บทที่ 62 คาดไม่ถึง
บทที่ 62 คาดไม่ถึง
" หึ ซั่วฉือนั้นเหนือกว่าเจ้าแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องพ่ายแพ้นางอย่างแน่ๆ " ฉื่อหยานพูดและมองไปที่หลิงเยว่อย่างเรียบเฉย
" ข้าจะแพ้งั้นรึ ? " หลิงเยว่โกรธเป็นอย่างมาและนางก็พูดเยาะเย้ยออกไป " เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ? เจ้าขี้ข้า ? "
ฉื่อหยาน ส่ายหัว และไม่ได้พูดอะไรอีกเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจนาง
โม่ซานที่มีใบหน้าก้าวร้าวก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและก้าวเท้าเดินเข้าไปหาฉื่อหยาน มันตะโกนออกมาอย่างหยิงยโส " นี่เจ้าเป็นใครกัน ? ข้าไม่เคยเห็นเจ้าในตระกูลฉื่อมาก่อนเลย หรือเจ้าอยากจะถูกตีก่อนเริ่มงานประลอง ? "
ฉื่อหยานใบหน้ากลายเป็นชั่วร้ายและหันไปกระซิบถามฮันจง , " ข้าฆ่ามันได้หรือไม่ ? "
ฮันจงปรากฏความหวาดกลัวขึ้น ถอนหายใจและถามออกไป " น้องหยาน เจ้าจะทำอะไรกันแน่ ? "
แม้ว่าเขาจะนั้นจะสนิทกับฉื่อหยานมาเป็นเวลานาน และพวกเขาก็ออกมาหา ' ความบันเทิง ' ด้วยกันครั้งอยู่บ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉื่อหยานพูดออกมาเช่นนี้ เขารู้เพียงแต่ว่าฉื่อหยานระดับการบ่มเพราะในปัจจุบันอยู่ในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง .
แต่เขาไม่เคยเห็นฉื่อหยานประมือกับใครเลย เขาคิดไม่ออกเลยว่าฉื่อหยานนั้นจะตอบสนองต่อการยั่วยุเช่นนี้
ความจริงแล้วฮันจงนั้นกลัวเป็นอย่างมาก ว่าฉื่อหยานนั้นจะลงมือสังหารคนด้วยเรื่องเล็กน้อย
และก็เขาไม่เคยคิดเลยว่า นายน้อย ที่เอาแต่เที่ยว ' สถานบันเทิง ' ไปวันๆนั้น จะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมได้เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู
ฉื่อหยานชายตามองกลับไปที่โม่ซานและกำลังจะลงมือ
" ไม่ ! ! ! " ฮันจงรีบหยุดเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาพูดความคิดของเขาออกไป " แม้ว่าเจ้าจะอยู่ในระดับก่อตั้ง , แต่คู่มือของเจ้านั้นก็อยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าสู้กันตรงๆ ข้านั้นไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้แน่นอน และถ้าเกิดว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถเข้าร่วมการประลองได้ ท่านผู้นำตระกูล จะต้องฆ่าข้าแน่ๆ "
" เจ้าห้ามข้าทำไม ? "
" เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้นเด็ดขาด ! " เห็นว่าฉื่อหยานไม่เห็นด้วย ฮั่นจงรีบอธิบาย " พวกมันคือความหวังของตระกูลโม่ และ ตระกูล หลิง ถ้าพวกมันถูกฆ่าตายหละก็ สองตระกูลจะต้งทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นเจ้าแน่ๆ มันจะเกิดเป็นหายะได้ ฉะนั้นเจ้าใจเย็นๆก่อน "
" งั้น นั่นก็สมควรแล้วที่ข้าจะจัดการมัน "
ฮันจงสายตาอ้อนวอนและยิ้มอย่างขมขื่น " น้องหยาน ได้โปรด ! ถ้าเจ้าอยากระบายความโกรธของเจ้า เจ้ก็าควรไปละบายในการประลอง ถึงตอนเจ้าอาจจะได้ประลองกับมันก็เป็นได้ และหากเจ้าชนะในเวลาเดียวกันเราก็จะได้เหมืองกับคืนมาอีกด้วย เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้อย่าได้หุนหันพลันแล่นเลย .
