GE282 โชคชะตาหวนคืน [ฟรี]
ค่ำคืนผันผ่าน สายลมเย็นพัดโชย
หนิงฝานบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้ว่านเอ๋อร์ฟังทุกเหตุการณ์ ทั้งความเป็น ความตาย ทะเลโลหิตที่ก้าวฝ่า
ว่านเอ๋อร์ตั้งใจฟังเรื่องราวของหนิงฝาน สีหน้าแปรเปลี่ยนหลากหลายไปตามอารมณ์
นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานต้องฝันฝ่าอุปสรรคมามากมาย
“ตะวันสาดส่อง ชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปที่ข้าดำเนินในตระกูลหนิงมาจนถึงอายุ 16 ปี ข้าและน้องชายวาดฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ… แต่พวกข้าไม่อาจเลือกหนทางได้ นายน้อยแห่งตระกูลหนิง หนิงเทียนทำร้ายหนิงฝาน และขายหนิงฝานให้กับโจร กระทั่งพวกโจรนำข้าไปขายให้กับนิกายแห่งในแคว้นเยว่ ข้ากลายเป็นกระถางขัดเกลาของที่นั่น ถูกเหล่าสตรีมากมายช่วงชิงแก่นหยางในร่างจนแทบเอาชีวิตไม่รอด”
หนิงฝานบอกเล่าเรื่องราวอย่างสงบ ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของคนอื่น ไร้ซึ่งความแค้นและเกลียดชัง เพราะยามนี้ คนเหล่านั้นได้หายไปจากโลกนี้แล้ว เขาเองก็บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณแล้วด้วย
ว่านเอ๋อร์ที่ได้ฟังไม่อาจสงบใจ นางกำหมัดแน่นด้วยความแค้น นางจะไปจัดการพวกมันทิ้งให้หมด
หนิงฝานในอายุ 16 ปีเป็นเพียงคนธรรมดา แต่หลังจากนั้น เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ทรงพลัง
“แต่มีสตรีนางหนึ่งมาช่วยข้าไว้ถึงสองครั้ง นางชื่อจื่อเฮ่อ หากไม่ได้นาง ข้าคงตายไปแล้ว...” เมื่อพูดถึงจื่อเฮ่อ แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนซับซ้อน มีความทั้งความสุข ความเศร้าเสียใจ และความคิดถึงปะปนกันไป
“จื่อเฮ่อ...” ว่านเอ๋อร์รู้ว่าจื่อเฮ่อเป็นคนที่สำคัญกับหนิงฝานมาก แม้นางจะรู้ว่าหนิงฝานสมควรมีสตรีข้างกาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงฝานเล่าให้นางฟังด้วยตัวเอง
“นางเป็นคนยังไง?” ว่านเอ๋อร์กล่าวถามอย่างอ่อนโยน
“เป็นคนเบาปัญญา… แต่เป็นคนเบาปัญญาที่ข้าจะไม่ยอมให้นางได้รับอันตราย… นางไม่ชอบการต่อสู้ นางไม่ชอบการฝึกฝนขัดเกลา นางเพียงอยากใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ… แต่จริงๆแล้วนางยิ่งใหญ่กว่านั้น นางคือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ในแดนสวรรค์ นางใช้ชีวิตอย่างสงบในสวนสมุนไพร แต่สุดท้าย ผู้ทรยศก็ทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนไป เพราะนางถูกมันผู้นั้นสังหาร… นางไม่เหมาะกับเส้นทางของการหลั่งเลือด และข้าก็เคยสัญญากับนางไว้ว่า จะไม่ให้มือของนางต้องเปื้อนโลหิต… และข้าจะทำให้ได้”
“นางคงมีความสุขมาก...” ว่านเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความอิจฉา
“นอกจากนางแล้วยังมีไป่ลู่… หลานน้อย… ชู่ซวนเชียนสื่อ… และซือซือ… พวกนางคือคนผู้ที่ใกล้ชิดกับข้า ตั้งแต่ข้าเข้าสู่ตระกูลหนิง ข้าไร้ซึ่งบิดามารดา ข้าต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดและดูแลผู้เป็นน้องชาย แต่คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งข้าจะได้มาพบกับอาจารย์ นับจากวันนั้น ข้าได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน อาจารย์พาข้ามายังเมืองฉีเหม่ย และข้าได้กลายเป็นนายน้อยของที่นั่น อาจารย์ได้สอนสั่งสิ่งต่างๆให้ข้า บอกข้าถึงกฏเหล็กของโลกผู้ฝึกตน และช่วยข้านำน้องชายกลับคืนมา… ข้ายังไม่เคยลืมวันแรกที่พบอาจารย์ ค่ำคืนนั้นเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง อาจารย์หยัดยืนกลางนภาอย่างองอาจ... การที่มีอาจารย์อยู่ทำให้ข้าได้รู้จักความสงบของชีวิต ทุกสิ่งที่นั่นพร้อมสรรพ อาจารย์รักข้าเหมือบุตรของตน ข้าสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้ที่นั่น แต่สุดท้าย อาจารย์ของข้าก็ถูกทรยศ...”
