บทที่ 67 การประลองของตระกูล
บทที่ 67 การประลองของตระกูล
วันต่อมา ณ ศิลาพระเจ้า
ในตอนเช้าตรู่ ขณะที่ท้องฟ้าก็ยังคงมืดสลัว นักรบในระดับต่างก็ได้รวมตัวกันอยู่ที่สนามประลอง
ในศูนย์กลางของศิลาพระเจ้า มีสนามประลองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีขนาดกว้างร้อยเมตร เป็นบล็อกหินสีเขียวขนาดใหญ่ หินสีเขียวเหล่านี้ถูกซ้อนสูงขึ้นออกมาจากศูนย์กลางของสนามประลอง ดังนั้นมันจึงสะดวกอย่างสำหรับผู้ที่มาชม
ก่อนที่ตระกูลทั้งห้าจะมาถึง รอบๆสนามประลองที่เป็นหินสีเขียว เต็มไปด้วยฝูงชนที่มารอดูการประลองของตระกูลทั้งห้า
เมื่อดวงตะวันเริ่มขึ้นและสาดแสงกระทบกับพื้น นักรบจากตระกูลทั้งห้าก็เริ่มเข้ามาที่งานประลองจากทุกทิศเมืองเทียนหยุน
เป็นฉื่อหยานที่เดินตามฉื่อเจี้ยนมา . ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาที่ศิลาพระเจ้า พวกเขาก็เห็นฝูงชนจำนวนมากแออัดอยู่
คนเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นนักรบ และส่วนใหญ่อยู่ในระดับ เริ่มต้น ก่อตั้งหรือมนุษย์ และยังมีบางส่วนที่อยู่ในระดับ หายนะ กับ ปฐพี อีกด้วย
นักรบในระดับ หายนะ หรือ ปฐพีเหล่านี้ไม่ได้สนใจในการประลองก่อนหน้านี้นัก แต่ว่าการประลองระหว่างตระกูลทั้งห้านั้นสำหรับพวกเขามันน่าชมเป็นอย่างมาก
ในบล็อกหินสีเขียวที่อยู่รอบๆสนามประลองจะเห็นได้ว่ามีนักรบหลายคนกำลังกระซิบกันอยู่
นักรบส่วนมากที่แบกดาบหนักและขวานสงครามอยู่ตลอด พวกเขานั้นเป็นทหารที่ออกมาจากป่าทมิฬ ในสี่วันก่อนหน้านี้พวกเขานั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่วันนี้พวกเขากลับมายืนรอกันแต่เช้า
เมื่อคนจากตระกูลฉื่อปรากฏตัวในศิลาพระเจ้า นักรบที่อยู่ในศิลาพระเจ้าต่างก็เริ่มพูดคุยและหลีกทางให้เดิน
ตระกูลฉื่อนั้นไม่ได้เดินเข้ามายังกลางสนามประลองในทันที แต่กลับหันไปมองที่ทางเข้าของศิลาพระเจ้า และพูดบางอย่างกันเบาๆ
ตระกูลโม่ นั้นนำมาโดย โม่ตั่ว พวกมันทั้งหมดเดินมาที่สนามประลองด้วยสีหน้าที่น่ากลัว
ฉื่อเจี้ยน สูดลมหายใจเข้า .และทำหน้ามุ่ย เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็เดินนำตระกูลฉื่อเข้าสู่สนามประลอง
คราวนี้ตระกูลทั้งห้าจะไม่ได้ดูการประลองอย่างห่างไหลที่หอคอยหินของตนอีกแล้ว แต่พวกเขาจะได้อยู่ดู ใกล้ๆกับสนามประลองเพื่อที่จะสามารถสังเกตุรายละเอียดทุกอย่างได้ฉัดเขน เช่นนั้น พวกเขาจึงเลือกเดินไปที่แถวหน้าข้างๆกับสนามประลอง
ในแต่ละด้านของสนามประลองหิน จะมีระเบียงที่ถูกสร้างขึ้นไว้สำหรับพวกเขา
เมื่อคนที่กำลงรอคอย เห็นฉื่อเจี้ยนเดินมา , ทันทีที่พวกเขาก็ยิ้มและพูดอย่างอ่อนน้อม " นายท่าน เชิญทางนี้ "
ฉื่อเจี้ยน พยักหน้า และเขาก็ตามไปด้านข้างของสนามประลอง และนั่งบนเก้าอี้หิน
