GE280 แก้แค้นให้เผ่าลั่วหยุน (5) [ฟรี]
เสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองลั่วหยุน คืนวันเช่นนี้ ไม่เคยมีในเผ่าลั่วหยุนมาก่อน
นายกองลู่เป่ย ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสุดท้ายได้ เรื่องนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึง
ยิ่งด้วยวิชาร่างวิญญาณ ยิ่งทำให้แดนสองแห่งนี้สั่นสะท้าน
คนของเผ่าลั่วหยุนได้สลักภาพร่างของหนิงฝานลงในใจ พลังที่แข็งแกร่งไร้ข้อกังขา สังหารฟาดฟันศัตรู
ผู้ใดที่คิดร้ายต่อคนสำคัญของเขา เขาจะหันกระบี่เข้าหามันและปลิดชีพ...
หลังจากผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงกับซัวเถิงและหวางเซี่ยว กลิ่นอายพลังของหนิงฝานอ่อนลงมาก ราวกับกระบี่ที่ทรงอานุภาพ ฟาดฟันออกไปเต็มแรงจนทำให้อานุภาพของกระบี่ลดลง แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหนิงฝาน มันยิ่งทำให้เจตนาต่อสู้ของเขาเพิ่มพูน
แม้ฝักกระบี่จะพังยังเหลือกระบี่และด้าม แม้ด้ามและตัวกระบี่จะพังยังเหลือเศษกระบี่ที่ใช้ทิ่มแทงศัตรูได้
หนิงฝานยามนี้บาดเจ็บไม่น้อย แม้โลหิตจะดันขึ้นมาถึงลำคอ แต่เขายังฝืนกลืนมันลงไป แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“หวางเซี่ยวตายแล้ว… วันนี้ข้าลู่เป่ยจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง! หากผู้ใดไม่ยอมรับก็เข้ามา!”
เสียงของหนิงฝานสะท้อนก้องไปรอบทิศ เสียงไชโยโห่เงียบสนิท
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยย่อมมี หนิงฝานยามนี้เหนื่อยอ่อน หากผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลางขึ้นประลอง สมควรล้มหนิงฝานได้
แต่ถึงอย่างนั้น แม้เป็นลู่เจี่ยเฟินที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูงยังไม่กล้าก้าวขึ้นเวที
เพราะเหตุใด?
เพราะไม่มีใครรู้ว่าหนิงฝานยังเก็บซ่อนอะไรไว้อีก บางทีหนิงฝานอาจยังมีไพ่ตายที่จะช่วยสังหารได้
หนิงฝานกวาดตามองไปรอบๆและหยุดที่ลู่เจี่ยเฟิน มันขมวดคิ้ว แววตาเผยความกังวล
ในกระเป๋าของมันมีศพอสูรในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงอยู่ หากมันใช้ศพปีศาจเข้าช่วย มันสมควรเอาชนะหวางเซี่ยวได้ แต่ยามนี้ มันกลับหวั่นเกรงแววตาหนิงฝาน
กลิ่นอายที่หนิงฝานแผ่ออกมาทำให้ศพปีศาจของมันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“กลิ่นอายนี่… ไม่ผิดแน่! ลู่เป่ยมีศพปีศาจในขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลงอยู่ หากมันมี ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูงสุดก็สังหารได้!”
เมื่อรู้เช่นนั้น มันจึงเบี่ยงสายตาหนีหนิงฝาน แสดงให้เห็นว่ามันยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะแม้องค์ชายซูฉวนสู้กับหนิงฝาน เขาก็ไม่ได้แพ้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ลู่เจี่ยเฟินอยากได้ดาราจักรพรรดิที่อยู่ในแดนสาม แต่ดูเหมือนยามนี้ จะไม่มีที่ว่างสำหรับมันแล้ว
มันต้องยอมตัดใจเพราะไม่อาจเอาชีวิตไปเสี่ยงกับหนิงฝานได้
หากจะให้เอาชีวิตไปทิ้งกับแผนที่แค่ไม่กี่แผ่น ไร้สาระ! ผู้ที่จะเข้าไปยังแดนสามมีด้วยกันทั้งหมด 50 คน มันย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
“ข้าผู้นำเผ่าเพลิงลู่เจี่ยเฟินไม่กล้ารับคำท้าของนายกองเป่ย!”
ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆขมวดคิ้ว เมื่อผู้นำเผ่าเพลิงยอมรับความพ่ายแพ้ เผ่าใดจะกล้าท้าทายหนิงฝาน?
ยิ่งเผ่ารอยแยกพิภพยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง มันหวาดกลัวและไม่กล้าสบตาหนิงฝาน
“เห้อ… ลู่เป่ยใช้วิชาที่สังหารหวางเซี่ยวได้ในพริบตา… ข้าจะไปสู้มันได้ยังไง? ไม่ว่าใครก็ต้องยอม หากก้าวขึ้นไปบนเวทีคงไม่พ้นกลายเป็นเถ้าถ่าน...”
ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นเวที เหล่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูงมองหน้ากันพลางถอนหายใจ ทั้งหมดสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มีกลิ่นอายขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลงแผ่ออกมาจากหนิงฝาน
“เด็กนั่นมีศพปีศาจขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลง… แบบนี้ใครจะสู้มันได้!”
ผู้เชี่ยวชาญสองคนยืนขึ้น จ้องมองหนิงพลางป้องมือ
“วิชากรรชนีเจ้าช่างทรงพลังข้า พวกข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจึงยอมรับความพ่ายแพ้! เจ้าทรงพลังและมีอีกสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่า... ในแดนสองนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเอาชนะเจ้าได้… พวกข้าขอยกแผนที่ให้เจ้า!”
หนิงฝานหันมองพลางยิ้มให้ เขายื่นมือรับแผนที่ เก็บเข้ากระเป๋า แล้วป้องมือให้ทั้งสอง
“ขอบคุณ”
เหตุที่หนิงฝานยังกล้าหยัดยืนบนเวทีแม้ตนเองจะอ่อนแรง เพราะเขามีศพปีศาจอยู่
เขาจงใจปล่อยกลิ่นอายของศพปีศาจออกมาเพื่อขู่ขวัญ และมันก็ได้ผลกับลู่เจี่ยเฟินแห่งเผ่าเพลิง และบุรุษสองคนเมื่อครู่ที่เป็นผู้นำเผ่าวายุและเผ่าอัสนี ดังนั้นยามนี้ เขาจึงมีแผนที่อยู่กับตัว 4 ส่วนแล้ว!
การแสดงออกว่าตนอ่อนแอและปิดบังอำพรางส่วนที่แข็งแกร่งเอาไว้ ทำให้ศัตรูหวาดระแวง อีกฝ่ายย่อมไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยง
ในเมื่อยังมีสิ่งที่ทรงพลังปิดซ่อน ย่อมเป็นไปได้สูงว่ายังมีสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าซ่อนอยู่
หนิงฝานหันมองซูฉวน ซูฉวนยิ้ม นำแผนที่ออกมา 3 แผ่นแล้วส่งให้หนิงฝาน
“หวางเซี่ยวพ่ายแพ้ไปแล้ว เผ่าเพลิงย่อมไม่มีใครเอาชนะเจ้าได้… เจ้ามีสิ่งที่ข้าไม่อาจเอาชนะได้ง่ายๆอยู่ เช่นนั้น ข้าขอมอบแผนที่ทั้งหมดให้!”
หนิงฝานรับแผนที่มาพลางขมวดคิ้ว เขาจงใจแผ่กลิ่นอายของศพปีศาจเพื่อข่มขู่ผู้นำเผ่าเพลิง เผ่าอัสนี และเผ่าวายุเท่านั้น แต่ซูฉวนกลับยังสัมผัสได้
ซูฉวนร้ายกาจ เมื่อมันรู้ว่าไม่อาจเอาชนะหนิงฝานได้ง่าย มันจึงยอมส่งแผนที่ให้ทันที การยอมแพ้ของมันเป็นการผลักแรงกดดันให้กับตำหนักราชาอสูร หากอีกฝ่ายไม่ยอมก็ต้องเป็นผู้ห้ำหั่นกับหนิงฝานเอง
หนิงฝานมีแผนที่แล้ว 7 แผ่น เหลืออยู่กับสนมจื่ออีก 2 แผ่น
สนมอสูรจื่อไม่เคยยอมแพ้ต่อผู้ใด นั่นหมายความว่า นางไม่มีทางยอมส่งแผนที่ให้หนิงฝานง่ายๆ นางอาจจะลงสนามสู้กับหนิงฝาน
และดูเหมือนการยอมแพ้ของซูฉวนเพื่อยืมมือตำหนักราชาอสูรจะได้ผล
“เจ้าไม่คู่ควรกับแผนที่! เพราะเจ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์อสูร!”