“คนผู้นั้นคือเทพกษัตริย์แห่งโลกปีศาจ แค่มันโผล่มาที่โลกพิรุณ ก็ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญนี่หวาดกลัว แม้เหล่าผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกยังไม่อาจสู้มันได้… อาจารย์ข้าถูกพาตัวไปยังโลกกระบี่เพื่อลี้ภัย และบางที อาจารย์อาจไม่กลับมาที่นี่อีก… ข้าต้องช่วยอาจารย์ และแก้แค้นผู้ที่ทรยศอาจารย์ให้ได้”
“นอกจากข้าจะเกลียดชังมันผู้นั้นแล้ว… ข้ายังไม่กล้า ไม่กล้าให้ปล่อยให้มันกลับไปทำร้ายอาจารย์อีกครั้ง!”
แววตาหนิงฝานปรากฏเจตนาสังหาร
ว่านเอ๋อร์เศร้าใจ นางจับมือหนิงฝานแน่น นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะผ่านประสบการณ์เลวร้ายมากมาย ผ่านความเกลียดชังที่หยั่งลึก จนผลักดันให้ตนมาเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณในวันนี้
ผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก เทพกษัตริย์แห่งโลกปีศาจ… ตัวตนระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไขว่คว้าได้ง่ายๆ
ว่านเอ๋อร์ว่าหากนางมีศัตรูระดับนั้น นางอาจถอนใจไปแล้ว แต่หนิงฝานกลับใช้มันเป็นแรงผลักดันให้ก้าวมาถึงจุดนี้
“อย่าปล่อยพวกมันไว้… และเจ้าก็ห้ามตาย...” ว่านเอ๋อร์กล่าวเบาๆ วันหนึ่งคนที่นางรักจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเหล่านั้น นางย่อมห่วงใย
“อืม” แววตาหนิงฝานค่อยๆกลับคืนสู่ความสงบ เขากอดนางไว้แนบกาย ความอบอุ่นที่ได้จากตัวนางทำให้เขารู้สึกอบอุ่น โลกของผู้เชี่ยวชาญนั้นเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าสังหาร ความเหนื่อยยาก ความสุข และเสียงหัวเราะ หนิงฝานต้องมุ่งไปข้างหน้าเพื่อยกระดับตนเองให้แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องคนรักของตนได้
หนิงฝานได้บอกเล่าเรื่องราวหลังจากที่มุ่งหน้าออกมาจากแคว้นเยว่ให้ว่านเอ๋อร์ฟัง นางทั้งยิ้ม ร้องเศร้า ทั้งหลั่งน้ำตากับสิ่งที่เขาต้องประสบ
เหล่าอสูรในแดนสองแห่งนี้มีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องแดนสาม ไม่มีผู้ใดผ่านเหตุการณ์มากมายเหมือนหนิงฝาน
นางรู้ว่าหนิงฝานเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ เพียงแต่เขาไม่กล่าว สิ่งที่เขาแสดงออกมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้น
“หนิงฝาน… เจ้ามีข้าอยู่ข้างกาย เจ้าจงวางใจ… คืนนี้จะไร้ซึ่งการฆ่าฟัน ไร้ซึ่งความกังวลใจใดๆ เจ้าพักเถอะ ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง!”
“ข้ายังไม่เหนื่อยสักหน่อย”
หนิงฝานสัมผัสแก้มนางเบาๆแล้วยิ้ม “เอาหล่ะ เรื่องราวของข้าจบแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องสะสางธุระส่วนตัวแล้ว… ปลดอาภรณ์เจ้าสิ!”
