บทที่ 69 จงเชื่อมั่นในตัวข้า !
บทที่ 69 จงเชื่อมั่นในตัวข้า !
ทั้งศิลาพระเจ้าทุกคนต่างก็เงียบสนิท เสียงของโม่ซานสะท้อนไปทั่วสนามประลอง
ฉื่อเจี้ยน ที่นั่งอยู่ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาแทบอยากจะไปตรงกลางของสนามประลองและตบโม่ซานให้ตกตายไปสะ
ทุกคนจาก ตระกูลเป่ยหมิง หลิง และ ซั่ว ต่างก็มองไปที่ฉื่อเจี้ยนด้วยความเห็นใจ . นักรบหลายคนที่อยู่รอบสนามประลองต่างก็มองไปที่ฉื่อเจี้ยน ด้วยความเห็นอกเห็นใจเช่นกัน
ณ จุดนี้ ทุกคนต่างก็ได้เห็นถึงความแร้งน้ำใจของตระกูลโม่ และพวกเขาเองก็ยังรู้ว่าพวกตระกูลโม่ต้องใช้เล่ห์กลบางอย่างแน่ๆ
แต่นี่คืออะไร คือการประลองฝีมือ แต่ละฝ่ายก็ต้องการที่จะใช้วิธีการของตนเองทั้งนั้น และตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฏการประลองพวกเขาก็จะไม่ถูกลงโทษ ไม่ว่าอย่างไร ผู้แพ้ก็ไม่มีสิทธิพูดออกมา
แม้ว่าตระกูลฉื่อจะไม่ชอบใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถขัดแย้งสิ่งใดได้ และแน่นอนว่า เขาเองก็ไม่อยากไปสร้างความขุนมัวให้กับคนอื่นๆ
เวลานั้นเอง ฮันเฟิงก็เดินมาจากด้านหลังของตระกูลฉื่อและส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับฉื่อเจี้ยนและ เขาก็กล่าวว่า " นายท่านมีคนบอกให้ข้า นำสิ่งนี้มาให้ท่าน "
ฉื่อเจี้ยน พยายามควบคุมอารมณ์ของตัสเอง เขาชำเลืองมองไปที่โน้ต และสีหน้าของเขาก็พลันชะงัก
" รุ่นเยาว์จากตระกูลโม่ เอาพลังมาจาก เลือดของมังกรพิษที่จักวรรดิ์พรพระเจ้า เลือดนั่นจะช่วยให้พลังของมันแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงเวลาสั้นๆ และเมื่อหมดฤทธิ์ พวกมันจะสูญเสียการบ่ทเพราะของพวกมันไปหนึ่งปี มันจะดีที่สุดสำหรับท่านหากไม่ไปต่อกรกับมันตรงๆ หรือมิฉะนั้นเจ้าจะต้องสูญเสียมากแน่นอน เจ้าเฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังโม่ตั่วนั้นเป็นนักกลั่นสกัดชื่อว่า เซี่ยโช มันมาจากหุบเขามังกรพิษ ด้วยความจริงใจ จากมู่ชุน "
ฉื่อเจี้ยนมองตัวหนังสือบนกระดาษด้วยใบหน้าที่น่ากลัว ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตระกูลโม่ทำสิ่งใด
เพื่อแค่ต้องการกำจัดตระกูลฉื่อ โม่ตั่วถึงกับต้องสละพลังปราณลึกลับของลูกหลานเลยงั้นรึ ในทางกลับกัน วิธีนี้กลับทำให้ ฉื่อเทียนลั่ว และ ฉื่อเทียนหยุน ต้องรักษาอาการบาดเจ็บนานถึง 3-5 ปี ช่างเป็นวิธีการที่โหดร้ายนัก !