" ก็ได้ "
ฉื่อหยานไม่ได้พูดอะไรอีก เขาจ้องกลับไปที่โม่ซานที่อยู่ข้างหน้าเขา แล้วตะโกนดังๆว่า " แล้วเจ้าต้องการอะไร ? "
" นี่ เจ้าหนะชื่ออะไร ? " หลังจากที่มันเดินเข้ามา โม่ซานก็ไม่ได้ลงมือทันที มันจ้องมองไปที่ฉื่อหยานแทนและพูดด้วยเสียงเย็นชา " เจ้ามาทำให้คู่หมั้นของข้ามีโทสะ อย่าได้มาหาว่าข้าหยาบคายหละ บอกมาสะว่าเจ้าชื่ออะไร "
เห็นโม่ซานออกตัวรับแทน หลิงเยว่จึงนั่งลงที่โต๊ะ และมองจ้องมองไป ด้วยสายตาที่เย็นชาและรู้สึกประหลาดใจ
นางนั้นได้ยินคำพูดบางอยา่ง , ถึงแม้ว่าฉื่อหยานและฮั่นจงจะพูดเบาๆก็ตาม , แต่นางก็ยังคงสามารถที่จะได้ยินคำว่า " ฆ่า " และ " ทำลาย " ได้
เจ้าคนหยิ่งพยองนั่นเป็นใครกัน ?
หลิงเยว่สับสน เนื่องจากนางไม่รู้ว่าฉื่อหยานนั้นเป็นใคร นางควรตัดสินใจให้รอบคอบก่อนจะลงมือทำอะไร ในขณะที่การประลองเข้ามาทุกที นางเดาว่าเขาจะต้องเป็นยอดฝีมือที่ถูกรับเชิญโดยตระกูลฉื่อแน่ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้
" นายน้อยทั้งหลาย ได้โปรดอย่าได้ประมือกันในศาลาฤดูใบไม้ผลิของข้าเลย ข้าขอร้องพวกท่านหละ , ได้หรือไม่? "
ผู้จัดการของศาลาฤดูใบไม้ผลิ นั้นมีรูปร่างที่อ้วนท้วม เขาพูดขึ้น เมื่อเขาขึ้นมาถึงที่ชั้นสาม ด้านหลังของเขา , ก็เป็นหญิงสาวงดงามที่กำลังถืออาหารและเหล้าที่ฉันจงสั่งมาอยู่
" เด๋วเจ้าก็จะได้รู้ว่าข้าเป็นใครในวันงานประลองเอง " ฉื่อหยาน ไม่คิดจะตอบออกไป เขาโบกมือไปที่หญิงสาวที่ขี้อาย " มานี่มา ! ข้าต้องการอาหารของข้าแล้ว ข้าจะกินพวกมันให้เกลี้ยงเลย ! "
หญิงสาวตกใจเป็นอย่างมากและ นางไม่กล้าเดินไปที่เขา นางเอาแต่จ้องด้วยสายตาวิงวอนไปทางผู้จัดการ
หลังจากที่ผู้จัดการได้สบตากับนางอยู่เป็นเวลานาน หญิงสาวก็รีบนำอาหารไปวางบนโต๊ะทันที ด้วยร่างที่สั่นเทาเหมือนลูกนกที่หวาดกลั่ว
ฉื่อหยานไม่สนใจสิ่งใดเขาเปิดจุกเหล้าด้วยตนเอง และลินมันลงไปเต็มถ้วยของเขา จากนั้นดื่มมันลงไปทันที และเขาเริ่มกินอาหารของเขาโดยไม่ได้สนใจโม่ซานที่อยู่โต๊ะข้างๆเขาอีก
" นายน้อยโม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านมาที่ศาลาฤดูใบไม้ผลิแห่งนี้และทุกๆครั้งข้าก็ตอนรับท่านอย่างดีเสมอ ได้โปรด อย่าได้เอะอะไป ได้หรือไม่? " ผู้จัดการคำนับไปที่โม่ซานด้วยใบหน้าหดหู่
" ได้ ผู้จัดการหลง เพื่อเจ้า , ข้าจะปล่อยเรื่องในวันนี้ไปก่อน " โม่ซานพูดพร้อมกับพ้นลมหายใจออกมา และหัวเราะเยาะ ไปที่ฉื่อหยานที่กำลังกินอย่างมีความสุข " เจ้าเด็กน้อยระวังตัวไว้ให้ดีในการประลองเหอะ "
" ดี ข้าชักรอไม่ไหวแล้วสิ " ฉื่อหยานนั้นไม่ได้หันหน้าไปพูดโดยตรงและเอาแต่ดื่มสุราในมือจากนั้นก็ลินไปให้ฮันจง " มาเถอะ ผู้อาวุโสฮัน มาดื่มกัน "
โม่ซานจ้องไปที่ฉื่อหยานด้วยความโกรธ แล้วจากนั้นก็กลับไปที่โต๊ะของเขา
โม่หยานหยูหันมาสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบางครั้งบางคราว ดวงตาสดใสของนางจ้องไปทีฉื่อหยานอย่างสงสัย หลังจากที่โม่ซานกลับมา นางก็ถอนสายตาของนางกลับมาและมองไปที่แม่น้ำเช่นเดิม
‘’แต๊ก แต๊ก แต๊ก’’
จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนักกำลังเดินขึ้นบันไดมา ซึ่งตามมาด้วยเสียงของเป่ยหมิงเช้อ , " เสี่ยวเตี๋ย , ย่าหลาน , ที่ศาลาฤดูใบไม้ผลิแห่งนี้ขึ้นชื่อนักในเมืองเทียนหยุน เจ้าทั้งสองจะต้องชอบที่แห่งนี้แน่นอน ที่นี่ขึ้นชื่อด้วย สุรา เปรวอัคคี มันช่างรสเลิศยิ่ง มันนั้นแตกต่างจากสุราอื่นยิ่งนัก พวกเจ้าห้ามพลาดมันเด็ดขาด "
แล้วก็เป็น เป่ยหมิงเช้อ ที่ปรากฏตัวขึ้นเดินมาอย่างใกล้ชิดกับ มู่หยู่เตี๋ยและตี่ย่าหลาน .