“ธุระส่วนตัว.... ปลดอาภรณ์...” ใบหน้านางแดงก่ำ ลนลานทำตัวไม่ถูก
นางรู้ว่าธุระส่วนตัวที่ว่าคืออะไร… หนิงฝานเริ่มปลดอาภรณ์นาง อาภรณ์เคลื่อนลงจากไหล่ เผยให้เห็นหัวไหล่ที่ขาวนวล เขาเคลื่อนมือไปยังโบวที่นางผูก ปลดมันออก แล้วค่อยๆประครองร่างของนางนอนลงบนเตียง
เรือนร่างท่อนบนไร้ซึ่งอาภรณ์ นางใช้มือปิดกุมหน้าอกทั้งสองเอาไว้ด้วยความเขินอายพลางกล่าว
“ข้าเป็นของเจ้า...”
หนิงฝานพยายามสะกดอารมณ์ที่พลุกพร่าน… จริงๆแล้วธุระส่วนตัวที่เขาหมายถึงเขาจะช่วยนางสยบปีกหงส์เพลิงในร่าง แต่ดูเหมือนนางจะเข้าใจไปอีกแบบ
แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ทำทั้งสองสิ่งไปพร้อมๆกัน
หนิงฝานปลดอาภรณ์ของตนและนอนทับลงบนร่างของว่านเอ๋อร์เบาๆ ริมฝีปากประกบสัมผัสและจูบนางอย่างอ่อนโยน
หนิงฝานถ่ายปราณเข้าสู่ร่างกายนางเพื่อช่วยให้นางสยบปีกหงส์เพลิงได้ง่ายขึ้น เมื่อนางรู้ถึงเจตนาของหนิงฝาน นางจึงโคจรปราณตามการชี้แนะของเขา
เจ้าของปีกหงส์เพลิงคือนายกองแห่งเผ่ารอยแยกพิภพ หนิงฝานเป็นผู้ลงมือสังหารมัน เมื่อปีกสัมผัสได้ถึงปราณของหนิงฝาน มันจึงหวาดกลัวและยอมสยบโดยง่าย ดังนั้น ว่านเอ๋อร์จึงทำพันธะสัญญาณได้อย่างราบรื่น
หากให้นางเก็บตัวฝึกฝนทำความเข้าใจกับปีกมากขึ้น ในอนาคตนางจะดึงพลังของมันออกมาได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ด้วยพรสวรรค์ของนาง อีกไม่นานคงบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ หากนางได้ตัวช่วยจากหนิงฝาน นางย่อมทะลวงขอบเขตและปลุกโลหิตครั้งที่ 3 ได้ไม่ยาก
“28 ก้อน! นี่เท่ากับโอสถปลุกโลหิต 28 เม็ด! ทำไมเจ้าไม่เก็บไว้เอง เจ้าให้ข้าทำไม!” ว่านเอ๋อร์กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
“เด็กโง่ ถ้าข้าไม่ได้โอสถปลุกโลหิตจากเจ้าเมื่อครั้งที่ปลุกโลหิตครั้งที่ 2 ข้าคงปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิไม่ได้… ข้าจะตอบแทนเจ้าบ้างไม่ได้หรือไง”
นับจากนั้น ว่านเอ๋อร์ก็เก็บตัวฝึกฝนในตำหนักหนิงฝาน
ระหว่างที่นางฝึกฝน พี่ชายของนางลู่เฉิงก็แวะมาหาบ้าง หนิงฝานเป็นผู้รับหน้าและบอกกล่าว
เรื่องการจัดการกับทางเข้าแดนสาม หนิงฝานยกให้เป็นหน้าที่ของลู่เฉิง อีกนานกว่าหาโลหิตบูชายัญได้ครบ และอีกนานกว่าจะวางข่ายอาคมเสร็จ ดังนั้น หนิงฝานจึงต้องเร่งเตรียมตัวและยกระดับพลังของตน
ยามนี้ปราณอสูรยังยกระดับได้ต่อ ปราณปีศาจมีเพียง 109 เกราะ เขาต้องการศพเป็นจำนวนมากในการดูดซับปราณ
ปราณดั้งเดิมของเขามีอยู่ด้วยกัน 3495 เกราะ เขามีนมมารดาใต้พิภพเป็นจำนวนมาก หากดูดซับพวกมันจนหมด แม้ไม่อาจบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ แต่ย่อมสมควรบรรลุขอบเขตกึ่งตัดวิญญาณได้ไม่ยาก
และยังมีเรื่องสำคัญอย่างสุดท้ายคือการปลุกโลหิตครั้งที่ 3!