ที่นั่งตรงนี้ต่างจากที่นั่งอื่น เพราะว่าจะมีอาหารอร่อยและสุราชั้นเลิศถูกนำมาเสริฟบนโต๊ะหินสำหรับฉื่อเจี้ยนและคนในตระกูล ในช่วงเวลาสั้น ๆ โม่ตั่วก็มาถึง มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตระกูลฉื่อ
หลังจากโม่ตั่วนั่งลง มันก็มองไปรอบๆ ไม่มีใครรู้ได้ว่า มันกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ส่องสว่างลงมา , ตระกูลซั่วและตระกูลหลิงก็มาถึง เมื่อซั่วชูมาถึง ที่นั่งของเขาถูกจัดเตรียมไว้ข้างๆกับตระกูลฉื่อ
ซั่วชู นั่งลงแล้วค่อย ๆพยักหน้าให้กับฉื่อเจี้ยน โดยบอกเป็นนัยๆว่า เรื่องของศาลาหมอกทุกอย่างกำลังไปได้สวย พวกเขาส่งสัญญานกันอย่างเงียบๆ
ตระกูลหลิงนั้นเป็นพันธมิตรกับตระกูลโม่ โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาจะถูกจัดให้นั่งด้วยกัน
เมื่อหลิงเชาฟงมาถึง มันก็ยิ้มขณะที่เดินอยู่ข้างๆตระกูลโม่ มันพยามจะหาโอกาสพูดคุยกับโม่หยานหยูที่อยู่ข้างๆโม่ซานที่กำลังมีสีหน้ามืดมน .
โม่ช่าวเกอ ที่หายตัวไปนั้น เป็นบิดาของโม่ซาน . มันไม่รู้ว่าตอนนี้บิดาของมันถูกซ่อนอยู่ที่ใด จิตใจของมันจึงเต็มไปด้วยความโกรธอย่างมากมายในตอนนี้ มันนั้นเฝ้ารอเวลานี้มานาน เวลาที่จะล้างแค้นในการประลอง
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงเหนือท้องฟ้า เป่ยหมิงชางก็มาถึงพร้อมกับยอดฝีมือของตระกูลเป่ยหมิ่ง
สีหน้าของ เป่ยหมิงชางนั้นดูเยือกเย็นและรอบๆตัวมัน ก็สามารถสัมพัสได้ถึงบรรยากาศที่หนาวเย็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่ามันจะไปที่ใด นักรบ ในสมาคมการค้าทั้งหมดต่างก็คารวะและเปิดเส้นทางให้กับมัน
ข้างหลังของมันนั้น ตามมาด้วยเป่ยหมิงเช้อที่ดูหยิงพยอง พร้อมกับมู่หยู่เตี๋ย และตี่ย่าหลานที่กำลังเดินตามมา
ผู้ที่จัดที่นั่งนั้นเป็นข้ารับใช้ของตระกูลเป่ยหมิง และเมื่อเห็นเจ้านายของมันมา มันก็ย่อมเชิญอย่างน้อบน้อมไปยังที่นั่งที่ดีที่สุด เป่ยหมิงชางและเป่ยหมิ่งเช้อ ต่างก็นั่งทันที จากนั้นก็บอกให้ข้ารับใช้นำอาหารและสุรามาเสริฟ
ทั้งคุณภาพและปริมาณของอาหารของมันนั้นดูหรูหรามากกว่าตระกูลทั้ง 4 อย่างชัดเจน นั่นย่อมต้องแสดงให้เห็นว่าตระกูลเป่ยหมิงนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่มีใครทัดเทียมได้
หลังจากที่ตระกูลทั้งห้าได้ที่นั่งของตนแล้ว เป่ยหมิงชางจึงพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า " กฎก็จะเหมือนเดิมกับทุก ๆ ปี และข้าเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก การประลองฝีมือนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธุ์และแลกเปลี่ยนวิชากันเท่านั้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะสามารถยับยั้งตัวเองให้มากที่สุด และข้าก็หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่มีใครตายในครั้งนี้ .