สีหน้าของฉื่อเจี้ยนเปลี่ยนเป็นมืดมน เขามองไปที่ฉื่อหยานและตัดสินใจรอต่อไป
ถ้ามูซุน ไม่ได้ส่งข้อมูลนี้มา ฉื่อเจี้ยนอาจจะส่งฉื่อหยานลงไปสนามประลองแล้ว
และตอนนี้ ฉื่อเจี้ยนได้รู้ความจริงแล้วว่าตระกูลโม่นั้นได้รับพลังมาจากผลของเลือดมังกรพิษ และตอนนี้เองพวกมันก็พร้อมที่จะประลองในรอบต่อไปแล้ว , ฉื่อเจี้ยนจึงลังเล
โม่ซานนั้นอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง . แต่หลังจากที่ใช้ยาเลือดมังกรพิษ ความสามารถของมันก็จะอยู่ในระดับมนุษย์ทันที แต่ว่า นักรบในระดับมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะทำลายจิตวิญญานกายาแข็งในขั้นที่สองของฉื่อหยานได้เช่นกัน
ฉื่อหยานเองก็พึ่งหันมาฝึกวิชาเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นฉื่อเจี้ยนจึงคิดว่าเขานั้นขาดประสบการณ์การต่อสู้จริงอยู่
และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ฉื่อหยานอาจจะถูกทำลายในการประลองก็เป็นได้ ฉื่อหยานนั้นได้รับสืบทอดจิตวิญญานแฝดและไม่บ่อยนักที่ตระกูลฉื่อจะให้กำเนิกเด็กที่มีจิตวิญญานแฝด ในอนาคตเขาต้องเหนือว่าเป่ยหมิงเช้อแน่นอน เขานั้นถือได้ว่าเป็นความหวังของตระกูลฉื่อเลยก็ว่าได้
ถ้าการประลองครั้งทำให้ฉื่อหยานบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถฝึกฝนได้ มันไม่เพียงแต่จะทำให้เขาบ่มเพราะช้าลง แต่เส้นทางแห่งความสำเร็จของเขาก็อาจจะหยุดอยู่ตรงนี้ตลอดไปก็เป็นได้
ยิ่งเขาคิดถึงผลได้ผลเสียเท่าใด ฉื่อเจี้ยนก็ยิ่งลังเล เขารู้สึกอยากจะปกป้องฉื่อหยานเป็ยอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะต้องอับอายก็ตาม
แล้วตอนนั้นเอง
ซั่วฉือก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆจากอีกด้านของตระกูลซั่ว พร้อมกับแบกถุงยักษ์มาด้วย
โดยรูปร่างที่งดงามของซั่วฉื่อทำให้รอบๆสนามประลองเกิดความไม่สงบขึ้นทันที หลายๆคนต่างก็มองมาที่ซั่วฉื่อ ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยตัณหาไปที่ขาเรียวยาวของนาง
ในไม่ช้า ซั่วฉื่อก็มาถึงโต๊ะของตระกูลฉื่อ นางยืนอยู่อยู่ข้างๆ ฉื่อเจี้ยนและวางถุงลงบนโต๊ะ จากนั้นนางก็พูดเบาๆ " ท่านปู้ฉื่อ ปู่ของข้าบอกว่าให้นำเกาะเต่ามังกรมาให้กับท่าน เพื่อเอาชนะตระกูลโม่ ."
จากนั้นนางก็หันไปที่ฉื่อหยาน และพูดเบาๆว่า " เจ้าลงไปประลองสะ " .
หลังจากที่ซั่วฉื่อส่งสารจากตระกูลซั่วเสร็จแล้วนางก็เดินกลับทันที
เมื่อนางมาถึงที่ตระกูลซั่วของนาง ดวงตาคู่สวยของนางก็ยังคงมองไปที่ฉื่อหยานอยู่ คนจากตระกูลฉื่อที่อยู่รอบๆต่างก็รู้สึกเสียใจ
ไม่เพียง แต่คนเหล่านั้นไม่รู้เรื่องของฉื่อหยานเลย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ พวกเขาคิดว่านางคงสงสารฉื่อหยานที่พึ่งจะบรรลุในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง จึงนำของมาให้ ,และเมื่อเทียบกับนักรบคนหนึ่งเช่นโม่ซานที่ฝึกฝนอย่างหนักมายี่สิบปีแล้วแน่นอนว่าพวกเขาต้องแข็งแกร่งกว่าฉื่อหยาน .