“ยิ่งแข็งแกร่งก็จะยิ่งปลอดภัย… ว่านเอ๋อร์ตอนนี้เก็บตัวฝึกฝน ก่อนข้าจะเกบตัวฝึกฝนบ้าง คงต้องสะสางเรื่องเล็กๆน้อยๆเสียก่อน”
หนิงฝานเดินออกจากห้อง ระหว่างมีทหารพบเห็นล้วน พวกมันล้วนยืนตัวตรงและคารวะด้วยความเคารพ เหล่าผู้รับใช้ที่อยู่ภายในตำหนักก็คารวะ แววตาของทั้งหมดที่จ้องมองหนิงฝาน เต็มไปด้วยความนับถือ
“คารวะนายกองเป่ย!”
หนิงฝานพยักหน้าให้ เขาถอนหายใจพลางขบคิด ว่าหากลู่เป่ยที่ตายรู้ว่าตัวมันในยามนี้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ มันจะทำหน้ายังไง
ภายในห้องนั่งเล่นในตำหนัก บ่าวของหนิงฝานสองคนกำลังนั่งพูดคุย หนิงฝานใช้ให้พวกนางไปซื้อสมุนไพรที่จำเป็นมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสมุนไพรที่เป็นประโยชน์กับสัมผัสเทพ
นอกจากเรื่องสมุนไพรแล้ว หนิงฝานยังได้รับสิ่งของต่างๆที่ผู้คนในเมืองลั่วหยุนนำมาให้ แม้คนที่มาจะต้องรอ ทั้งหมดก็อยากรอที่จะพบหน้าหนิงฝาน
“บ่าวคารวะนายท่าน” พวกนางกล่าวสีหน้าเหนื่อยอ่อน
“เหนื่อยพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้เมืองลั่วหยุนจึงไม่สงบนัก จะทำอะไรก็ต้องระวัง… ตอนนี้พวกเจ้ากลับเข้าไปในแหวนก่อน นี่เป็นโอสถที่ข้าเตรียมไว้ พวกเจ้านำไปให้ชุ่ยหลิงและเยว่หลิง แบ่งปันให้สตรีคนอื่นๆได้กินเพื่อยกระดับพลัง ตอนนี้พวกเจ้าก็บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงแล้ว อีกไม่นานคงบรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด และทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม”
หนิงฝานนำกระเป๋าหลายใบออกมา จากนั้นยื่นส่งให้พวกนาง เขาได้โอสถเหล่านี้มาจากศัตรูที่สังหารไป โอสถจำนวนมหาศาลที่ได้ส่วนใหญ่นั้นเป็นโอสถสำหรับขอบเขตประสานวิญญาณและแก่นทองคำ ยามนี้โอสถเหล่านั้นไม่เป็นประโยชน์กับเขาแล้ว จึงได้มอบให้เหล่ากระถางขัดเกลาทั้งหมด
การที่ยังเป็นห่วงในเรื่องระดับพลังของเหล่ากระถางขัดเกลาถือเป็นเรื่องดี เพราะในอนาคตพวกนางย่อมเป็นกำลังให้เขาได้ ที่สำคัญ ยิ่งพวกนางแข็งแกร่งก็ยิ่งดี
“โอสถจำนวนไม่น้อยเลย...” พวกนางตกใจ โอสถจำนวนนี้ย่อมทำให้พวกนางบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มได้ไม่ยาก
“แล้วเรื่องแร่วิญญาณที่ข้าต้องการเป็นยังไงบ้าง? เจ้าหาซื้อมาได้เท่าไหร่?”
“ข้าได้ครบจำนวนตามที่นายท่านต้องการแล้ว”
พวกนางนำกระเป๋าหลายใบออกมา แล้วยื่นส่งให้หนิงฝาน
“หาได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?” หนิงฝานประหลาดใจ
เขาต้องการแร่วิญญาณจำนวน 108 ก้อนเพื่อนำมาหลอมสร้างอาวุธเทพโบราณชิ้นที่ 3
เขาคิดว่าแร่ที่เขาขอไปนั้นหายาก ด้วยเวลา 1 เดือนที่เขารักษาตัวอยู่นั้น พวกนางสมควรหาได้แค่ครึ่งเดียว แต่คาดไม่ถึงว่าพวกนางจะหามาได้จนครบ
หนิงฝานขมวดคิ้ว แม้จะไม่มั่นใจ แต่การที่ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ แสดงว่าโชคชะตาของเขาหวนคืนกลับมาแล้ว
ในวันนั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ในโชคชะตาสีดำคือโชคชะตาสีม่วง!
เมื่อหวนนึกถึงโชคชะตาสีดำของผู้เป็นอาจารย์ หนิงฝานเศร้าใจ ในอดีต ชายชราปรุงโอสถล้มเหลวหลายครั้งก่อนจะประสบความสำเร็จ
“นายท่านมีรางวัลอะไรให้พวกข้าบ้าง...” พวกนางจ้องมองหนิงฝานด้วยแววตาคาดหวัง
“ช่างกล้า… นี่พวกเจ้ากล้าขอรางวัลกับข้าแล้วเหรอ...” หนิงฝานเขกหัวพวกนางเบาๆ
“ไว้ข้าสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้มากๆแล้ว ข้าจะนำผลไม้แห่งเต๋ามาให้พวกเจ้าสัก 1000 ผลเพื่อยกระดับพลัง… แบบนั้นเป็นไง”
เมื่อโชคชะตาหวนคืน การจะหาผลไม้แห่งเต๋าคงไม่ยาก
“พวกข้าไม่อยากได้!” แววตาของพวกนางสื่อถึงบางสิ่ง
“ได้… เช่นนั้นข้าจะให้อย่างที่พวกเจ้าต้องการ...” หนิงฝานปิดประตูหน้าต่างห้อง เขารู้ว่าพวกนางต้องการอะไร
เมื่อตอนที่เขาบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด ครั้งนั้นเขาขัดเกลาผสานกับพวกนาง ทำให้พวกนางยกระดับพลังได้ไม่น้อย
ไม่นาน เสียงครางกระเส่าก็ดังระงม...
หลังจากเสร็จสมอารมณ์หมาย พวกนางก็พร้อมกลับเข้าแหวนพร้อมกับโอสถจำนวนมาก… โอสถจำนวนนี้จะทำให้เหล่ากระถางขัดเกลายกระดับพลังได้ไม่น้อย
ยามนี้ หนิงฝานรู้สึกสงบราวกับได้กลับหวนกลับไปยังเมืองฉีเหม่ยอีกครั้ง
ก่อนจะส่งพวกนางกลับ หนิงฝานกล่าวถามพวกนางเรื่องหนึ่ง
“ในช่วง 1 เดือนมานี้… สนมอสูรวู่หยานมาที่นี่บ้างหรือเปล่า?”
“ไม่เจ้าค่ะ… สนมอสูรจื่อสั่งห้ามไม่ให้นางออกจากที่พัก”
“อืม...”
หนิงฝานออกจากตำหนัก ร่างกายกลืนไปกับหิมะและสายลม มุ่งหน้าไปยังที่พักของวู่หยาน
หากมองจากไกลๆ ตำหนักที่นางอยู่ดูราวกับเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ยามนี้ตำหนักของนางไม่รับแขกคนใด
ด้านนอกตำหนักมีสนมอสูรจากตำหนักราชาอสูร 2 นางยืนคุ้มกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ผ่านพวกนางไปไม่ได้
หนิงฝานขบคิดหาวิธี ไม่นานเขาก็นำอัฐิสวรรค์ออกมา สมบัติชิ้นนี้ช่วยในการพลางตัว แต่ด้วยก่อนหน้านี้หนิงฝานยังแข็งแกร่งไม่พอ จึงยังไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์ จึงป้องกันได้เพียงการใช้วิชาทำนาย
แต่เมื่อบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ เขาก็มีทรงพลังพอที่จะใช้มันได้
เขาอมอัฐิไว้ จากนั้นถ่ายปราณเข้าไป ร่างกายของเขาจึงค่อยๆเลือนลางหายไป หากเขาไม่ใช้ปราณมากจนเกินไป ก็จะไม่มีผู้ใดสัมผัสถึงตัวตนเขาได้
หนิงฝานมุ่งผ่านผู้คุ้มกันโดยที่พวกนางไม่อาจสัมผัสถึงตัวตนเขาได้
แม้เป็นสนมอสูรจื่อที่กำลังอาบน้ำอยู่ก็ไม่อาจสัมผัสถึงตัวตนเขาได้
อีกด้านหนึ่งของตำหนัก เป็นพื้นที่หวงห้าม มีสตรีในอาภรณ์ครามนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าจกบานใหญ่พลางถอนหายใจ
ใบหน้าของนางยังปรากฏรอยฝ่ามือแดง ยามนี้นางเศร้าหมองและโด่ดเดี่ยว
“ถูกขังตั้งหมื่นปี… เจ้าโจรน้อยนั่นจะรู้หรือเปล่าว่าข้าต้องถูกขังหมื่นปี”
*ฟู่...*
เสียงเม็ดทรายพัดผ่าน ข่ายอาคมที่ปกคลุมห้องของนางสลายไป ก่อนที่หมอกสีม่วงจะลอยเข้ามาในห้องนาง
“เสียงอะไร?”
นางหันมองไปยังต้นเสียง แต่ไม่เห็นสิ่งใด แต่เมื่อนางหันกลับมามองกระจก ดวงตานางกลับเบิกกว้าง แต่ไม่นาน นางก็คืนสู่ความสงบ
“เจ้าเข้ามาได้ยังไง! ที่นี่เป็นตำหนักของสนมอสูรจื่อ ไม่ว่าใครก็เข้ามาไม่ได้!”
“ท่านเดือดร้อนก็เพราะข้า… ข้าอยากมาดูว่าท่านเป็นยังไงบ้าง...”
คำกล่าวของหนิงฝานทำให้จิตใจของนางสั่นไหว นางไม่อาจคงความสงบได้อีก
“ที่ข้าช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าว่านเอ๋อร์ ไม่ได้จะตั้งใจช่วยเจ้าสักหน่อย… ถึงข้าจะโดนขัง แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก… เจ้ารีบไปได้แล้ว ไม่งั้นข้าจะตะโกนให้คนเข้ามาช่วย”
“ถ้าท่านคิดจะตะโกนจริงๆท่านก็คงตะโกนไปแล้ว”
หนิงฝานหัวเราะและเดินไปยังที่นอนของนาง เอนกายลงพลางสูดกลิ่นหอมที่ยังหลงเหลือ
“หอมมาก… ช่างเป็นกลิ่นหอมที่น่าจดจำ”
“นี่เจ้า!” วู่หยานโกรธ หนิงฝานแอบเข้าที่นี่ได้ยังไงโดยที่นางไม่รู้ตัว
“พูดมาว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่!” นางรู้ว่าที่หนิงฝานมาก็เพราะมีเรื่องสำคัญ เขาย่อมไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบนางเท่านั้น
“ที่ข้ามาก็ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น!” หนิงฝานลุกยืน
“งั้นเหรอ...” นางถอนหายใจ ที่หนิงฝานย่อมไม่ได้เป็นเพราะอยากพบนาง แต่มาเพราะว่านเอ๋อร์ขอให้มา
“ที่ข้ามาก็เพื่ออยากจะทำให้ท่านสบายใจ… ท่านวางใจเถอะ ข้ามีวิธีที่จะทำให้สนมอสูรจื่อขังท่านไม่ได้!”
“เจ้าว่าไงนะ?” นางประหลาดใจ นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะตั้งใจมาหานางเอง
นางขบคิดถึงวิธีที่หนิงฝานกล่าว แต่ไม่ว่าคิดยังไงก็ไม่อาจรู้ว่าวิธีการที่ว่าคืออะไร
หากจะสังหารสนมอสูรจื่อและคนอื่นๆคงเป็นไปไม่ได้
หรือจะใช้ผู้หนุนหลังที่ทรงพลังทำให้นางกลัว?
แต่หนิงฝานเป็นมนุษย์ ไม่น่าจะมีความสัมพันธ์กับแดนสวรรค์อสูร หรือหากต่อให้มีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะข่มขู่นาง
“เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”
“ข้าอยากช่วยท่าน”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว… ข้าเป็นอสูรแห่งแดนสวรรค์อสูร ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวพันธ์กับเจ้า ทำไมเจ้าถึงต้องช่วยข้า!”
หนิงฝานไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้กล่าวต่อ เขากลายเป็นหมอกสีม่วงพัดพา เคลื่อนผ่านข้ายอาคมออกไปได้อย่างง่ายดาย
หน้าตกใจกับการกระทำของหนิงฝาน ความรู้สึกซับซ้อนในใจเริ่มปรากฏ
“โจรน้อยนั่นจะช่วยข้าจริงๆเหรอ… หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรเกินตัว...”