หัวหน้าตระกูลทั้งสี่ต่างก็พนักหน้าเบาๆ
เป่ยหมิงชางมองไปรอบๆ ดวงตาของมันจ้องมองลึกไปที่โม่ตั่วและ ฉื่อเจี้ยน , และกล่าวว่า , " เอาหละมาเริ่มการประลองกันเถอะ พวกเจ้าสามารถที่จะเดิมพันด้วยสิ่งของจากตระกูลของพวกเจ้าได้เช่นกัน ใครจะเริ่มเป็นคู่แรก ? "
" เจ้า ! " โม่ตั่วตะโกนขึ้น
โม่หยานหยู ที่ยืนอยู่ในกลุ่มนักรบของตระกูลโม่ก็เดินลงไปที่สนาม แววตาของนางดูสงบและเยือกเย็น นางมองไปยังทิศทางของตระกูล ฉื่อ และนางก็กล่าวว่า " ข้ามาจากตระกูลโม่ โม่หยานหยู , อยู่ในนภาที่สองของระดับก่อตั้ง มีใครต้องการจะสั่งสอนข้าหรือไม่ ? "
" เราจะเดิมพันด้วยโฉนดที่ดิน ของ เหมืองหิมะโปรย กับ เหมืองทราย " โม่ตั่วหน้าบึ้ง และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ .
จากนั้นก็มีนักรบของตระกูลโม่หยิบเอาโฉนดออกมาจากมือของมัน และวางไว้บนโต๊ะกลมที่อยู่ข้างๆสนามประลองใกล้ๆกับตระกูลเป่ยหมิง มันเป็นโต๊ะที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการเดิมพัน
"ข้าเดิมพัน โฉนด เมืองอาทิตย์อัสดงและเส้นทางถนนตงกวน " ฉื่อเจี้ยน สูดลมหายใจเข้า และเขาก็หยิบเอาแผ่นกระดาษสีเหลืองขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าของเขาสามแผ่นและส่งมันไปให้กับข้ารับใช้ข้างๆ
เมื่อแผ่นกระดาษสีเหลืองสามแผ่นถูกไปวางบนโต๊ะกลม ฉื่อเจี้ยน ก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา " เทียนลั่ว เจ้าออกไป "
ฉื่อเทียนลั่วขยับร่างกายสักครู่ จากนั้นเขาก็เดินลงไปยังสนามประลอง และกล่าวชื่อของตน " ข้ามาจากตระกูลฉื่อ ฉื่อเทียนลั่ว , อยู่ในนภาที่สองของระดับก่อตั้ง โปรดชี้แนะ "
" ตระกูลโม่ โม่หยานหยู ! ตระกูลฉื่อ ฉื่อเทียนลั่ว ! ทั้งสองคู่อยู่ในนภาที่สองของระดับก่อตั้ง . พวกท่านแน่ใจใช่หรือไม่ ที่จะให้เขาทั้งสองประลองกัน ? " ผู้กำกับร่างผอมยืนอยู่ข้างๆโต๊ะ ตะโกนออกมา
เมื่อเขาเห็นทั้ง ฉื่อเจี้ยน และโม่ตั่วพยักหน้า เขาก็พูดออกมาทันที " เช่นนั้น การประลอง เริ่มได้ ! ! "
" บีช บีช บีช ! "
ปรากฏเป็นเส้นสายฟ้าสีเขียวไหลออกจากนิ้วมือทั้งสิบของโม่หยานหยู่ สายฟ้านั่นเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลเหมือนกับอสรพิษและมันก็ชะลอตัวลงช้าๆและค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นด้านหน้าของนาง
ตอนนี้ โม่หยานหยู ดูเหมือนกับว่าถูกล้อมไปด้วยสายฟ้า
เส้นสายฟ้าสีเขียวที่อยู่บนนิ้วบางของนาง ก็ค่อยหนาขึ้นๆ และกลายเป็นแส้ยาวขนาดห้าเมตร
หลังจากที่สายฟ้าได้กลายเป็นแส้ มันได้มีขนาดเกือบเท่ากับแขนของคน แส้สายฟ้าส่องแสงออกมาบดบังสายตาของผู้คน และมันยังส่งลำแสงกระแสไฟฟ้าที่แข็งแกร่งกระจายออกไปทุกที่
" เปี๊ยย เปี๊ยย ! "
โม่หยานหยูสบัดแส้ของนางออกไป จากนั้นมันก็ปรากฏเป็นสายฟ้าฟาดรูปมังกรพุ่งออกไป และเกิดเป็นเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้นอย่างรุนแรง นางฟาดแส้ไปที่ฉื่อเทียนลั่ว .
