ตอนที่ 242 สมควรตาย (ฟรี)
หลงเทียนเซียวและพลทหารกว่าสิบห้าหมื่นนายวิ่งตะบึงออกไปอย่างไม่ลดละ ทว่าจู่จู่ก็มีคมวายุขนาดใหญ่สายหนึ่งพุ่งตัดเข้ามาระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้วกระแทกเข้าไปยังใจกลางของกลุ่มศิษย์ฝ่ายอธรรมอย่างรุนแรง
คมวายุสายนั้นหอบสายลมกรรโชกแรงกวาดทุกสิ่งอย่างที่ขวางอยู่เบื้องหน้าจนราบเป็นหน้ากลอง ศิษย์ฝ่ายอธรรมที่พอจะไหวตัวทันต่างก็รีบถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่ามีเงาร่างกว่าเจ็ดแปดสายที่ถูกพลังอันมหาศาลของคมวายุโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวจนถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ไปในทันที
“ซูม”
ทันใดนั้นเองที่เบื้องหน้าของหลงเทียนเซียวก็มีเงาร่างขนาดมหึมาขวางอยู่ทางด้านหน้า พลันสายตาก็มองเห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่บนหลังของหมาป่าหิมะแดงเพลิงจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงลานขึ้นมา
“เฉินเอ๋อ เป็นเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินค่อยๆ หันหน้ากลับไป แม้ไม่ได้พบกันนานหลายเดือนทว่าบิดาของเขาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ดวงตาคู่นั้นทำให้หลงเฉินเกิดความอบอุ่นขึ้นมาภายในใจ “ท่านพ่อ พวกท่านถอยออกไปก่อนเถิด ปล่อยให้ข้าจัดการพวกเขาเอง หากจบเรื่องนี้แล้วค่อยไปร่ำสุรารำลึกถึงความหลังด้วยกัน”
หลงเทียนเซียวสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง บุตรชายที่ได้แยกจากกันไปกว่าครึ่งปีได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก ความเยาว์วัยบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความคมเข้มและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จิตวิญญาณเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ ในที่สุดหลงเฉินก็เติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว
“พลทหารทุกนาย ถอย!”
หลงเทียนเซียวตะโกนออกคำสั่งเสียงดังสนั่น เมื่อทราบดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องมีพวกเขาอีกต่อไปแล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้ก็คิดเพียงว่าจะต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาให้ประชาชนสามารถอพยพออกไปจนหมดก็เท่านั้นเอง
“คิดไม่ถึงเลยว่าพี่หลงจะกลับมา” ซือเฟิงทอสีหน้าปลื้มปิติมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉิน
เมื่อศิษย์ฝ่ายอธรรมเห็นการลงมือที่ร้ายกาจของหลงเฉินแล้วต่างก็แตกตื่นตกใจกันพัลวัน ทว่ากลับมีศิษย์สายตรงผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ก็แค่ผักปลาขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งที่มีสัตว์เลี้ยงแข็งแกร่งกว่าก็เท่านั้น ข้าจะจัดการกับเจ้าเดรัจฉานผู้นั้นเอง พวกเจ้าแยกย้ายกันไปสังหารเหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังเถิด อย่าปล่อยให้พวกมันหลบหนีไปได้ เมื่อเสร็จทางนี้แล้วค่อยตามไปฆ่าล้างประชาชนในเมืองกัน”
หลังจากที่ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมผู้นั้นสั่งการเหล่าผู้คนทั้งหมดแล้ว เขาก็ได้จ้วงฝีเท้าวิ่งตะบึงไปหาเสี่ยวเสว่ยและหลงเฉินในทันที
ในขณะที่เสี่ยวเสว่ยลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะก้าวออกไป ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้ลูบศีรษะของเจ้าหนูน้อยแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเสว่ย ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ทันทีที่กล่าวจบหลงเฉินก็ย่างก้าวออกไปทางด้านหน้า ดวงตาคู่คมจดจ้องไปที่ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมที่กำลังวิ่งตะบึงเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“หาที่ตาย”
กระบี่ยาวสีโลหิตในมือของคนผู้นั้นหอบสายลมพวยพุ่งเข้ามายังหน้าอกของหลงเฉินประดุจสายฟ้าฟาด กระแสโลหิตภายในร่างกายไหลเวียนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งเล็งเข้าไปที่จุดอ่อนของศัตรูในทันที