นอกจากนี้ ตระกูลโม่เห็นได้ชัดว่าเล่นสกปรก ดังนั้นตอนนี้จึงเกิดเป็นช่องว่างลึกที่เต็มไปด้วยความแค้นของทั้งสองตระกูล
" เกราะเต่ามังกร "
เมื่อฉื่อเจี้ยนเห็นเสื้อเกราะ เขาก็ตกใจเป็นอย่างมากมาก . แม้ว่าความเชื่อมั่นของเขากลับคืนมาบ้าง แต่เขาก็ยังคงลังเลนิดหน่อย เขาส่งกระดาษขอฉื่อหยานและพึมพัม " เฮ้อ . . . . . . . ปู่ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เจ้าตัดสินใจเองละกัน ถ้าเจ้าคิดว่ามันหนักหนาเกินไป . . . . . . . เช่นนั้นก็ยอมแพ้สะ”
เมื่อเขาพูดคำว่า " ยอมแพ้ " ออกไป เหมือนกับว่าอายุของฉื่อเจี้ยนได้ลดลงไปหลายปี
ฉื่อหยานยังคงดูเฉยชากับเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เขาชายตามองไปที่แผ่นกระดาษ แต่ก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆออกมา . เขายังสงบเหมือนเดิม เขาได้ตระหนักว่าตระกูลโม่ต้องใช้บางอย่างที่เป็นความลับอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
ก่อนที่ฉื่อเจี้ยนจะพูดจบฉื่อหยานก็กระโจนออกไปและปรากฏอยู่กลางเวที และเขาพูดเบาๆ " ฉื่อหยาน จากตระกูลฉื่อ นภาที่สามในระดับก่อตั้ง โปรดชี้แนะ ! "
ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงรบกวนออกมาในฝูงชน !
เวทีเงียบสงัด จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังกว่าตลาดที่อยู่ข้างถนน . หลายคนเอ่ยด้วยความตกใจ งงงวย เมื่อพวกเขามองไปที่ฉื่อหยาน
" เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน ? มันเป็นคนจากตระกูลฉื่อด้วยรึ "
" ใช่ ข้าไม่เคยพบเห็นเขาในการประลองใดๆเลย เขาเป็นนักรบของตระกูลฉื่อแน่หรือ "
" ฉื่อหยาน . . . ข้ารู้แล้ว มิใช่ว่าเขาคือคุณชายหยานของตระกูลฉื่อรึ เขาเป็นพวกชอบศึกษาตำราโบราณ และเขาเองก็ไม่เคยฝึกวิชาต่อสู้ ผมรู้มาแค่ว่าเขานั้นเอาแต่สร้างปัญหาให้กับตระกูล . "
" ไม่มีทาง ! ! ! เจ้าบอกว่าเขาไม่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้งั้นรึ แล้วเหตุใดเขาจึงอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้งได้ ? "
" ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ก็ว่าเถอะ ต่อให้เขาอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง จริงๆ ,แล้วเขาจะทำอะไรได้ ? เจ้าไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนการประลองของโม่ฉีรึ เจ้านั่นอยู่ในนภาที่สองของระดับก่อตั้งเท่านั้น แต่มันกลับเอาชนะฉื่อเทีนนหยุนที่อยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้งได้ . แล้วจะนับอะไรกับเจ้าคนที่ชื่อฉื่อหยานกัน บางทีมันเป็นเพราะฉื่อเจี้ยนไม่ต้องการที่จะอับอาย จึงส่งเขามาตายแทนมากกว่า "
" ถูกต้อง . . . . . . . เฮ้อ . . . ชาสงน่าสงสารนัก ที่จะต้องเสียสละเช่นนี้ .