" เปี๊ยย เปี๊ยย เปี๊ยย เปี๊ยย ! "
สายฟ้าส่งลำแสงกระจายไปทั่วอากาศพร้อมกับส่งเสียงแปลกๆออกมา และเมื่อกระแสไฟฟ้าได้กระจายไปทั่ว นักรบหลายคนที่กำลงชมอยู่ก็ตกตะลึง ด้วยสัญชาตญาณของพวกเขา พวกเขาจึงโคจรพลังปราณลึกลับของตัวเองมาป้องกัน
ในตอนนั้นเอง ผิวของฉื่อเทียนลั่วก็กลายเป็นสีเทา ; นั่นย่อมเป็นจิตวิญญานกายาแข็งของตระกูลฉื่ออย่างแน่นอน และตอนนี้ เขาก็พร้อมรับมือแล้ว
เมื่อเห็นแส้สายฟ้ากำลังจะมาถึง หน้าฉื่อเทียนลั่วก็กลายเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น ทันใดนั้น เขาก็ตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง และปลดปล่อยพละกำลังขนาดที่สามารถทลายภูเขาได้ออกมา
" [ จารึกกายาหิน ] "
ร่างของฉื่อเทียนลั่วยืนอย่างมั่นคงเหมือนภูเขา ขาของเขาดูราวกับว่าพวกมันได้จมลึกลงไปภายใต้ผิวโลก หลังจากการกลายเป็นหิน พลังป้องกันทางกายภาพของเขาก็จะมากขึ้น เช่นนั้นเขาจึงยื่นมือของเขาออกไปและจับไปที่สายฟ้าที่ฟาดเข้ามา
" เปี๊ย เปี๊ย ! "
เมื่อฉื่อเทียนลั่วยืนมือออกไป สายฟ้าก็พันไปรอบๆแขนข้างซ้ายของเขา และสายฟ้าที่น่ากลัวจำนวนมากก็ได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของฉื่อเทียนลั่วทันที .
" อ๊ากกก ! ! "
ฉื่อเทียนลั่วร้องลั่นออกมา , เขาโคจรพลังปราณลึกลับของเขาจากร่างกายของและให้มันไหลเข้าไปในแขนซ้ายของเขาเพื่อให้มันกลายเป็นหินและยับยั้งกระแสไฟฟ้าที่บุกรุกเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
นี้เป็นการใช้ประโยชน์จากจิตวิญญานกายาแข็งได้ดี ถึงแม้ว่าตอนนี้มือซ้ายของฉื่อเทียนลั่วจะปวดและชา แต่เขาก็ไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมากนัก . หลังจากที่เขาปรับสภาพให้ทนต่อกระแสไฟฟ้าได้ เขาก็วิ่งไปที่โม่หยานหยูอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาวตก เขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นร่างเงา
จิตวิญญานกายาแข็งของตระกูลฉื่อนั้นจะแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อมีการต่อสู้ระยะประชิด และถ้านักรบจากตระกูลฉื่อสามารถเข้าประชิดศัตรูได้หละก็ มันก็จะเกิดเรื่องที่น่ากลัวขึ้นกับศัตรู
เมื่อเห็นว่าฉื่อเทียนลั่วพุ่งมาที่นางอย่างดุดัน โม่หยานหยูสบัดแส้สายฟ้าในมืออีกครั้งและไม่ได้หลบไปไหน ใบหน้าที่งดงามของนางกลับกลายเป็นน่ากลัว
ในเวลาเพียงแค่สองวินาที โม่หยานหยูใบหน้าที่อมชมพูของนาง ก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดเหมือนกระดาษ เหมือนกับว่านางกำลังป่วยอยู่และใบหน้าของนางนั้นปราศสะจากเลือดไหลเวียน
และในตอนนั้นเอง , นางก็เร่งการไหลเวียนพลังปราณลึกลับของนางให้หมุนวนสามรอบอย่างรวดเร็ว !
