ตอนที่แล้วGE272 สงครามของแดนอสูร [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE274 ข้าคือภรรยา [ฟรี]

GE273 เวทีประลองเมฆา [ฟรี]


สายลมพัดผ่าน

7 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวทีขนาดใหญ่ถูกสร้างไว้เหนือเมืองลั่วหยุน

‘เวทีเมฆา’ เวทีที่ปกคลุมด้วยข่ายอาคมขนาดใหญ่ มีทหารอสูรจำนวนมากเฝ้าคุ้มกัน

เวทีแห่งนี้คือเวทีการประลอง!

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเผ่าทั้ง 9 เผ่าต่างเดินทางมายังเมืองลั่วหยุน

ทั้ง 9 เผ่าต้องส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมประลองเพื่อหาผู้ชนะ ในแดนสาม ทุกคนคิดว่าอสูรไร้ดัดแปลงลู่หวู่หลับไหลอยู่ภายในนั้น หากปลุกมันขึ้นมาได้ อาจได้รับความดีความชอบ นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่าลู่หวู่ปกป้องสวนสมุนไพรของจักรพรรดิสวรรค์ หากได้มีโอกาสได้พบย่อมถือเป็นความโชคดี

นอกจากสมุนไพรแล้ว ยังมีสิ่งที่สำคัญอย่างดาราอสูร คนที่เข้าไปย่อมมีโอกาสได้พบ ด้วยเรื่องราวทั้งหมด จึงทำให้ทุกคนในแดนสองสนใจ

แต่ถึงอย่างนั้น น้อยคนที่จะรู้ว่าลู่หวู่ที่หลับไหล ได้ตายไปแล้ว… คงไว้เพียงวังดารา!

แต่การที่ไม่รู้ก็ทำให้ผู้คนเกิดความตื่นเต้น ทุกเผ่าเคลื่อนไหว แต่เมื่อเหล่านายกองอสูรของแต่ละเผ่ามา เมืองลั่วหยุนก็คึกคักมากขึ้น

ลู่เฉิงถูกเรียกตัวกลับมาจากเมืองทะเลทรายตอนเหนือ เพื่อทำหน้าที่คุ้มกันและเตรียมการประลอง

รอบๆข้างเมืองลั่วหยุน ได้มีการก่อสร้างเมืองชั่วคราวหลายแห่ง แบ่งเป็นเมืองของเผ่าต่างๆ ทั้งหมดอยู่ร่วมกันอย่างสงบ

มีหอคอยขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งรวมการซื้อขายแลกเปลี่ยน มีแร่วิญญาณเพื่อนำมาสร้างเป็นอุปกรณ์ให้กับทหาร มีโอสถเพื่อใช้ยกระดับพลัง มีการค้าขายวิชาโดยซื้อได้ด้วยหยกสวรรค์

หอคอยแห่งนี้คึกคักเป็นอย่างมาก ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนการประลองจึงจะเริ่มต้น ยามนี้ ทุกเผ่าแทบจะย้ายมาที่เมืองลั่วหยุนหมดแล้ว...

ณ สระมังกร

หงยี่และจื่อฟา บ่าวรับใช้ของหนิงฝานเตรียมผ้าและน้ำสะอาดรอคอยอยู่ข้างสระ

11 ปีผ่านไป พวกนางบรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงแล้ว

หนิงฝานบอกกับพวกนางว่าจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณใน 10 ปี ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พวกนางจึงเฝ้ารอ แต่ตอนนี้หนิงฝานก็ยังไม่ปรากฏตัว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องของการฝึกวิชานั้น เป็นเรื่องที่ยากจะกล่าว

“11 ปีกับอีก 9 วัน… นายท่านยังไม่ขึ้นมา… การประลองจวนจะเริ่มแล้ว หวังว่านายท่านจะไม่เป็นอะไร...” จื่อฟากล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ได้ยินว่าในสระมังกรมีอสูรทมิฬอยู่… หวังว่าท่านจะปลอดภัย...” หงยี่ป้องมืออธิฐาน

ได้แต่เฝ้ารอ แต่หนิงฝานยังคงไม่ออกมา

แต่ขณะที่พวกนางกำลังจะจากไปนั้น พวกนางก็เห็นสตรีนางหนึ่งเดินมา

นางสวมชุดคลุมขนนกสีคราม ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้ม

“คารวะสนมอสูร...”

“ไม่ต้องมากพิธี… ลู่เป่ยยังไม่ขึ้นมาจากสระเหรอ?”