นี่เป็นความน่าหวาดกลัวที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของศิษย์ฝ่ายอธรรมทุกคน เพราะพวกเขาได้เข่นฆ่าผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน รังสีสังหารอันแรงกล้าจึงแฝงอยู่ในทุกอณูของร่างกายจนถึงเนื้อกระดูก ขอเพียงขยับร่างกายก็สามารถทำให้จิตใจของผู้คนเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาได้แล้ว
หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาพร้อมกับสะบัดดาบยาวออกไปหมายที่จะตัดศีรษะของศิษย์สายตรงผู้นั้นออกมา ทั้งยังมองตรงไปยังเบื้องหน้าราวกับว่ามองไม่เห็นกระบี่ยาวสีโลหิตของศัตรูที่กำลังแทงเข้ามาด้วยเช่นกัน
ศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมทอสีหน้าเย้ยหยันขึ้นมาในทันที ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะออกกระบวนท่าที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาเป็นฝ่ายลงมือก่อนจึงสามารถชิงความได้เปรียบของการโจมตีในครั้งนี้ ภายในจิตใจจึงเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าคมกระบี่ของตัวเองจะต้องแทงทะลุอกข้างซ้ายของหลงเฉินก่อน จากนั้นก็ค่อยหลบคมดาบนั้นคงจะไม่ยากเย็นอันใด
ทว่าจู่จู่มือข้างหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยประกายอัสนีบาตก็ได้คว้าจับมาที่กระบี่ยาวสีโลหิตของเขาโดยพลัน แล้วทันใดนั้นพลังอันน่าหวาดกลัวขุมหนึ่งก็หลั่งไหลไปทั่วทั้งร่างกายของเขาจนเกิดอาการชาด้านขึ้นมาเป็นสาย เพียงพริบตาเดียวก็ราวกับว่าวิญญาณแทบจะหลุดลอยออกไป
ถึงแม้ว่าพลังแห่งอัสนีบาตขุมนั้นจะไม่ได้แกร่งกล้ามากนัก ทว่ากลับเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตได้เลยทีเดียว และในขณะที่ดวงตากำลังจะเหลือบมองไปที่ดาบใหญ่ของหลงเฉิน จู่จู่ความรู้สึกชาด้านก็สลายหายไปแล้วศีรษะของเขาก็ลอยคว้างสู่กลางอากาศไปเรียบร้อยแล้ว
“พรวด”
โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูดไปทั่วทั้งบริเวณ ส่งกลิ่นคาวตลบอบอวลไปทั่วจนผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าโง่งมขึ้นมา หลงเฉินไม่แม้แต่รีรอให้ศีรษะของคนผู้นั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นพลันก็ได้พุ่งตัวออกไปทางด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ตายซะ!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วประดุจเสียงสายฟ้าคำรน ดาบยาวมุ่งหน้าแหวกบรรยากาศไปทางศิษย์ฝ่ายอธรรมไปในทันที
“พรวด”
ไม่มีศิษย์ฝ่ายอธรรมคนใดสามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวประดุจเทพสงครามเอาไว้ได้เลย ดาบยาวที่หลงเฉินหยิบยืมมาจากศิษย์พี่ว่านก็ได้กวาดเงาร่างทุกสายที่ขวางอยู่ทางเบื้องหน้าด้วยพลังอันมหาศาลของขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบสาม
ไม่ว่าจะศาสตราวุธสีโลหิตเหล่านั้นจะแข็งแกร่งมากมายเพียงใด ขอเพียงถูกคมดาบกระแทกเข้าไปอย่างเต็มแรงก็มีแต่ต้องแหลกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปในทันที แม้แต่เงาร่างที่อยู่หลังเงาอาวุธสีโลหิตก็ยังแหลกสลายกลายเป็นเนื้อบดลอยกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ
หลังจากที่ศิษย์สายตรงผู้นั้นถูกสังหารด้วยกระบวนท่าเดียว เหล่าผู้คนที่เหลือต่างก็ตกอยู่สภาวะแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่จนวิ่งหนีตายกันให้วุ่นวาย ทว่าน่าเสียดายที่หลงเฉินไม่ให้โอกาสนั้นกับพวกเขาเลย ดาบยาวในมือร่ายระบำไปมาอย่างบ้าคลั่งเข้าตัดผ่านคอหอยของผู้คนจนเกิดเป็นเสียงกรีดร้องดังระงมติดต่อกันไม่หยุด
แม้แต่หลงเทียนเซียวที่ออกรบมาแทบจะทั้งชีวิตยังต้องรู้สึกตกใจจนเนื้อเต้นขึ้นมาเมื่อมองไปยังการลงมืออันเหี้ยมโหดของบุตรชาย ควรทราบว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นถึงยอดฝีมือของฝ่ายอธรรม อีกทั้งยังมีพลังการฝึกยุทธ์แข็งแกร่งกว่าเขาเป็นสิบเท่าเลยก็ว่าได้ ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลงเฉินถึงกับยินยอมพร้อมรับความตายกันอย่างว่าง่าย
ดาบยาวในมือของหลงเฉินฟาดฟันออกไปจนสาดหยาดโลหิตไปทั่วทั้งผืนฟ้า ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังศิษย์ฝ่ายอธรรมที่ถูกลดทอนลงไปเรื่อยๆ ด้วยความเกียจคร้านขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยร่นมาอยู่เบื้องหน้าของหลงเทียนเซียวแล้วกล่าวขึ้นมาว่า
“บุตรชายของท่านมีความสามารถเหลือคณานับ ไม่ทำให้ท่านต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน!”
