บทที่ 47 เมืองเทียนหยุน
บทที่ 47 เมืองเทียนหยุน
ในห้องที่ราบเรียบ , ฉื่อหยาน ดูเหมือนกำลังสับสน เขายืนอึ้งอยู่ที่หน้าต่างสักพักก่อนที่จะปิดหน้าต่างลง
และกลับไปที่นั่งของเขา จิตใจของเขาค่อนข้างรู้สึกแย่ เขาเพียงเอาแต่ดื่มอย่างหนักและมือของเขาก็ไม่ได้ล้วงไปส่วนต่างๆของหญิงสาวอีก
" คุณชายหยาน นั่นย่อมเป็นกองกำลังของตระกูลเป่ยหมิงใช่รึไม่ ? " คาร์ล นักรบตระกูลฉื่อ ถามเขาออกไปไป
" ถูกต้อง " ฉื่อหยานตอบตรงๆ แล้วก็เอาแต่ดื่ม
ฉื่อจงยืนอยู่ริมหน้าต่างมองไปที่ฉื่อหยาน ที่กำลังทำหน้ามุ่ยด้วยความประหลาดใจในสายตาของเขา หลังจากลังเล เขาจึงถามว่า " น้องหยาน หญิงสาวที่ขี่มาอยู่ , เจ้า . . . เจ้ารู้จักนางงั้นรึ ? "
ฉื่อหยานพยักหน้าและดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วลงไป " ถูกต้อง เราเดินทสงออกมาจากป่าทมิฬด้วยกัน อย่างที่ท่านเคยได้ยิน , สัตว์อสูรนั้นกระจายเต็มไปหมด นั่นย่อมดีกว่าถ้าเราไม่อยู่คนเดียว "
ฮั่นจง นั้นผ่านประสบการณ์มามากมาย เห็นฉื่อหยานตอบกลับมาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ เขากระพริบตาของเขา และคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างฉื่อหยาน และ ตี่ย่าหลานเป็นแน่ .
เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ ฉื่อหยาน , ฮั่นจงโบกมือของเขาให้หญิงสาวข้างๆ เขา " ปล่อยพวกเราอยู่ตามลำพัง เรามีเรื่องต้องคุยกัน "
หญิงงามยืนยิ้มและรีบออกจากห้องไป
เมื่อเหลือเพียงแค่นักรบในตระกูล ฮันจง จึงพูดออกมาว่า " น้องหยาน ข้าไม่รู้ว่าหญิงสาวนั้นเป็นใคร แต่ดูเหมือนว่า เป่ยหมิงเช้อ ค่อนข้างจะชื่นชมเธอนัก ถ้านางได้ยอมรับที่จะไปกับเป่ยหมิงเช้อแล้ว เจ้าควรลืมนางสะ”
" ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่านฮันจง มีผู้หญิงมากมายในโลกนัก มันไม่ฉลาดเลยที่จะที่แย่งผู้หญิงมาจากเป่ยหมิงเช้ออที่มาจากตระกูลเป่ยหมิง ตระกูลของมันเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ในสมาคมการค้าและยังมีอิทธิพลมากมายอีกด้วย เป่ยหมิงเช้อเป็นลูกชายที่รักของ เป่ยหมิงชาง . มันไม่ฉลาดเลยที่เจ้าจะไปขัดใจเขา . " คาร์ล เตือน ฉื่อหยานอย่างจริงจัง
คาร์ล นั้นอยู่ในนภาที่สองระดับก่อตั้ง , เป็นหัวหน้าของเหล่านักรบ เขาพยายามที่จะปลอบฉื่อหยาน เพราะหลังๆมานี้ เขาประทับใจในตัวฉื่อหยานยิ่งนัก
" ผู้เฒ่าฮัน ชายชราสองคนนั้นเป็นใครกัน ? " ฉื่อหยาน ไม่ตอบข้อความของคาร์ล แต่หันไปมองฮันจงและถามออกไป .
" หยินกุ่ยและจิ่วฉานมันทั้งคู่เป็นยอดฝีมือเหมือนกันและพวกมันก็อยู่ในนภาแรกของระดับรู้แจ้ง แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกมันมาจากที่ไหน พวกมันเคยรับใช้หัวหน้าตระกูลเป่ยหมิง เป่ยหมิงชาง อยู่ แต่หลังจากที่ เป่ยหมิงเช้อ เกิดมาและเมื่อพิจารณาได้ว่ามันได้รับสืบทอดจิตวิญญานต่อสู้แฝด เป่ยหมิงชางจึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วให้ชายชราสองคนนั้นไปปกป้องเป่ยหมิงเช้อทันที .