“ยังเจ้าค่ะ...”

พวกนางกล่าวอย่างนอบน้อม เพราะผู้ที่มาคือวู่หยาน สนมอสูรแห่งตำหนักราชาอสูร สตรีที่สูงส่งเช่นนี้ย่อมไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตา

จื่อฟารู้ว่าที่วู่หยานยังพูดคุยกับพวกนาง เพราะเห็นแก่เผ่าพันธุ์ของพวกนาง

“พวกข้าขอลา...” แล้วพวกนางก็จากไป… นางแวะเวียนมาหาหนิงฝานหลายครั้ง คนอื่นๆก็มาที่นี่เช่นกัน

เมื่อบ่าวของหนิงฝานจากไป วู่หยานก็เดินไปยืนข้างขอบสระ กลิ่นเหม็นสาบของโลหิตในนั้นทำให้นางต้องยกมือปิดจมูก

“โจรน้อยในสถานที่เหม็นๆ… เจ้าอยู่ในนี้มา 11 แล้วยังไม่ออกมา หรือเจ้าตายอยู่ในนั้นไปแล้ว?”

“อีกไม่นานงานประลองจะเริ่มแล้ว เจ้าออกมาเถอะ...”

นางพูดอยู่คนเดียว ไม่มีใครตอบนาง มีคลื่นความปั่นป่วนที่แผ่ออกมาจากสระ

นางนั่งยองลงขอบสระ จ้องมองใบหน้าตนเองที่สะท้อนขึ้นมา นางรู้ว่าในสระมีคลื่นความปั่นป่วนเป็นเรื่องปกติ แต่นางไม่รู้ว่าต้นเหตุมาจากหนิงฝาน

นางนั่งอยู่ตรงนั้นสักครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง...”

ในที่สุดนางก็ลุกขึ้น สวมผ้าปิดบังใบหน้าและจากไป

แต่เมื่อนางกำลังหันหลังจากไป เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น

“ท่านพี่ ท่านก็มาที่นี่เหรอ”

“อืม… ข้ามาดูว่าบู่เป่ยออกมาหรือยัง การประลองจนจะเริ่มอยู่แล้ว ถ้าเขายังไม่ออกมา ข้ากลัวว่าเขาจะพลาดการต่อสู้ไป แต่หากเขาไม่ได้ร่วมสู้ ถึงเขาจะมีแผนที่อยู่กับตัว แต่ระดับพลังของเขาไม่ได้สูงมากนัก ถ้าเกิดพวกซูฉวนได้รับชัยชนะจากการประลองและได้แผนที่ทั้งหมดไป พวกมันคงพุ่งเป้าไปที่ลู่เป่ยแทน”

“ทำไมท่านถึงเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟัง ข้าไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย… หรือว่า ท่านมีอะไรเก็บซ่อนไว้หรือเปล่า?” ว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ฮึ่ม! เจ้ากล้าล้อข้าเล่นเชียวเหรอ!”

วู่หยานทำท่าไม่พอใจกลบเกลื่อน นางไม่ได้เป็นอะไรกับลู่เป่ยสักหน่อย… นางแค่...ไม่ชอบเขาเท่านั้น

เมื่อกล่าวหยอกล้อจบ ว่านเอ๋อร์ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีเรื่องอยากขอท่าน...”

“ขอมาเถอะ ถ้าทำได้ข้าก็ไม่ปฏิเสธ”

“ถ้าเกิดลู่เป่ยเข้าร่วมการต่อสู้ ท่านปราณีเขาด้วย อย่าให้เขาบาดเจ็บมากนัก...”

“เด็กโง่ ต่อให้เขาบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณไม่สำเร็จ ข้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ง่ายๆหรือ เจ้าโจรน้อยนั่นมีวิชาเย้ายวนที่ทรงพลังมาก” นางกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อครั้งที่หนิงฝานสัมผัสตัวนาง เขาแอบใช้ดรรชนีคลายหยินกับนางด้วย

“โจรน้อย? วิชาเย้ายวน?” ว่านเอ๋อร์สงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก… เจ้าอยู่กับเขาไปเถอะ ข้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว เดี๋ยวสนมอสูรจื่อจะตำหนิข้า...”

วู่หยานดูราวกับกำลังปิดบังบางอย่าง

ว่านเอ๋อร์จ้องมองแผ่นหลังของวู่หยานพลางถอนลมหายใจ

“ท่านพี่โดดเดี่ยว… แม้ท่านจะมีสถานะสูงส่ง แต่ก็ยังโดดเดี่ยวน่าเห็นใจ...”