" . . . . . . . "
รอบๆสนามเกิดเสียงนินทาขึ้นเต็มไปหมด ฉื่อหยานนั้นมีระดับบ่มเพาะเดียวกันกับโม่ซาน พวกเขาทั้งหมดคิดว่า ฉื่อเจี้ยนเพียงแค่ส่งเขามาเพื่อแก้ความอับอายเท้านั้น ส่วนผลการประลอง . . . . . . แค่มองดูก็ตัดสินได้แล้ว
ที่ตระกูลเป่ยหมิง เป่ยหมิงชางที่นังอยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มันหันศีรษะของมันไปที่นับรบที่อยู่ด้านข้าง “มันคือฉื่อหยานงั้นรึ ? ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับมันเลย เมื่อไหร่กันที่ตระกูลฉื่อมีรุ่นที่สามที่อยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง”
" ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉื่อหยานนั้นไม่ได้รับสืบทอดจิตวิญญานต่อสู้ ดังนั้น พวกเราจึงไม่ได้สังเกตุไปที่เขานัก ใครจะไปรู้ว่า จู่ๆเขา ก็ . . . . . . . "
" น่าแปลกนัก " เป่ยหมิงชางพยักหน้าแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
เป่ยหมิงเช้อสับสนนิดหน่อย จากนั้นก็มีประกายแสงแปลกๆปรากฏในดวงตาของมัน มันจ้องไปที่ฉื่อหยานสักพัก จากนั้นก็ตระหนักได้ว่า " เฮ้ ? ไม่ใช่ว่านั่นเป็นเด็กที่อยู่กับฮันจงในศาลาฤดูใบไม้ผลิงั้นรึ ? "
มู่หยู่เตี๋ยและตี่ย่าหลานยังคงจดจำได้ และค่อย ๆพยักหน้าพร้อมกัน และตี่ย่าหลานก็หันไปมองฉื่อหยานที่ถูกพูดถึงโดยหลายคนในรอบๆเวที สีหน้าของนางดูแปลกไป และนางก็พูดด้วยเสียงเบาๆ " เป็นเขางั้นรึ "
" เขาจะต้องตายแน่นอน " เป่ยหมิงเช้อส่ายหัวอย่างไม่สนใจ " ไม่ว่าโชคของมันจะดีแค่ไหน มันก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าโม่ซานแน่นอน มันจะต้องตายหรือไม่ก็พิการแน่ๆ "
โม่ตั่วเองก็สับสนสักครู จากนั้นเขาก็แสยะยิ้ม " ข้าไม่สนหลอกว่าเจ้าเด็กนี่จะมาจากไหน แต่ข้าไม่ต้องการที่จะเห็นหน้ามันอีก "
" ฉื่อหยานสวมมันสะ ! " ฉื่อเจี้ยนตะโกนในขณะที่ เขาชี้ไปที่เกราะเต่ามังกร ที่ซั่วฉือนำมาให้
" ไม่จำเป็น " ฉื่อหยานเพียงแค่มองผ่านๆเท่านั้น จากนั้นก็มองไปที่ฉื่อเจี้ยน และส่ายหน้า แล้วเขาก็ยิ้มให้ โมซาน " ในศาลาฤดูใบไม้ผลิ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเราจะได้พบกันอีกแน่ และเวลานั้นก็ได้มาถึง เจ้ายังอยากรู้อีกหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ? "
" ข้ารู้แล้ว " โมซานหัวเราะลั่น " เจ้าก็เป็นแค่คนที่มาเพื่อให้ข้าสังหารไงหละ ! ฮ่าๆ ตระกูลฉื่อนั้นไม่รู้จะส่งให้มาจริงๆแล้วงั้นรึ ถึงได้ส่งคนอ่านตำราโบราณมา ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างน่าขันนัก "
ฉื่อหยานไม่แสดงความโกรธใดๆออกไป เขาดูเฉยเมยและยืนอย่างมั่นคง
" อะแฮ่ม ท่านหัวหน้าตระกูลฉื่อ ท่านจะต้องวางเดิมพันในครั้งนี้ . " ผู้อำนวยการยืนอยู่รอบโต๊ะ ตะโกนออกมา
" นายท่าน ! "
" นายท่าน ! "
" นายท่าน ! "
ที่หอคอยตระกูลฉื่อนักรบหลายคนตระโกนออกมา บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่พอใจ
เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องของฉื่อหยาน ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง แต่นั่นมันจะต้องเสียเปล่าและก็เปล่าประโยชน์แน่นอน