" งั้นรึ ดูเหมือนว่า ข้าจะต้องลอง สุราเปลวไฟอัคคีเสียหน่อยแล้ว หิหิ แต่ข้าจะดื่มมันเพียงนิดเดียวเท่านั้นนะ " มู่หยู่เตี๋ยอยู่ในชุดสีขาว ซึ่งทำให้นางดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินขึ้นมาชั้นที่สามอย่างช้าๆ
ตี่ย่าหลาน ที่กำลังเดินตามหลังนางมานั้นมีใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง ดูเหมือนนางกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่
ฉื่อหยานที่กำลังเมามายอยู่ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจทันทีเมื่อเขาได้ยินเสียงนั้น เขารีบรวบรวมสติและเหลือบมองไปที่พวกนาง เขาที่กำลังดื่มกับฮันจงอยู่ก็ลดหัวลง
ฮันจง นั้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อเขาเห็นใบหน้าของ มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน เขาเป็นกังวลเล็กน้อย โดยกลัวว่าฉื่อหยานนั้นจะไปสร้างปัญหาอีก
" โอ้ นี่คือแขกของที่นี่งันรึ " เป่ยหมิงเช้อ มองไปทั้งสองโต๊ะ และก้าวต่อไปอย่างไม่สนใจ " คนคุ้นเคยทั้งนั้นเลยนิ "
ทั้งสี่คนรวมทั้งหลิงเชาเฟิง และ โม่ซานต่างก็ไม่สบายใจเมื่อเห็นเป่ยหมิงเช้อปรากฏตัวขึ้น พวกมันแทบจะไม่ยิ้มและพยักหน้าให้แก่ เป่ยหมิงเช้อ เป็นคำทักทายแทน
หลิงเชาเฟิง และ โม่ซานก็ต่างก็มองไป มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน ที่กำลังแอบอยู่ด้านหลังของเป่ยหมิงเช้อ และมันก็พยักหน้าอีกครั้ง, และมีสีหน้าแปลกใจในเวลาเดียวกัน
ฮั่นจงยืนขึ้นและพยักหน้าไปที่เป่ยหมิงเช้อด้วยรอยยิ้ม " ท่านสบายดีหรือไม่คุณชายเป่ยหมิง ? หิหิ ข้าได้ยินมาว่าพักนี้ท่านไม่ค่อยออกจากตระกูลเลย มีเรื่องอะไรงั้นรึ ? "
" อืม มีหญิงงามทั้งสองอยู่ตระกูลของข้า มันยากนักที่ข้าจะทิ้งพวกนางมา " เป่ยหมิงเช้อ ยิ้มเล็กน้อย และจ้องไปที่ฉื่อหยานที่กำลังดื่มและหันกลับไปพูดกับมู่หยู่เตี๋ย " เชิญนั่งก่อน "
" ค่ะ " .