ในทันทีพลังปราณเหล่านั้นทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนาง
" แย่แล้ว ! " ฉื่อเจี้ยนคิดอยู่ในใจ หัวใจของเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารู้ดีว่า ฉื่อเทียนลั่วนั้นมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้การะประลองในครั้งนี้
โม่หยานหยู ถึงแม้นางจะเป็นนักรบที่อยู่ในนภาที่สองของระดับก่อตั้ง แต่พลังปราณลึกลับของนางที่แสดงออกมานั้นกลับแตกต่างออกไป และตอนนี้มันก็เหมือนกับว่านางได้ดึงพลังบางอย่างที่ไม่ใช่ของนางมาใช้
พลังปราณลึกลับของนางนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก อาจเทียบได้กับ นภาที่สามในระดับก่อตั้ง เลยก็ว่าได้
เพราะสิ่งนี้ จึงทำให้นางนั้นไม่ได้เกรงกลัวต่อจิตวิญญานกายาแข็งเลย
และในตอนนั้นเอง !
ทันทีที่ฉื่อเทียนลั่วได้บุกไปด้านหน้าของโม่หยานหยู ก่อนที่เขาจะลงมือโจมตีใด ๆ โม่หยานหยูก็ปลดปล่อย [ คมเสี้ยวมรกต ] ออกมาอย่างรุนแรง
[ คมเสี้ยวมรกต ] แต่ละอันที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นมันมีขนาดใหญ่เต็มวง และมันก็ดูแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นสามเท่าจากตอนที่นางใช้กับฉื่อหยาน !
ปรากฏ [ คมเสี้ยวมรกต ] ออกมาจำนวนเจ็ดอัน มันถูกปลดปล่อยออกมาจากมือของนางอย่างรวดเร็ว และมันก็พุ่งไปยังฉื่อเทียนลั่วที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
" ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ! "
[ คมเสี้ยวมรกต ] ทั้งหมดเจ็ดอันจู่โจมไปที่ฉื่อเทียนลั่วโดยตรง มันได้กระแทกไปที่หน้าอกของเขา เกิดระเบิดขึ้นเจ็ดครั้งและส่งให้ฉื่อเทียนลั่วกระเด็นลอยไปในอากาศ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า [ คมเสี้ยวมรกต ] นั้นรุงแรงเป็นอย่างมาก และมันก็เป็นสิ่งที่จิตวิญญานกายาแข็งในขั้นแรกไม่สามารถรับมือได้
ขณะที่ฉื่อเทียนลั่วกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เลือดของเขาก็ไหลท่วมตัว
" ตุบ ! " ร่างของฉื่อเทียนลั่วกระเด็นและร่วงลงมาอยู่ต่อหน้าฉื่อเจี้ยนโดยห่างกันเพียงสามเมตร ปรากฏเป็นเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากหน้าอกที่ปูดบวมของเขา นั่นดูก็รู้ได้เลยทันทีว่า เขาต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
" มาช่วยเขาเดียวนี้ ! "
แววตาของฉื่อเจี้ยนลุกเป็นไฟ หลังจากนั้นเขาก็ ถอนหายใจออกมาด้วยความโกรธ ร่างที่แข็งแกร่งของเขากำลังสั่นเบาๆ
ยอดฝีมือไม่กี่คนจากตระกูลฉื่อนั้นได้เตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เมื่อมีคำสั่งพวกเขาก็ขึ้นไปและรีบรักษาฉื่อเทียนลั่ว พวกเขารีบให้ยาต่างๆเพื่อช่วยชีวิตของเขาทันที
ฉื่อเตี่ยจิกนิ้วของเขาลงไปที่เก้าอี้หิน ที่เขานั่งอยู่ เขานั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยความเกลียดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กำลัง จ้องไปที่โม่ตั่วที่อยู่ห่างไกลออกไป
โม่ตั่วเองก็รู้สึกโกรธเช่นกัน เขาจึงมองกลับมาที่ฉื่อเตี่ย .
" โม่หยานหยู ชนะ ! ตระกูลโม่ ได้ชนะในการเดิมพันในครั้งนี้ เราจะเริ่มการแข่งขันครั้งต่อไปทันที "
ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงไร้อารมณ์ของผู้กำกับดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของโต๊ะกลม
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