"นภาแรกในระดับรู้แจ้ง" ฉื่อหยานดูสับสน
ฉื่อเจี้ยน , หัวหน้าตระกูลฉื่อ เองก็อยู่ในนภาที่สามระดับรู้แจ้ง
มีผู้อาศัยอยู่ในสมาคมการค้าหลายล้านคน ในกลุ่มคนเหล่านั้นต่างมีผู้ฝึกฝนวิชาต่อสู้มากมาย แต่มีเพียงส่วนเล็ก ๆเท่านั้น แทบจะไม่มากไปกว่าสิบคน ที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับรู้แจ้งได้
แต่กลับมีนักรบในระดับรู้แจ้งถึงสองคนอยู่คอยอยู่ข้างๆเป่ยหมิงเช้อ เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นแล้ว ในสมาคมแห่งนี้คงจะไม่มีใครทำอะไรมันได้แน่นอน
" ในสมาคมการค้า , ตระกูลเป่ยหมิงนั้นแข็งแกร่งกว่าตระกูลใหญ่อื่นๆนัก แข็งแกร่งกว่าสองตระกูลรวมกันเสียอีก อีกทั้งยังมีนักรบยอดฝีมือหลายคนมากมายในตระกูล และ เป่ยหมิงชางเองแข็งแกร่งเป็นอย่างมากมันนั้นอยู่ อยู่ในระดับนภา มันไม่ฉลาดนักที่จะล่วงเกินตระกูลเป่ยหมิง”
เห็นว่าฉื่อหยานไม่ตอบสนองอย่างใดๆ ฮั่นจงรีบอธิบายให้ฉื่อหยานฟังถึงความแตกต่าง
" ข้าเข้าใจ " หลังจากเงียบไปสักพัก ฉื่อหยานพยักหน้า และการแสดงออกของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เขายิ้มให้ฮั่นจง" ไม่ต้องห่วงข้าผู้เฒ่าฮัน ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร ข้าจะอดทนไว้ "
" ดีแล้ว " ฮันจง กล่าวอย่าง รู้สึกโล่งใจ " ไปเรียกสาวๆมาอีก "
" ไม่หละ ข้าไม่ต้องการ เรามาดื่มกันเถอะ. "
" เยี่ยม ! งั้นมาดื่มกันเถอะ ! มามามา ! "
. . . . . . .
สมาคมการค้าเป็นแคว้นที่พิเศษเป็นอย่างมากซึ่งรวบรวมตระกูลใหญ่ๆไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังมีนักรบรับจ้าง พ่อค้าแม่ค้า และองค์กรต่างๆที่คอยช่วยเหลือกันพัฒนาแคว้น
ที่นี่ไม่มีระบบกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ และไม่มีโครงสร้างรัชกาล
แต่กลับปกครองด้วยตระกูลใหญ่ มีผู้อยู่อาศัยมากมายหลายร้อยหลายล้านคนในสมาคมการค้า บางคนก็เร่ร่อน และบางคนก็เป็นพลเรือน ที่เกลียดสงคราม . . . . . . .
สมาคมการค้าไม่เคยไปพัวพันกับสงครามระหว่างอาณาจักวรรดิ์อัคคีและจักวรรดิ์พรพระเจ้าเลย นี่จึงนับได้ว่าเป็นแคว้นที่สงบสุข
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกรุกราน นักรบทั้งหมดในสมาคมการค้าต่างก็จะร่วมมือกันรับมือกับศัตรูอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของสมาคมการค้า จักวรรดิ์อัคคีและจักวรรดิ์พรพระเจ้า ต่างก็เคยบุกโจมตีมาที่สมาคมการค้าเพื่อความมั่งคังของพวกมันอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่พวกมันบุกมา กอพทัพของแต่ละตระกูลและองกรค์ต่างก็ร่วมมือกันรับมือกับมัน
โดยเฉลี่ยแล้ว , ไม่ว่าผู้ใดมารุกรานสมาคมการค้า หรือสมาคมการค้าตกอยู่ในอันตราย ทุกๆคนก็จะร่วมกันต่อสู้เพื่อขับไล่ศัตรูร่วมกัน
ตระกูลใหญ่ๆ และทหารรับจ้างและพ่อค้าที่มั่งคั่งต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกัน นั่นทำให้สมาคมการค้าเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งและสามารถตอบโต้จักวรรดิ์ทั้งสอบกลับไปได้
การที่ผู้คนสมาคมการค้าต่างรวมมือกัน นั้นช่างถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีนัก ไม่ใช่แค่เพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น หากพวกเขาคิดจะไปบุกรุกแคว้นขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร !
เหล่าพ่อค้าที่มั่งคลั่งต่างก็รวมตัวกันออกตามหาสมบัติที่อยู่ไปทั่วในป่าทมิฬ อยู่ทางทิศใต้ของบึงมรณะ ไปทางทิศเหนือของภูเขาเมฆาหรือไกลออกไปทางตะวันตก หรือแม้กระทั่ง ทะเลตะวันออกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าจะเป็นบึงมรณะ ภูเขาเมฆา หรือเกาะในทะเลที่กว้างใหญ่ ที่เหล่านั้น ต่างก็มีทรัพยากรทุกชนิดซ้อนอยู่ เช่น แร่ธาตุและยาวิเศษ เป็นส่วนใหญ่ แต่แคว้นสมาคมการค้า เหล่าพ่อค้านั้นจะได้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่ บึงมรณะ ภูเขาเมฆาและทะเลกว้างใหญ่ แต่ทุกสถานนั้น ต่างก็มีอันตรายซ่อนอยู่เป็นอย่างมากเช่นกัน
สัตว์อสูร หมอกพิษ , โรคระบาด , ชนเผ่าที่น่ากลัว และภัยพิบัติต่างๆ . . . . . . .
นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผู้ต้องการจะไปสถานที่เหล่านั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ก็โชคดีที่สมาคมการค้านั้นไม่เคยขาดแคลนนักรบ และ ทหารรับจ้างฝีมือดี
มี 17 เมืองในสมาคมการค้าและ เมืองเทียนหยุนเองก็เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด
เมืองเทียนหยุนตั้งอยู่ในใจกลางของสมาคมการค้าและมีเมืองเล็กๆอีกแปดเมืองล้อมรอบอยู่ มันครอบคลุมไปทั่วเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งเกือบเท่ากับเมืองเล็กๆแปดเมืองรวมกัน จำนวนประชากรก็เช่นกัน
ดังนั้นเมืองเทียนหยุน จึงเป็นเมืองหลวงของสมาคมการค้า ซึ่งเป็นดินแดนหลักที่มีตระกูลที่ทรงอำนาจอาศัยอยู่
ตระกูลฉื่อเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน พวกเขามีขุมกำลังและสมบัติต่างๆกระจ่ายฝังรากไปทั่วเมือง เทียนหยุน
ตระกูลฉื่อตั้งอยู่ในภาคเหนือของเมืองเทียนหยุน มันครอบคลุมไปทั่ว 100 ไมล์ และมีตึกรามบ้านช่องหล่ยพันหลัง ทั้งเทละสาบเทียมและสวนหิน , สวนและลำธารพวกนี้ต่างก็อยู่ในทุกๆที่ และก็เป็นลูกหลานตระกูลฉื่อที่อาศัยอยู่ในสวนเหล่านี้อย่างสงบ ซึ่งทั้นนั้นมีทะเลสาบเทีย เป็นศูนย์กลาง และมีเรือนต่างๆล้อมรอบ ด้าน ด้านหลังของบ้านเรือนจะมีห้องฝึกฝนแรงโน้มถ้วงและอาคารหลักของตระกูลอยู่ . . . . . . .
มีลูกหลานที่สืบเชื่อสายโดนตรงไม่มากนักที่อาศัยอยู่เรือนธรรมดา ส่วนมากจะเป็นคนจากตระกูลสาขาและองค์กรต่างๆในตระกูล มีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้นที่จะเป็นลูกหลานโดยตรง ตระกูลสาขาและคนคุ้มกันเหล่านั้นต่างก็มีจำนวนหลายพันครอบครัว ในตระกูลฉื่อ
ทุกๆเช้า คนในตระกูล ทหาร หรือคนจากตระกูลสาขาต่างก็ฝึกกันในสนามฝึกฝน .