นางค่อยๆเดินไปที่ริมสระช้าๆ “เหตุใดเจ้ายังไม่ออกมา...”

นางอยากกระโดดลงไปดูว่าหนิงฝานปลอดภัยหรือเปล่า แต่นางทำไม่ได้

แม้นางจะรักหนิงฝานมาก แต่นางก็รักชีวิตตนเองมากกว่า นางกลัวอสูรทมิฬ กลัวปราณอสูรที่รุนแรงจะฉีกร่าง

“เจ้าควรช่วยข้าสร้างปีกหงส์เพลิง ถ้าไม่มีเจ้า แม้ข้าจะมีปีก จะให้ข้าบินไปหาใคร”

“หนิงฝาน… การต่อสู้จะเริ่มแล้ว ทุกคนรอเจ้าอยู่... ข้าคิดถึงเจ้า ถ้าเจ้าออกมาแล้วเข้าร่วมต่อสู้ เจ้าก็ต้องประสบอันตราย ข้าเป็นห่วงเจ้า...”

“อีกครึ่งเดือนงานประลองจะเริ่มแล้ว ท่านพี่ก็กลับมาจากเมืองทะเลทรายทางเหนือ… ถึงตอนนี้เมืองลั่วหยุนจะสงบ แต่ก็เหมือนมีอันตรายแอบซ่อนทุกหนแห่ง… เจ้าออกมาเถอะนะ… ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...”

นางกุมมือที่หน้าอกพลางอธิฐาน นางขอให้หนิงฝานบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณได้สำเร็จ

นางยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นจนตะวันตกดินไม่จากไป

แต่เมื่อนางกำลังจะจากไป นางก็สัมผัสพบความเคลื่อนไหวในสระ และเสียงของคนผู้หนึ่ง

“วางใจเถอะ… ข้าไม่เป็นไร อีกไม่นานข้าจะออกไป”

“หนิงฝาน!” นางหันหน้ากลับมาอย่างมีความสุข หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น

แม้หนิงฝานจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยเขาก็ปลอดภัย

“ข้าต้องรีบแล้ว… ข้ารู้สึกว่าเมืองลั่วหยุนตอนนี้ไม่สงบอีกแล้ว...”

เมื่อนางจากไป หนิงฝานจ้องมองแผ่นหลังนางพลางขมวดคิ้ว “เกิดการต่อสู้เหรอ...”

เขามีสัมผัสเทพที่ทรงพลัง แม้จะอยู่ก้นสระมังกร แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงที่นางและทุกๆคนที่มาหา

เขารู้ว่าบ่าวทั้งสองของเขาและว่านเอ๋อร์เป็นห่วง

แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือสนมอสูรวู่หยานมาหาเขาที่สระมังกรอยู่หลายครั้ง

นางคงคิดว่าเขาไม่ได้ยิน แต่เขาได้ยิน

นอกจาก เหล่าสตรีของตำหนักราชาอสูรหลายคนที่ทยอยมาที่สระมังกรเพื่อทะลวงขอบเขต หนิงฝานก็รู้

ต้องขอบคุณนางที่นางมาบอกกล่าวเรื่องราวมากมายให้เขาได้รู้ บางที เขาอาจจะรู้มากกว่านายกองอสูรบางคนด้วยซ้ำ

“นางน่าสนใจจริงๆ… ช่วงหลังที่นางมาหาข้า นางบอกเล่าเรื่องราวมากมาย”

ยามนี้หนิงฝานยังคงอยู่ใต้ก้นสระมังกร เบื้องหน้ามีกระบี่แยกสวรรค์ มันเปล่งจางๆ ความคมเพิ่มขึ้นมากกระทั่งเปิดรอยแยกมิติได้ง่ายๆ เขาสลักอักษรให้มันทั้งหมด 15,450 ตัว ระดับของมันก็เพิ่มพูนไปมาก จนทำให้เขาต่อกรกับขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางได้ง่ายๆ

แส้อัสนีได้กลายเป็นสีดำ มีอัสนีสีแดงแปรบปราบ ขดพันรอบตัวหนิงฝาน เขาสลักอักษรอัสนีให้มัน 15,450 ตัว อานุภาพของมันสามารถกระชากและทำลายดวงจิตของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลางได้