" นายน้อยเช้อ , เชิญทางนี้ " ผู้จัดการ ก้าวเท้ายาวพรวดพราดเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยไขมัน เขานำเป่ยหมิงเช้อไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ และตะโกนลงไปข้างล่าง " ตาเฒ่าก๊วย วันนี้คุณชายเช้อได้มาเยี้ยมเยียนเรา ! เตรียมอาหารและสุราที่ดีที่สุดมา เร็วเข้า ! ! ! "
" ฮ่า ฮ่า ข้าได้ยินแล้ว ! " เป็นเสนยงหัวเราะดังมาจากข้างล่าง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเป่ยหมิงเช้อเห็นได้ชัดว่า เขาพอใจเป็นอย่างมากกับการบริการของผู้จัดการ . เขาพูดเบาๆ " เอ่อ ผู้จัดการ ท่านอย่าได้ลำบากเลย ข้าสามารถกระทำเรื่องเหล่านี้เองได้ "
" ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยมนัก ! ข้าจะทำอาหารมาให้ท่านเป็นการส่วนตัวสักอย่างสองอย่างแทยละกัน แต่ข้านั้นไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว หากว่ามันไม่ถูกปากท่าน ข้าก็ต้องขออภัยไว้ก่อน ฮ่าฮ่า " ผู้จัดการพูดพร้อมกับหัวเราะ
" ข้าโชคดียิ่งนัก " เป่ยหมิงเช้อ หัวเราะเช่นกัน " ข้านั้นอยากจะลองชิมอาหารที่ท่านทำเป็นแล้วสิ ไม่ว่ารสชาติมันจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะกินมันให้หมดเอง "
" ข้าดีใจนัก เช่นนั้นข้าขอตัวไปทำก่อนหละ " ผู้จัดการโค้งตัวลง
" ตกลง "
และผู้จัดก็ก้าวเดินลงไป
. . . . . . .
" เราควรไปได้แล้ว " โม่หยานหยูลุกขึ้นยืนทันที
หลิงเชาเฟิง และ โม่ซานและคนอื่น ๆก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน โดยมีหลิงเยว่ที่ยืนเป็นคนสุดท้าย . และทั้งสามก็เดินตามโม่หยานหยู่ไป
ก่อนที่มันจะจากไป โม่ซานก็ทักทาย เป่ยหมิงเช้อ " พี่เช้อ , แล้วเจอกัน วันนี้ข้าต้องขอตัวลาก่อน "
" ตกลง ดูแลตัวเองด้วย " เป่ยหมิงเช้อหันไปพูดและหันหน้ากลับมาทางมู่หยู่เตี๋ยเช่นเดิม
ทันที ทั้งสี่คนมาจากตระกูลโม่และตระกูลหลิงได้ลงจากชั้นสามไป
ในขณะที่ฉื่อหยานกำลังดื่มอยู่ เขาก็ยังคงฟัง เป่ยหมิงเช้อ และมู่หยู่เตี๋ย สนทนากัน เขารู้ก็รำคาญใจเล็กน้อย และเขาก็ตะคอกไปทางฮั่นจง " ผู้เฒ่าฮัน ข้าจะไปแล้ว แล้วท่านหละ "
" ข้ารอเจ้านานแล้ว " ฮั่นจงรู้ดีว่าในตอนนี้ฉื่อหยานกำลังหงุดหงิด เขาจึงลุกขึ้นยืนทันที และหันไปพูดกับ เป่ยหมิงเช้อ " คุณชายเช้อ , เราต้องไปแล้ว เช่นนั้น ข้าขอตัว "
" ตกลง " เป่ยหมิงเช้อ ตอบกลับไป แต่ก็ต่างออกไปจากตอนพูดกับโม่ซาน มันนั้นไม่ได้หันหน้ามาพูดโดยตรง และยังคงพูดคุยกับ มู่หยู่เตี๋ย อย่างไม่สนใจ
" ไปกันเถอะ " ฮันจงดึงฉื่อหยาน แล้วพวกเขาก็เดินตรงไปยังบันได
ก่อนที่เขาจะเดินลงบันได ฉื่อหยานก็หยุดอยู่ที่มุมบันไดและ เขาก็มองไปที่มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน อย่างเย็นชา จากนั้นก็จากไป
เป่ยหมิงเช้อนั้น ไม่ได้สังเกตุเห็นอะไรเลยเพราะมันนั้นหันหลังอยู่ ฉื่อหยานเองก็ไม่รู้ว่ามู่หยู่เตี๋ยสังนั้นจะเกตุเห็นหรือไม่เพราะนางเองก็กำลังคุยกับเป่ยหมิงเช้ออยู่
แต่ ตี่ย่าหลานนั้น บังเอิญหันหน้ามาและมองไปที่ฉื่อหยาน ทันที นางสัมพัสได้ถึงความคุ้นเคยบางอย่างจากฉื่อหยาน มันเป็นความ ความเย็นชา และหยิงยโส ที่แสนคุ้นเคยยิ่งนัก
ตี่ย่าหลาน รู้สึกประหลาดใจและตกตะลึงจนพูดไม่ออก .
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน นางส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจกับตัวเอง : ทำไมข้าถึงโง่เช่นนี้ ? ชายผู้นั้นจะเป็นเขาไปได้อย่างไร มีเพียงแววตาเท่านั้นที่คล้ายกัน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย มันจะเป็นเขาไปได้อย่างไร ! นี่ข้าคิดอะไรอยู่ ? เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ ?
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