หลงเทียนเซียวเหม่อมองไปยังร่างกายที่เปื้อนคราบโลหิตของบุตรชายด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ทว่าเมื่อได้เห็นการลงมืออย่างเก่งกาจของเขาแล้วกลับทำให้ภายในจิตใจของตนเกิดความเบิกบานขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม! สมแล้วที่เป็นบุตรชายของขุนนางเจิ้งหยวนหลงเทียนเซียวผู้นี้จริงๆ” หลงเทียนเซียวกล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจแล้วยื่นมือไปตบที่บ่าของหลงเฉินเบาๆ
หลงเฉินเสียบดาบยาวลงบนพื้นดินแล้วสวมกอดบิดาของเขา ถึงแม้ว่าหลงเทียนเซียวจะไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้า ทว่าด้วยความผูกพันของพวกเขากลับแทบจะไม่แตกต่างจากบิดาและบุตรที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย
“เฉินเอ๋อ เจ้าเติบใหญ่ขึ้นมากเลย”
หลงเทียนเซียวกระชับร่างของบุตรชายเอาไว้ ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะซูบผอมลงไปจากเดิมเล็กน้อย ทว่าบนร่างกายของเขากลับมีพลังอันมหาศาลปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงตลอดเวลาประดุจมังกรที่ตื่นขึ้นมาจากการถูกผนึกเป็นเวลานาน
“พี่หลง ข้าดีใจนักที่ได้พบท่านอีกครั้ง” ซือเฟิงวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วสวมกอดซือเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะไม่ได้พบกันเพียงครึ่งปีทว่าความรู้สึกของหลงเฉินราวกับว่าได้ผ่านเลยไปนานถึงครึ่งชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อได้อยู่ต่อหน้าบุคคลเหล่านั้น เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งและสามารถปล่อยวางทุกสิ่งอย่างได้
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”
ในขณะที่หลงเฉิน หลงเทียนเซียว และซือเฟิงกำลังสนทนากันออกรสอยู่นั้น จู่จู่ก็มีกลุ่มคนที่สวมชุดคลุมสีสันสดใสนับสิบคนปรากฏตัวขึ้นมา บนร่างกายของพวกเขาแฝงด้วยบรรยากาศแห่งผู้มีอำนาจบาตรใหญ่เอาไว้จนเป็นแรงกดดันอันรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วบริเวณจนทำให้ผู้คนหายใจอย่างยากลำบาก สายตาดุดันของพวกเขาจับจ้องมาที่หลงเฉิน พลันก็เข้าตรวจสอบสภาวะที่อยู่บนร่างกายของหลงเฉิน
“พวกท่านคงจะเป็นคนของสำนักใหญ่สินะ นี่คือบุตรชายของข้า....หลงเฉิน พวกท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป” หลงเทียนเซียวรีบท้วงขึ้นมาอย่างแตกตื่นตกใจ
“คนผู้นี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน พวกเราสงสัยว่าเขาจะเป็นคนของฝ่ายอธรรม ขอนำตัวกลับไปสอบปากคำก่อน ตามข้ามาเจ้าหนู พวกเราจะพาเจ้าไปพบกับผู้อาวุโสของสำนัก” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับก้าวขึ้นมาหมายที่จะจับกุมหลงเฉิน
ผู้มาเยือนทั้งสิบคนนี้ก็คือศิษย์พี่โล้วและพวกพ้องของเขาที่ได้จับตาดูการต่อสู้อยู่ในมุมที่ห่างไกลออกไปเมื่อครู่นี้นั่นเอง เมื่อเห็นว่าหลงเฉินปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งยังสังหารเหล่าศิษย์ฝ่ายอธรรมทั้งหมดเพียงลำพังจึงอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นขึ้นมา ศิษย์พี่โล้วผู้นั้นเกิดบันดาลโทสะจนคิดที่จะใช้ข้ออ้างนี้เพื่อชิงตัวหลงเฉินไปลงโทษ
“ซูม”
ดาบยาวของหลงเฉินกวาดผ่านหน้าของคนผู้นั้นจนเกิดอาการแตกตื่น พลันก็รีบกระโดดถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
“คิดจะลงมือทำร้ายผู้คนอย่างนั้นหรือ? เจ้าคงจะเป็นสายลับของฝ่ายอธรรมสินะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจ ลงมือพร้อมกัน! สังหารทั้งหมดอย่าให้เหลือ!” ศิษย์พี่โล้วตะโกนเสียงดังแล้วชักกระบี่ออกจากฝัก
“เหตุใดพวกท่านถึงไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีบ้าง? ทั้งยังปรักปรำผู้คนโดยไม่ฟังความอีก” ซือเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด
เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าหลงเทียนเซียวยืนยันว่าหลงเฉินเป็นบุตรชายของตน แล้วเหตุใดพวกเขายังคิดที่จะจับตัวหลงเฉินไปอีก การกระทำเช่นนี้คือการปรักปรำผู้คนอย่างชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินโบกมือขึ้นมาแล้วหันไปกล่าวต่อบิดาว่า “ท่านพ่อ ท่านกับซือเฟิงถอยไปให้ไกลก่อน ข้ามีเรื่องที่จะต้องสะสางกับพวกเขาสักหน่อย”
เมื่อหลงเฉินกล่าวจบก็หันหน้ากลับมา ดวงตาคู่คมจดจ้องไปยังใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันของศิษย์พี่โล้ว นับตั้งแต่มาถึงสถานที่แห่งนี้หลงเฉินได้ทำการตรวจสอบดูโดยรอบแล้วก็พบว่าพวกเขาได้จับตาดูอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อผู้คนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นจึงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับไม่เข้าใจถึงเป้าหมายของคนเหล่านี้ว่าต้องการสิ่งใดจนเมื่อเห็นใบหน้าของศิษย์พี่โล้วก็พอที่จะคาดเดาถึงเหตุผลได้ถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคร้านที่จะอธิบายความให้ยืดยาวแล้วเอาแต่จ้องเขม็งไปที่คนผู้นั้นแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “คนของสำนักนรกโลหิตช่างความจำสั้นกันเสียจริง หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ถูกสังหารไปครั้งนั้นคงจะเป็นศิษย์น้องของเจ้าสินะ”
ศิษย์พี่โล้วมีใบหน้าชาซ่านขึ้นมาในทันที แววตาทั้งสองเปล่งประกายจิตสังหารขึ้นมาอย่างท่วมท้น ทว่าเขาก็รีบเก็บกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังกล่าวถึงเรื่องอันใดกัน ที่ข้าจะจับกุมเจ้าก็เพราะเจ้าคิดจะขัดขืน เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเจ้าเป็นสายลับของฝ่ายอธรรม เหอะ วันนี้ข้าจะต้องสังหารพวกเจ้าทั้งหมดเอง”
เมื่อได้ฟังวาจาของศิษย์พี่โล้วแล้วหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นมา พลันก็ยกนิ้วชี้หน้าด่าทอศิษย์ของสำนักนรกโลหิตทั้งสิบคนอย่างไม่แยแสว่า
“สำนักนรกโลหิตก็เป็นแค่สำนักของพวกปลายแถวเท่านั้น พวกเจ้าที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายเพียงไปกี่คนกลับกล้าสามหาวต่อหน้าข้าผู้นี้ นี่พวกเจ้าอยากให้ข้าขบขันจนตายหรืออย่างไรกัน?”
ถึงแม้ว่าศิษย์ของสำนักนรกโลหิตจะเป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งหมด ทั้งยังมีสถานะเป็นศิษย์มีสำนัก ทว่าหากเทียบกับหมู่ตึกพลิกสวรรค์แล้วก็เป็นได้แค่ชนชั้นเช็ดขัดรองเท้าเท่านั้น
บุคคลอย่างพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะอยู่ในระดับเดียวกันกับศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์เลยด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นก็คือที่หมู่ตึกพลิกสวรรค์มีความลับอย่างโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์อยู่นั่นเอง
“กล่าววาจาไร้สาระให้น้อยหน่อย เพราะข้าจะสังหารเจ้าเอง!”
ศิษย์พี่โล้วระเบิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ ตลอดทั่วทั้งร่างปะทุพลังสภาวะที่เดือดดาลออกมาไม่หยุด ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ก็พากันชักกระบี่ยาวออกมาแล้วมุ่งหน้าไปหาหลงเฉินในทันที
สมควรตาย!
หลงเฉินกระตุ้นพลังลมปราณภายในดารากักวายุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ตลอดทั่วทั้งร่างมีกระแสสายลมอันน่าหวาดกลัวพลิ้วไหวไปมา บนร่างกายมีกลิ่นอายของพลังสภาวะประดุจสัตว์ร้ายในโบราณกาลที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหลอันยาวนาน ดาบยาวในมือพลิกขึ้นสู่พื้นฟ้าพร้อมที่จะเข้าห้ำหันกับผู้คนเหล่านั้นอย่างไร้ความปราณี
.
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 735 แล้วครับ)