คำกล่าวของสนมอสูรจื่อทำให้รอบข้างที่เงียบสนิท ส่งเสียงอึกทึกอีกครั้ง
“สนมอสูรจื่อระวังคำพูดด้วย! นายกองเป่ยเป็นตัวแทนของเผ่าลั่วหยุน เหตุใดจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์อสูร!”
“เรื่องที่นายกองเป่ยปลุกโลหิตครั้งที่ 2 และสามารถปลุกโลหิตของเผ่าพันธุ์จักรพรรดิออกมาได้นั้น เป็นที่รู้กันทั่ว!”
“ฮึ่ม! ปลุกโลหิตได้แล้วยังไง? ถ้าอยากได้แผนที่ก็ต้องช่วงชิง เหตุใดต้องกล่าวให้มากความ!”
เสียงเฮดังสนั่น!!
หนิงฝานไม่ได้สนใจที่จะเปิดเผยตัวต่อผู้ใด แต่ด้วยโลหิตอสูรที่เขาปลุกได้นั้นเป็นหลักฐานชั้นดี ไม่ว่าผู้จะกล่าวว่าเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์อสูร ใครเล่าจะเชื่อ?
แต่ถึงจะมีคนรู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ แต่ใครเล่าจะกล้าเอ่ยปาก
ไม่ว่าหนิงฝานจะเป็นลู่เป่ยหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สำหรับลู่ตู้เฉินแล้ว หนิงฝานคือนายกองแห่งเผ่าลั่วหยุน
มนุษย์นั้นไม่เข้าใจวิธีอัญเชิญโบราณของเผ่าพันธุ์อสูร เหตุใดจะเข้าสู่แดนสองแห่งนี้ได้?
แม้จะมีในบันทึกโบราณว่ามนุษย์สามารถฝึกวิชาอสูรและปลุกโลหิตอสูรได้นั้น แต่ยังไม่มีผู้ใดปลุกโลหิตของเผ่าพันธุ์จักรพรรดิได้สักราย
ดังนั้น แม้คำกล่าวของสนมอสูรจื่อเป็นความจริง แต่ใช่ว่าจะมีผู้ใดเชื่อ
สนมอสูรวู่หยานถอนหายใจ นางรู้ว่าหนิงฝานเป็นมนุษย์ แต่นางไม่บอกผู้ใดเพราะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ
ว่านเอ๋อร์รู้สึกผ่อนคลายที่ตันตนของหนิงฝานไม่ถูกเปิดเผย เพราะหากทุกคนเชื่อว่าหนิงฝานไม่ใช่อสูร เขาจะถูกอสูรทั้งหมดตามล่า
“สนมอสูรจื่อ ท่านจะพูดจาให้ผู้คนสับสนทำไม!”
หนิงฝานยิ้ม แต่นางทำสีหน้าไม่พอใจ
“ฮึ่ม! ข้าพูดผิดเอง… หากเจ้าต้องการแผนที่จากข้าง เจ้าต้องเอาชนะคนของตำหนักราชาอสูรให้ได้ก่อน ข้ายังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงอีก 2 คนที่ยังไม่ได้เข้าร่วม… วู่หยาน เด็กนั่นใกล้ตายแล้ว ไปปลิดชีวิตมันซะ!”
“ข้า...” วู่หยานไม่อยากขึ้นเวทีประลองกับหนิงฝาน
เมื่อสนมอสูรจื่อเห็นแววตาของวู่หยานว่านางหวาดกลัวหนิงฝาน
“สนมอสูรจื่อ… ข้า...สู้เขาไม่ได้...”