เมื่อไก่เริ่มขันแสงอาทิตย์เริ่มส่องมากระทบกับพื้นกินจนเกิดเป็นแสงสว่าง นักรบหลายคนก็จะลุกขึ้นตื่น และเริ่มฝึกกัน
เป็น ฉื่อเจี้ยน ที่เดินออกจากห้องหินและตะโกนลงไปด้านล่างเรือนแล้วเรียกหยานไห่ จากนั้นพวกเขาก็เดินตรงไปยังประตูด้วยกัน
ระหว่างกำลังเดินไปทีประตู , นักรบต่างก็ก้มหัวให้พวกเขา ฉื่อเจี้ยน พยักหน้าอย่างราบเรียบโดยไม่ต้องชะลอการก้าวเดินของเขา
ในเวลาสั้น ๆหลังจากที่พวกเขามาถึงประตู ฮันเฟิงก็ปรากฏอยู่เบื้องหลังพวกเขา เขาเริ่มที่จะสังเกตเห็นได้ระหว่างที่กำลังเดินไปประตู และเขาก็มายืนอยู่ข้างๆ ฉื่อเจี้ยน อย่างเงียบๆ
" ตามข้อควาทที่ฮันจงส่งมา พวกเขาน่าจะกลับมาถึงตระกูลตั้งแต่คืนวาน แต่บัดนี้ยังไม่กลับมา พวกเขาจะต้องมาถึงในวันนี้เป็นแน่นอน " ฉื่อเจี้ยน ขมวดคิ้วแล้วพึมพำ " ข้ารอจนถึงเช้า เพื่อรอพบเจ้าเด็กที่อยู่นภาที่สามในระก่อตั้ง . แต่มันกลับไม่กลับมาที่ตระกูลเสียนี่ . . . . . . . "
" บางทีพวกเขาอาจจะติดขัดอยู่บนถนนก็เป็นได้ "หยางไห่กนด่าในใจ ฉื่อหยานเจ้าเด็กไร้มารยาท! เจ้าจะต้องอธิบายทุกอย่างให้ข้าฟังเมื่อเจ้ากลับมา
" โธ่ . . . . เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮันจงจะส่งข้อความมาผิด "
ฉื่อเจี้ยน หันกลับไปมองฮันเฟิงอย่างสับสน " ข้าก็พบเห็นเด็กหนุ่มที่พลังตื่นขึ้นในช่วงวัยหนุ่มมาบ้าง ข้าจึงไม่สงสัยในเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนั้นไม่เคยฝึกฝนวิชาต่อสู้มาก่อน ก่อนที่จะอายุสิบเจ็ดปี แต่ตอนนี้เขากลับอยู่ในนภาที่สามรองระดับก่อตั้ง นี่ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนัก ! ข้าได้คบคิดอยู่เป็นเวลาหลายคืน แต่ก็ไม่สามารถคิดออกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านคิดว่าเช่นไร ? "
ฮันเฟิงยืน คอดตาของเขาและกล่าวว่า " แม้ว่าฮันจงจะไม่ใช่คนที่ดีพร้อมนัก แต่ส่วนใหญ่เขาค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้เป็นอย่างมาก ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่โกหกเกี่ยวกับเรื่องนั้นแน่ ข้าเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน แต่ข้าก็หวังให้มันเป็นเรื่องจริง "
" อืม ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน เจ้าเด็กนั้นทิ้งเวลาให้เสียเปล่ามาสิบเจ็ดปี ข้าหวังว่าครั้งนี้เขาจะคิดต่างออกไปจากเมื่อสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาก"
นักรบมากมายต่างก็เดินออกมาต่อเนื่อง ด้วความสงสัยของพวกเขา พวกเขาจึงออกมาหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ , พวกเขาได้ยินว่าหัวหน้าตระกูลกำลังยืนรอบางอย่างที่หน้าประตู พวกเขาเริ่มรวมตัวกันและเริ่มพูดคุยกันเสียงดัง .
ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดกำลังจะมาเยือน ต้องเป็นคนของตระกูลเป่ยหมิง หรือไม่ก็ตระกูลซั่วแน่ มิเช่นนั้นฉื่อเจี้ยนคงไม่มายืนรอเช่นนี้
แต่หลังจากผ่านไปนาน ก็ไม่มีใครโผล่มา นักรบหลายคนกลายเป็นใจร้อนและเริ่มด่าถึงคนที่หยิงพยองนี่ ที่ทำให้ฉื่อเจี้ยนต้องยืนรอเป็นเวลานาน
ดวงอาทิตย์ลอยตัวสูงขึ้นเหนือหัว และสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าใครจะปรากฏออกมา ฉื่อเจียนเริ่มเป็นกังวลเช่นกัน เขาจึงกล่าวกับหยางไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆเขา " นี่มันก็นานมากแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ? "
หยางไห่ ส่ายหัวกับยิ้มอย่างขมขืนและตอบว่า เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน และเขาก็แอบถอนหายใจกับตัวเอง
แม้ว่าซือเจี้ยนจะเริ่มเป็นกังวลเรื่องฉื่อหยานแล้ว แต่เขากลับไม่กังวลสักนิด
เขาจำได้ ก่อหน้านี้ฉื่อเจี้ยนได้บอกเขาว่าฉื่อหยานหายตัวไปในป่าทมิฬ
และตอนนี้ กลับบอกว่าฉื่อหยานยังมีพลังอยู่ในนภาที่สามในระดับก่อตั้งแล้ว , ฉื่อเจี้ยนถามหาฉื่อหยานทุกวัน และเขายังออกไปรอฉื่อหยานที่หน้าประตูทุกวันอีกด้วย . . . . . . .
ทัศนคติของ ฉื่อเจี้ยน เปลี่ยนมากเกินไป ซึ่งทำให้หยางไห่ อึดอัดเล็กน้อย
หนึ่งชั่วโมงต่อมาใกล้จะเที่ยงวัน ขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงเหนือหัวพวกเขาในท้องฟ้า มังกรดินร่างอวบก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในเส้นทาง
และมีคนสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสุขสบาย พวกเขาคือ ฉื่อหยานและฮันจงนั่นเอง
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