ปีกฟู่ลี่ของเขาก็ได้สลักอักษรความเร็วไว้เป็นจำนวนมากจนยามนี้ มันทำให้เขารวดเร็วเทียบผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูงสุด

แล้วด้วยวิชาเคลื่อนย้ายพริบตาของขอบเขตตัดวิญญาณ เขาสามารถพุ่งผ่านระยะทาง 3 หมื่นลี้ในพริบตาได้ไม่ยาก

“หอกตะวัน!” หนิงฝานโคจรวิชา สร้างหอกสีทองขึ้นในมือ แม้มันจะทรงพลังแต่ใช้ปราณไปไม่น้อย ดังนั้นครั้งนี้ เขาจึงลองใช้มันโดยการหยิบยืมปราณจากสระมังกร

ในระหว่างที่สลักอักษรปีศาจ และดูดซับปราณอสูรจากสระมังกรนั้น ยามนี้ ปราณอสูรของหนิงฝานบรรลุ 5 หมื่นเกราะ ซึ่งเทียบได้กับขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง

วิชาดึงวิญญาณช่วยหนิงฝานได้มาก มันทำให้เขาเพิ่มพูนปราณได้อย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณทั่วไปจะไม่มีวิชาดึงวิญญาณเหมือนหนิงฝาน

หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูงสุดเข้าร่วมประลอง หนิงฝานมั่นใจว่าจะเอาที่ 1 ได้

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หนิงฝานยังคงไม่ปรากฏตัว

บนเวทีประลองเมฆา ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 9 เผ่าได้ขึ้นไปข้างบนเรียบร้อย การที่จะขึ้นไปรับชมการลองได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่บรรลุขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นไปบนเวทีทั้งหมดของทั้ง 9 เผ่ารวมกัน มีด้วยกัน 107 คน ไม่รวมที่หนิงฝานสังหารไป 4 คน เผ่าลั่วหยุนส่งนายกองอสูรทั้งหมดออกมา รวมกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณของตำหนักราชาอสูร ทำให้มีคนไม่น้อย

นอกจากผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณแล้ว ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเองก็มีสิทธิ์เข้าร่วมสู้ในรอบแรกได้ หากมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งพอ

เวทีเมฆาถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการพิเศษอย่าง ชายชราใช้แก่นโลหิตของตนในการสร้าง ผสานกับข่ายอาคมชนิดที่พิเศษที่สามารถสร้างหมอกได้

เมื่อผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในเวทีประลอง หากพวกมันดูดซับหมอกไป ระดับโลหิตของพวกมันจะเพิ่มพูน

ชายชราสร้างเวทีนี้ขึ้นเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับหนิงฝาน ถ้าเกิดหนิงฝานทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณไม่สำเร็จ หมอกโลหิตก็จะช่วยเสริมความได้เปรียบให้

การแข่งขันจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 รอบ… รอบแรกคือการคัดคนจำนวนมากให้เหลือ 200 คน รอบที่สองจะคัดให้เหลือ 100 คน รอบที่สามคัดให้เหลือ 50 คน รอบสุดท้ายก็คัดให้เหลือผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าไปแดนสาม

วิธีการคัดคนในรอบแรกคือ จะมีแผ่นข่ายอาคมสีม่วงอยู่ 200 แผ่น และมีข่ายอาคมสีขาวอีก 25,600 แผ่นกระจายกันไป หากผู้ใดขึ้นไปยืนบนแผ่นข่ายอาคมสีขาว แผ่นข่ายอาคมจะแตก

การประลองครั้งใหญ่เป็นจุดสนใจของผู้คนมากมาย เมื่อเวทีเปิดให้ผุ้คนเข้าชม ผู้เชี่ยวชาญนับแสนเร่งจับจ้องเก้าอี้นั่งอย่างรวดเร็ว

การคัดเลือกในรอบแรกนี้ นอกจากจะต้องหาแผ่นข่ายอาคมสีม่วงให้เจอแล้ว ยังต้องดูดซับปราณม่วงที่อยู่ภายใน ซึ่งปราณจะช่วยระดับโลหิต การยกระดับของโลหิตจะมีการวัดระดับโดยการใช้สี ได้แก่ แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม ฟ้า และม่วง ปราณม่วงที่อัดแน่นอยู่ในแผ่นข่ายอาคมทั้ง 200 แผ่นนั้น เพียงพอให้ระดับโลหิตของผู้ที่ดูดซับกลายเป็นสีม่วงได้ 200 คน แต่หากเริ่มการคัดเลือกแล้ว อาจมีคนผ่านไม่ถึง 200 คนก็เป็นได้

