้ว!
“โม่ฝาน เมื่อวันหนึ่งนายแข็งแกร่งมากขึ้น นายจะต้องได้ครองคู่กับเจ้าหญิงผู้ไร้เดียงสาคนนั้นอย่างแน่นอน โอ้ ช่างเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบสุดๆ ฉันอิจฉาจริงๆ!” จางหู่กล่าวออกมาด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่และพูดไปเรื่อยเท่านั้น” โม่ฝานตอบกลับอย่างไม่แยแส
โม่เซี่ยจิงนั้นยืนฟังเด็กหนุ่มทั้งสองพูดคุยกันถึงความหลังอย่างเอ็นดู จากนั้นเขาเดินมาพร้อมกับตบบ่าโม่ฝานเพื่อเรียกเข้าบ้าน
หลังจากที่เข้ามาในบ้านแล้ว โม่เซี่ยจิงกล่าวออกมา “อ่า เดี๋ยวพ่อจะออกไปข้างนอกสักพักนะ เดี๋ยวกลับมา”
“อื้อ”
......
โม่เซี่ยจิงออกไปด้านนอกอย่างเร่งรีบ จากนั้นโม่ฝานเดินไปรับๆบ้านของเขาและพบว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งโดยรอบและตัวบ้านของเขา
โลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ความขมขื่นของเหล่าคนยากจนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ทำไมครอบครัวของเขาจึงไม่ถูกเปลี่ยนดั่งเช่นคฤหาสน์นั้น? พระเจ้าสร้างโลกใบใหม่นี้ด้วยเวทมนตร์ แต่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้เขาสักหน่อยเลยงั้นเหรอ?
ในขณะที่เขานั่งด้วยอารมณ์ที่เบื่อหน่ายอยู่ภายในบ้าน โม่ฝานรู้สึกว่าเขาควรจะออกไปด้านนอกเพื่อรับรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง
ในขณะที่เขาเดินออกมาเรื่อยๆ เขาพบรถกระบะคันเก่าของพ่อตนเองจอดอยู่ริมถนน
พ่อของเขาขับรถเข้ามาภายในภูเขาที่มีรั้วเหล็กสูงที่นี่ทำไมกันนะ? จากนั้นโม่ฝานได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาจากประตูรั้ว
“เซี่ยจิง สิ่งที่แกพูดออกมามันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ? แกควรจะรู้ดีว่าฉันน่ะไม่มีความบาดหมางอะไรกับแกมาก่อน แต่สิ่งที่ลูกชายของแกทำไว้ มันทำให้ฉันหมดความอดทน ในตอนนี้ฉันก็ยังเหลือบ้านของแกไว้โดยที่ไม่ซื้อคืน ถ้าเป็นบ้านหลังอื่นแน่นอนว่าฉันคงไม่ปล่อยไปแน่ๆ” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“มู่เห่อ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันมาขอความช่วยเหลือ ตอนนี้ฉันต้องการเงินเพื่อที่จะส่งลูกชายเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมเทียนหลาน ฉันรู้สถานะของครอบครัวฉันดีว่าฉันไม่สามารถจ่ายได้ไหว” โม่เซี่ยจิงกล่าวออกมาพร้อมกับคุกเข่าลง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าแกจะทุ่มเทเพื่อลูกชายที่เหลวไหลอย่างนั้นเพื่ออะไร? เขาไม่มีความสามารถที่จะสอบเขาด้วยตนเองด้วยซ้ำ เขาควรจะชดใช้กรรมที่เขาได้ก่อเอาไว้เท่านั้น อีกทั้งในตอนนี้เขาก็อายุสิบหกปีแล้ว ถ้าหากฉันช่วยเหลือให้เขาสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเทียนหลานได้ แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถจะผลักดันตนเอง เขาก็ไม่สามารถเป็นนักเวทย์ได้ มันไม่ง่ายนะหนทางข้างหน้าสำหรับเด็กเหลวไหลอย่างนั้น เขาทั้งไม่มีพรสวรรค์ ไม่ฝึกฝน อีกทั้งหนังสือมากมายเกี่ยวกับทักษะเวทมนตร์ไม่ใส่สิ่งที่แกจะสนับสนุนเขาได้เลย เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้เขาจะไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนที่แท้จริงได้” ชายที่ชื่อมู่เห่อกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด แต่โม่ฝานที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง
“ในตอนนี้เขาต้องการจะเรียนจริงๆ มู่เห่อได้โปรดช่วยฉันสักครั้ง ถ้าหากคำขอครั้งนี้ของฉันเป็นจริง พวกเราจะย้ายออกจากบ้านทันทีเพื่อให้ตระกูลมู่สบายใจ อีกทั้งฉันให้สัญญาว่าบุตรชายของฉันจะไม่ลักลอบไปพบกับมู่หนิงเซวียแน่นอน” โม่เซี่ยจิงกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
“โอ้ เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจจริงๆ”
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะย้ายออกไปจากพื้นที่ มู่เห่อนั้นรู้สึกสนใจบทสนทนาเล็กๆนี้ขึ้นมาทันที
......
ด้านนอกของกำแพง เด็กหนุ่มกำลังยืนพิงกำแพงเพื่อฟังบทสนทนาเหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ ภายในใจของเขาเกิดคำถามมากมาย
แม้ว่าโลกของเขาจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์หลายๆสิ่งนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรเลย… ที่เปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกัน ตระกูลมู่ผู้มั่งคั่งนั้นก็ยังอยู่ในจุดสูงสุดของเมืองนี้ พ่อของเขาเป็นเป็นคนตัวเล็กๆที่ต้องร้องขอความช่วยเหลือผู้อื่นไปทั่ว แต่สิ่งนั้นคือมู่เห่อนั้นเป็นคณบดีของโรงเรียนมัธยมเทียนหลาน เพียงแค่เขาพูดออกมาคำเดียว โม่ฝานก็จะสามารถเข้าเรียนที่นั่นได้อย่างง่ายดาย!
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินว่าโม่เซี่ยจิงยอมที่จะย้ายออกไป เช่นนั้นมู่เห่อรู้สึกอารมณ์ดีอย่างยิ่งพร้อมกับตอบรับว่าจะช่วยเหลือบุตรชายของเขา
ทั้งสองจบบทสนทนาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วเขายอมช่วยเหลือโม่เซี่ยจิงเพื่อให้บุตรชายได้เข้าเรียน โม่เซี่ยจิงขอบคุณเขาอยู่อย่างนั้นโดยยังไม่ลุกขึ้น เมื่อจบธุระแล้วมู่เห่อออกไปพร้อมกับรถหรู ทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบอบอวลท่วมรถกระบะคันเก่าของมู่เซี่ยจิง
โลกแห่งความจริงนั้นโหดร้ายเสมอ โม่ฝานได้แต่ยืนแบกความหนักอึ้งของจิตใจดูที่ด้านข้างของกำแพง เห็นได้ชัดว่าสถานะของครอบครัวเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย อีกทั้งความต้อยต่ำของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง
ความจริงนั้นยุคสมัยนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากแล้ว แม้แต่ผู้ที่ต้อยต่ำที่สุดก็ไม่จำเป็นจะต้องคุกเข่าให้กับความร่ำรวยอีกต่อไป แม้ว่าสถานะของเขาจะเป็นเพียงคนรับใช้หรือแรงงาน ก็ไม่จำเป็นต้องลดตัวทำเช่นนั้น แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งยังคงเป็นเช่นเดิม บุคคลที่ร่ำรวยสามารถทำอะไรก็ได้ เพียงแค่พวกเขามีเงิน จะชี้เป็นหรือชี้ตายกับใครก็ย่อมได้
นับตั้งแต่จำความได้ เขาเกิดมาในครอบครัวระดับต่ำที่สุดและถูกกดขี่โดยตระกูลมู่เสมอ
ความอึดอัดกำลังถาโถมจิตใจของเขาอย่างหนักหน่วง กำปั้นที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจนั้นทุบลงบนกำแพงอย่างไร้หนทาง
“ตระกูลมู่งั้นเหรอ? พวกแกหลอกลวงฉันมาตั้งแต่เด็ก กดขี่พวกฉันมาเสมอ!”
“ถ้าหากวันหนึ่งฉันสามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ แน่นอนว่าฉันจะกลับมาเอาคืนเป็นร้อยเท่า ไม่สิพันเท่าต่างหาก!”
…..