ถ้าตระกูลฉื่อแพ้อีกครั้ง จะไม่เพียง แต่พวกเขาจะขายหน้าในการประลอง พวกเขาจะต้องสูญเสียการเดิมพันต่างๆของพวกเขาด้วยเช่นกัน และผลของการกระทำครั้งนี้ก็จะอยู่ตลอดไป
" พี่ใหญ่ ! ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ! " ฉื่อเตี่ยพูดไปทางฉื่อเจี้ยนอย่างมั่นคง ขณะที่ยังคงถ่ายทอด พลังปราณลึกลับเพื่อรักษาฉื่อเทียนหยุน " พี่ใหญ่ ! ให้เราหลงเหลือความภาคภูมิใจเล็กน้อยนี้ไว้เถอะ เทียนลั่วและเทียนยุนได้พ่ายแพ้ไปแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องส่งฉื่อหยานไปอีก ! เราควรจากไปกันได้แล้ว พี่ใหญ่ "
ฉื่อหยานได้ยินคำพูดไร้สาระของฉื่อเตี่ยทุกคำ เขาหันกลับไปมองฉื่อเจี้ยนกล่าวอย่างใจเย็นและมุ่งมั่น " ท่านปู่ , โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า ! "
" . . . . . . . ตกลง ! "
ฉื่อเจี้ยน , เลิกที่จะลังเลกและจ้องไปที่ฉื่อหยานอย่างมั่นใจ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขานั้นเลือกที่จะเชื่อในตัวฉื่อหยาน จากนั้นจู่ๆ เขาก็คำรามออกมา " เมืองวิหคอมตะ ตระกูลของเราขอเดิมพันอำนาจทั้งหมดที่มีอยู่ในเมือง ถ้าหากตระกูลโม่ พ่ายแพ้ ตระกูลของเราจะยึดครองอำนาจในวิหคอมตะทันที "
คำพูดเช่นนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายในฝูงชนทันที ทุกคนเริ่มซุบซิบและพูดคุยอีกครั้ง
เมืองวิหคอมตะ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสมาคมการค้า และตระกูลฉื่อเองก็ได้ครอบครองเมื่องนี้มาหลายทศวรรษ ธุระกิจต่างๆในเมืองต่างก็มีชื่อของตระกูลฉื่ออยู่
อาจกล่าวได้ว่าการเมืองวิหคอมตะนั้นเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของตระกูลฉื่อ และตอนนี้เองฉื่อเจี้ยนก็ได้นำเมืองที่สำคัญที่สุดมาเดิมพัน นี่เขาบ้าไปแล้วงั้นรึ ?
" พี่ใหญ่ ! "
" นายท่าน ! "
ทุกคนในตระกูลฉื่อต่างก็มองไปที่ฉื่อเจี้ยนอย่างหมดศรัทธา พวกเขาต่างก็คิดว่าสิ่งที่ฉื่อเจี้ยนทำลงไปนั้นหนักหนาเกินไป
" อย่าได้พยายามเกลี้ยกล่อมข้า ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ! " ฉื่อเจี้ยนพูดอย่างดื้อรั้น เขาหันกลับไปและแสยมยิ้ม " อนาคตของตระกูล จะรุ่งเรือง หรือ ล่มสลาย ก็อยู่ที่การเดิมพันครั้งนี้ ! "
ทุกคนในตระกูลฉื่อ และตระกูลเป่ยหมิง กับ ตระกูลหลิง ก็ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ซั่วชู งุนงงชั่วครู่แล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดเบา ๆ " หากเจ้าทำเช่นนั้นจะไม่สามารถย้อนคืนได้แล้วนะ น้องฉื่อ "
" ตกลง ! " โมตั่วก็ยืนขึ้น แล้วตะโกนดังๆว่า " เจ้าห้ามกลับคำเด็ดขาด ! "
" เอาสิ ! " ฉื่อเจี้ยนหยิบเอาโฉนดมาจากกระเป๋าส่วนตัวของเขาและส่งมันไปให้ผู้ช่วยที่มากับเขา และเขาก็ตะโกนออกมาอย่างเย็นชา " โม่ตั่ว ข้าคิดว่าการเดิมพันของเจ้านั้นไม่เพียงพอ ! "
" งั้นข้าก็จะเพิ่มเดิมพัน เหมืองไปอีกสามแห่ง ! " โมตั่วหน้าบึ้ง แล้วพูดเยาะเย้ย " ไม่สำคัญว่าข้าจะเพิ่มเดิมพันเท่าใด หลังจากทั้งหมดนี่ ทุกๆอย่างก็จะตกเป็นของตระกูลโม่ทั้งหมด! "
ไม่นานนัก ผู้กำกับก็วางเดิมพันจากตระกูลโม่ลงบนโต๊ะ แล้วพลันคำรามออกมา " การประลองเริ่มได้ ! "
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