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าเหรอ!” นางขมวดคิ้วแน่น นางตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนหนิงฝานเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญนับแสนที่มาชม รุมสังหารหนิงฝาน แต่กลับกลายเป็นว่า นางเป็นฝ่ายเสียหน้าแทน
ยิ่งวู่หยานปฏิเสธคำสั่งที่เด็ดขาดของนาง นางจึงไม่พอใจและตบวู่หยานไปอย่างจัง
*เพี้ยะ*!
ใบหน้าของวู่หยานปรากฏรอยฝ่ามือแดง
“วู่หยาน… ในเมื่อเจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า เจ้าคงรู้ถึงผลที่จะตามมา”
มุมปากวู่หยานปรากฏคราบโลหิต นางก้มหน้าหลบสายตาไม่กล้าโต้เถียงสนมอสูรจื่อ
“ไว้กลับไปถึงตำหนักราชาอสูรเมื่อไหร่ เจ้าจะถูกขังเป็นเวลา 100 ปี”
ถูกขังเพียง 100 ปีแลกกับการที่คนรักของว่านเอ๋อร์ปลอดภัย ถือว่าคุ้มค่า
“พี่วู่หยาน!” เมื่อว่านเอ๋อร์เห็นวู่หยานถูกทำร้าย นางแทบจะเข้าจู่โจมสนมอสูรจื่อ แต่ลู่เฉิงผู้เป็นพี่ชายห้ามไว้
“นางเป็นสนมคนโปรดของราชาอสูร… อย่าได้ผลีผลาม!”
สนมคนโปรด… สถานะสนมคนโปรดของราชอสูรทำให้ผู้คนในแดนสวรรค์อสูรหวาดกลัวและไม่กล้าแตะต้องสนมอสูรจื่อ
แต่ยามนี้ แววตาหนิงฝานกลับแปรเปลี่ยนเย็นชา ที่วู่หยานเจ็บตัวก็เพราะเขา
“สนมอสูรซี เจ้าออกไปแทน!”
สนมอสูรจื่อชี้นิ้วไปยังเด็กสาวในอาภรณ์เหลือง แม้นางจะดูน่ารักราวกับเด็ก แต่นางแผ่นกลิ่นอายขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงออกมา
น่าเสียดายที่นางยังไม่รู้ว่าหนิงฝานมีวิชาเย้ายวนที่ทรงพลังมาก
เมื่อนางกำลังจะก้าวขึ้นสู่เวที นางสบตาหนิงฝาน ในชั่วลมหายใจนั้น ร่างกายของนางสั่นเทาไม่หยุด
“ปีศาจ… วิชาเย้ายวน! คนผู้นั้นมีวิชาเย้ายวนที่ทรงพลังมาก ซีหลานสู้มันไม่ได้!”
“นี่เจ้า!” สนมอสูรอยากจะขึ้นไปบนเวทีด้วยตัวเอง เพียงแต่มีกฏว่าห้ามผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงสุดขึ้นประลอง
นางไม่รู้ว่าหนิงฝานมีศพปีศาจขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลงอยู่ แม้เขาไม่มีวิชาเย้ายวน เขาก็ยังใช้ศพปีศาจเอาชนะนางได้
ยามนี้ สนมอสูรจื่อโกรธแค้นอย่างที่สุด นางแค่นเสียงอย่างโกรธเคืองก่อนนำแผนที่ 2 แผ่นออกมาแล้วโยนให้หนิงฝาน
“ลู่เป่ย… ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
“อืม… คืนนี้ข้าจะอาบน้ำให้สะอาดและรอท่านบนเตียง!”
“เจ้า!” นางแค่นเสียง เผยเจตนาสังหารและจากไป
เด็กนี่ช่างโอหังกล้าท้าทายนาง แต่ต้องปล่อยมันไปก่อน ไว้เข้าแดนสามเมื่อใดค่อยสังหาร
ก่อนที่นางจะไป นางหันมองสนมอสูรวู่หยานด้วยสายตาเย็นชา
“ไว้กลับไปตำหนักราชาอสูรเมื่อไหร่ ข้าจะขอราชาอสูรให้ขังเจ้าหมื่นปี!”
“หมื่นปี...” วู่หยานทำได้เพียงถอนหายใจ
หนิงฝานขมวดคิ้ว เขาจะนำนางและผู้ติดตามของนางทั้งหมดมาเป็นกระถางขัดเกลา เพื่อแก้แค้นให้วู่หยาน
หากจะทำที่นี่ก็ดูจะไม่เหมาะ แต่ถ้าเป็นในแดนสามย่อมไม่มีผู้ใดเห็น
ยามนี้หนิงฝานได้แผนที่มาครองทั้งหมดแล้ว ยังเหลือผู้ที่จะได้เข้าแดนสามอีก 49 คน การประลองหลังจากนี้ใครจะได้เข้าไปบ้างนั้น หนิงฝานไม่สนใจ… แม้จะได้แผนที่มาครบ แต่หากไร้ซึ่งโลหิตของสัตว์อสูรมาบูชายัญก็ไม่อาจเปิดประตูทางเข้าได้ ดังนั้น การเตรียมการในส่วนที่เหลือจึงต้องใช้เวลา
“ลั่วหยุนได้ที่ 1...” หนิงฝานหลับตา แม้ผู้คนจะไชโยโห่ร้อง แต่มันไม่ได้ทำให้เขาดีใจ
ที่ 1 แล้วยังไง… แค่นั้นยังไม่พอ!
“ข้าไม่ต้องการเป็นที่ 1 ของที่นี่… แต่ข้าจะเป็นที่ 1 ของโลกพิรุณ!”
หนิงฝานผายมือดูดซับเอาปราณม่วงโดยรอบมาบีบอัดจนกลายเป็นผนึกสีม่วงเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะลงจากเวที
ผลึกม่วงแต่ละก้อนที่เขาได้นั้น เทียบเท่ากับโอสถปลุกโลหิต 1 เม็ด
เมื่อหนิงฝานก้าวลงจากเวที ผู้คนที่ขวางแหวกทางให้เดิน
เขาเดินไปหาว่านเอ๋อร์และสัมผัสใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน
“ข้าช่วยเจ้าแก้แค้นแล้ว...”
“แต่เจ้าก็บาดเจ็บไม่น้อย...” นางกล่าวด้วยแววตาที่ห่วงใยหนิงฝาน นางหันมองเหล่าสนมอสูรที่กำลังจากไป จากนั้นเขย่งปลายเท้ากระซิบที่ข้างหูหนิงฝาน
“ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า...”
“ทำไมต้องกระซิบด้วย?” หนิงฝานรู้จักจั๊กจี้ที่หู เพราะนางกำลังหายใจรดหูเขาอยู่
“เดี๋ยวคนอื่นจะได้ยิน… เจ้าพอจะหาทางช่วยไม่ใช่พี่วู่หยานถูกคนใจร้ายอย่าสนมอสูรจื่อขังได้หรือเปล่า… ข้าได้ยินมาจากอาจารย์ว่าคุกที่ตำหนักราชาอสูรน่ากลัวมาก...” ว่านเอ๋อร์ไม่พอใจสนมอสูรจื่อ นางรู้ว่าเหตุใดวู่หยานถึงได้ยอมถูกขัง
“ข้าคิดไว้แล้ว… นางไม่มีทางได้กลับไปถึงตำหนักอสูรอย่างแน่นอน!”
“ว่าไงนะ? นี่เจ้าคิดจะ...” ว่านเอ๋อร์ไม่กล้ากล่าวคำว่า ‘ฆ่า’ เพราะสำหรับสนมอสูรแห่งตำหนักราชาอสูรนั้น ถือเป็นเรื่องต้องห้าม
“เปล่า ข้าแค่จะทำให้พวกนางมาเป็นกระถางขัดเกลา… ไม่ฆ่าให้เสียของหรอก...” หนิงฝานยิ้มอย่างชั่วร้าย แต่นั่นทำให้ว่านเอ๋อร์หัวเราะ สำหรับหนิงฝานแล้ว การชิงตัวพวกนางมาเป็นกระถางขัดเกลาถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด
ตอนนี้หนิงฝานควรเข้าไปปลอบวู่หยาน… นางต้องขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย นางย่อมเศร้าใจมาก
“นางช่างน่าสงสาร...”