ยามนี้งานประลองยังไม่เริ่ม ลู่ตู้เฉินเฝ้ารอหนิงฝาน ว่านเอ๋อร์ได้แจ้งชายชราแล้วว่าหนิงฝานจะมา ดังนั้นก่อนที่หนิงฝานจะมา ชายชราจะไม่เริ่มงานประลอง

ในขณะที่ผู้คนเฝ้ารอ ทุกคนก็ถือโอกาสพูดคุยสนุกสนาน

“พี่เฉิน… ทำไมงานถึงยังไม่เริ่ม ข้างานควรเริ่มได้แล้ว”

“เขากำลังรอลู่เป่ย...”

“ลู่เป่ย? นายกองอสูรคนที่ 8 ที่สังหารนายกองอสูรไป 3 คนนั่นหน่ะเหรอ? ชื่อเสียงของเขาออกจะโด่งดัง เหตุใดข้าจะไม่รู้”

“ตอนนี้ลู่เป่ยยังไม่มา ข้าว่าคงจะรอจนกว่าเขาจะมา ได้ข่าวว่า ก่อนหน้านี้เขาบอกจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณให้ได้ใน 10 ปี แต่ตอนนี้ก็เลยกำหนดเวลาแล้วเขาก็ยังไม่กลับออกมา สงสัยได้รอเก้อแน่”

“อะไรนะ? ทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณใน 10 ปี! เป็นไปได้ด้วยเหรอ? ข้าว่ามันทะลวงขอบเขตไม่สำเร็จหรอก… เรื่องที่มันจะทะลวงขอบเขตหรือเปล่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่อใหญ่คือคนอื่นๆกำลังเสียเวลา”

“เบาๆ… ถึงลู่เป่ยจะทะลวงขอบเขตไม่สำเร็จ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่แข็งแกร่ง… ที่ลู่ตู้เฉินรอก็เพื่อจะเสริมกำลังให้ตำหนักราชาอสูร เราคงได้แค่รอนั่นแหละ”

ผู้คนมากมายกระซิบกระซาบพูดคุย

ใขณะนั้นเอง หวางเซี่ยวที่นั่งอยู่ก็แค่นเสียง มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นสูง จะมาให้มดปลวกอย่างหนิงฝาน มันไม่พอใจมาก

“นายกองหวางอย่าเพิ่งโกรธไป… พวกเรากำลังเตรียมการ เห็นแก่หน้าท่านลู่ตู้เฉินด้วย...” นายกองอสูรเกราะเงินคนหนึ่งกล่าวขึ้น

“ฮึ่ม...” หวางเซี่ยวแค่นเสียง

“ในเมื่อตำหนักราชาอสูรหนุนหลังลู่ตู้เฉิน… ข้าก็อยากไว้หน้าอยู่บ้าง แต่เจ้าลู่เป่ยมันสังหารคนของข้าไป ข้าไม่อยากไว้หน้ามันหรอก! ข้าเป็นนายกองแห่งแดนสวรรค์อสูร แม้ข้าจะไม่ทรงพลังเท่าซูฉวน แต่ศักดิ์ฐานะของข้าไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด ข้าจะคว้าที่ 1 ในการประลองนี้ให้ได้!”

หวางเซี่ยวโมโหมาก ครั้งแรกที่มันมาที่นี่ ประตูมิติถูกทำลายจนทำให้ร่างกายของมันถูกทำลายไปด้วย

การที่มันฟื้นฟูร่างกายได้ใหม่ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากแดนสวรรค์อสูร

องค์ชายซูฉวน แม้จะมีชื่อเสียงและเป็นถึงบุตรชายของกษัตริย์แห่งโลกอสูร แต่ก็เป็นแค่โลกระดับล่าง

ส่วนลู่เป่ย ไม่มีผู้ใดรู้ที่มา รู้แค่แข็งแกร่งกว่าทั่วไป

“ท่านอดทนอีกหน่อยเถอะ!” นายกองเกราะเงินกล่าว

“ก็ได้… ข้าทนก็ได้!”

หวางเซี่ยวกวาดตามองไปทั่วทั้งสนาม ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่สตรีในอาภรณ์ม่วงนางหนึ่ง แล้วชี้นิ้วไปหานาง

“ซู่ฉิน! สตรีนางนั้น นางคือสตรีของลู่เป่ย นามลู่ว่านเอ๋อร์!” หวางเซี่ยวจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด