บทที่ 45 เปลี่ยนไป
บทที่ 45 เปลี่ยนไป
ทันทีที่เสี่ยวเฟิงเฉียนจากไปแล้ว ฮันจงก็ผ่อนคลายขึ้นมา
หลังจากใช้เวลาแต่งตัวสั้นๆ ฮันจงก็นั่งลงที่โต๊ะตรงหน้าฉื่อหยาน และยกถ้วยชาขึ้นมาและจิบมัน " คุณชายหยานผู้คุ้มกันของท่านหละ "
" พวกเขาตายแล้ว " ฉี่หยาน ดูสงบ และพูดออกมาอย่างเรียบเฉย " สัตว์อสูรในป่าทมิฬเกิดบ้าคลั่งและไล่ล่านักรบ เพื่อปกป้องข้า พวกเขาจึงเสียสละตัวเอง .
ฮันจง ค่อนข้างตกใจ เขามองไปที่ฉื่อหยานด้วยความสับสน " เมื่อข้าคิดถึงความเป็นไปได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น โชคดีจริงๆที่ท่านหนีรอดจากมันมาได้ . "
เขาเคยได้ยินข่าวมานานแล้วว่า หมาป่าอัศศนีขนเงิน ได้อาละวาดไปทั่ว เขาวางแผนที่จะกลับไปที่ตระกูลฉื่อในอีกครึ่งเดือน เพราะเขาคิดว่าฉื่อหยานได้ตกตายไปแล้ว จึงไม่ได้ออกตามหา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฉื่อหยานจะหนีรอดออกมาจากป่าทมิฬได้ .
เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในป่าทมิฬ แม้แต่นักรบที่มีประสบการณ์หลายคนต่างก็ถูกฆ่า แต่ ฉื่อหยาน ผู้เป็นเด็กที่อ่อนแอ กลับยังหนีรอดออกมาได้อย่างครบถ้วน ฮันจงประหลาดใจยิ่งนัก .
ฮันจง นั่นไม่ได้ชอบเจ้าของร่างคนเก่าของฉื่อหยานเท่าใดนัก
เพราะเขานั้นไม่ได้ฝึกวิชาการต่อสู้และถือได้ว่าเป็นคนไร้เกียรติ เขากลับเอาแต่หมกวุ่นอยู่กับสิ่งที่คนในตระกูลฉื่อต่างไม่เห็นด้วย ฮันจงนั้นไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ
ตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของฉื่อเจี้ยน และความจริงที่ว่า เขาเกิดในเมืองเงียบสงัดแห่งนี้ เขาจะไม่มาอยู่ตรงนี้เพื่อรอฉื่อหยานโดยเด็ดขาด
" เยี่ยม แน่นอน ท่านช่างโชคดีนัก "
ฉื่อหยานพยักหน้าและยิ้มเป็นธรรมชาติ แล้วเขาก็ถามออกไป " ลุงฮัน เราจะกลับไปที่ตระกูลเมื่อใดกัน ? "
" มันขึ้นอยู่กับท่าน คุณชายหยาน จริงๆ แล้วข้าก็อยากไปทันที ข้ามีบางอย่างที่ต้องรายงานกับท่านผู้นำตระกูล อีกไม่กี่วันข้าก็คงจะกลับไปอยู่ดร หากข้าไม่พบท่าน . " ฮั่นจงหยุดและตอบอย่างกล้าหาญ
ขณะที่เขากำลังพูด ฮันจงก็ช่วยไม่ได้ที่จะเริ่มต้นการตรวจสอบฉื่อหยาน ในตอนแรกนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นมันเลย แต่หลังจากการตรวจสอบอย่างระเอียด เขารู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป . . . . . . .
ฉื่อหยาน ผอมแห้งลงมากกว่าเดิม ใบหน้ากลมคิ้วเป็นเหลี่ยมดูกล้าหาญ และดูเป็นลูกผู้ชายมากขึ้น
ฉี่หยานนั่งอย่างเป็นธรรมชาติ หลังของเขาเหยียดตรง และร่างกายของเขาก็ให้ความรู้สึกเหมือนคมดาบ ซึ่งทำให้เขาดูค่อนข้างที่จะเข้าถึงยาก
นั่นไม่ใช่ลักษณะเดียวของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป
ในอดีตฉี่หยานจะตื่นเต้นก็ต่อเมื่อได้ไปตรวจสอบซากโบราณต่างๆ และเขาก็มักจะออกไปอยู่บ่อยครั้ง
แต่ตอนนี้ ชายที่นั่งอยู่หน้าฮั่นจงมีแววตาสดใส ลึกซึ้ง และที่ดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิดตลอดเวลา เหมือนเขาจะมองทุกสิ่งทุกอย่างทะลุปุโปร่ง
" ลุงฮัน ข้าขอถามอะไรหน่อย " ภายใต้การจ้องมองของฮั่นจง ฉื่อหยานยังคงถามออกไปได้อย่างง่ายดาย " จู่ ๆวันนี้ในป่าศิลาก็เกิดเงียบสงบขึ้นมา ท่านรู้หรือไม่ มีสิ่งใดเกิดขึ้น ? "
" อืม ตระกูลเป่ยหมิงส่งคนไปที่นั่น มันกล่าวว่าจะไปพบสหายในป่าศิลา ดังนั้น เหล่านักรบที่เดินเร่ร่อนอยู่ในป่าศิลาก็หนีหายไปหมดเมื่อได้ยินเช่นนั้น "
" ตระกูลเป่ยหมิง ! ตระกูลที่ทรงอำนาจอันดับหนึ่งงั้นรึ " ฉื่อหยานตระหนักถึงบางสิ่ง
" เป่ยหมิงเช้อ .
ฮันจง เริ่มสบถหลังจากเขาตอบฉื่อหยาน , " ว่ากันว่ามันได้ไปถึงระดับหายนะเมื่อครึ่งปีที่แล้ว บ้าเอ๊ย ! ! ! เขาเพียงอายุยี่สิบเจ็ดปี และเขายังครอบครองจิตวิญญานต่อสู้แฝด บัดซบ ! ข้าอายุสี่สิบห้า และยังอยู่เพียงนภาที่สองในระดับหายนะ นี่มันช่างไม่ยุติธรรมเลย ! "
อายุยี่สิบห้าปี นภาที่หนึ่งในระดับหาย อีกทั้งยังมีจิตวิญญานต่อสู้แฝด . . . . . . .
ฉื่อหยานกลายเป็นแข็งตึง เขาก็ตระหนักทันทีว่า เป่ยหมิงเช้อ นั้นเป็นคนที่มู่หยู่เตี๋ยจะแนะนำให้เขารู้จัก
ผู้ชายคนนั้นมีความสามารถที่หาได้ยาก และมีระดับพลังที่สูงในขณะที่อายุยังน้อย นอกจากนี้ เขายังมาจากตระกูลอันดับหนึ่งในสมาคมการค้า - ตระกูลเป่ยหมิง มิน่า มู่หยู่เตี๋ย และ ตี่ย่าหลาน จึงไม่เลือกมากับเขา
ด้วยความเงียบ ฉื่อหยานแสยะยิ้มกับตัวเอง และแววตาของเขาก็กลายเย็นเยียบ : อายุยี่สิบห้า ระดับหายนะ จิตวิญญานต่อสู้แฝด นั่นน่าตกใจเช่นนั้นรึ ?
ไม่ใช่เลยสักนิด !
เขาเป็นคนที่ได้บรรลุถึงในนภาที่สามของระดับก่อตั้ง จาก นภาที่หนึ่งของระดับก่อตั้ง ในเวลาเพียงสองเดือน
อีกทั้งยังมีจิตวิญญานกายาแข็งและจิตวิญญาณอมตะ และเขาเองก็ครอบครองผลึกอสูรระดับหกหนึ่งก้อนและยังมีวิชาระดับวิญญาน หากจะให้เปรียบเทียบ เขาย่อมต้องมีศักยภาพมากกว่า เป่ยหมิงเช้อ แน่นอน !
" นี่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เพียงแค่ข้ามีเวลา ข้าก็จะอยู่เหนือกว่า เป่ยหมิงเช้อ ! " ฉื่อหยานคิดกับตัวเอง
" คุณชายหยาง , ท่าน , ท่านมีพลังปราณลึกลับในร่างกายด้วยงั้นรึ ? "
ฮั่นจง ดวงตาสว่างขึ้น เขาจ้องมองฉื่อหยานอย่างจริงจัง " ข้ารู้สึกได้ถึงพลังปราณลึกลับที่ ไหลในร่างกายของท่านและมันก็หนาแน่นเป็นอย่างมากด้วย ! คุณชายหยาน , เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่าน ? "
ฉื่อหยาน สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความไม่พอใจของเขาไว้" ถูกต้องข้ามีพลังปราณลึกลับ ดังนั้น ในตอนนี้ข้าเป็นนักรบแล้ว " .
" ระดับไหนรึ ? " ฮันจง รอไม่ได้
"ระดับ ก่อตั้ง "
" อะไรนะ ! "
. . . . . . .
สมาคมการค้า เมืองเทียนหยุน ที่สนามฝึก ตระกูลฉื่อ
ลานฝึกฝนของตระกูลฉื่อมีความกว้างสิบไมล์ และปกคลุมไปด้วยต้นไม้เก่าแก่และหินรูปร่างแปลกปละหลาด . . . . . . .
มีแม่น้ำ ทะเลทราย พื้นดินและเขตห้องพักไม้ภายในสนามฝึก . . . . . . .
สถานหลบภัยที่ซับซ้อนและอุปสรรคต่างๆที่มีไว้เพื่อให้สมาชิดตระกูลฉื่อใช้ในการฝึกฝน
พวกเขาสามารถเรียนรู้และจะปรับตัวให้ต่อสู้ในทุกๆภูมิประเทศได้ .
ในเวลานี้ ที่จุดศูนย์กลางลานฝึกฝนขนาดใหญ่ ได้มีการทดสอบกายาเพชร บนเส้นทางหยกขึ้น มีสมาชิกตระกูลฉื่อรุ่นที่สามของตระกูลกำลังยืนต่อคิวกันอยู่ระหว่างเส้นทางหยก พวกเขาทุกตนจะใส่กำลังหยกใว้ที่ข้อมือ และส่งพลังปราณลึกลับเข้าไปในหยกเพื่อทดสอบ
" ฉื่อ เทียนลั่ว อายุยี่สิบเอ็ด นภาที่สองในระดับก่อตั้ง ! "
" ฉื่อ เทียนเซียว อายุยี่สิบห้า นภาที่หนึ่งในระดับก่อตั้ง ! "
" ฉื่อ เทียนหลิง อายุยี่สิบเจ็ด , นภาที่สามในระดับเริ่มต้น ! "
" ฉื่อ เทียนเค้อ อายุยี่สิบ นภาที่สองในระดับก่อตั้ง ! "
" ฉื่อ เทียนหยุน อายุสิบเก้า นภาที่สามในระดับก่อตั้ง ! "
" . . . . . . . "
ฮันเฟิงที่ยืนข้างหน้าเส้นทางการทดสอบหยก กำลังมองไปมาด้วยสายตาคอด และตะโกนออกมาหลังจากที่สมาชิกรุ่นเยาว์ได้ทดสอบพลังเสร็จสิ้น
ทุกครั้งที่ฮันเฟิงประกาศผล สมาชิกตระกูลฉื่อรุ่นแรกและรุ่นที่สอง ต่างก็เกิดการเปลี่ยนบางขึ้นกับจิตใจและความคิดของพวกเขา ; ทั้งดีใจ และ ผิดหวัง
" พี่รองเทียนหยุน เจ้านี่จริงๆเลย เจ้าสามารถบรรลุในระดับที่สูงขึ้นอีกแล้ว ! " ฉื่อกั่ว โกรธเล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมา " ต้องขอบคุณในความขี้เกียจของข้าเมื่อเร็ว ๆนี้ ! ข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว "
" น้องสามเทียนเค้อ เจ้านั้นได้ฝึกฝนอย่างหนักแล้ว ข้าเห็นเจ้าเข้าไปในห้องแรงโน้มถ้วงทุกคืน อย่าได้กดดันตัวเองมากเกินไป เด๋วจะเกิดผลตรงข้ามเอาได้ " ฉื่อกังปลอบโยนเขา
" เทียนหยุน เจ้าต้องฝึกให้หนักขึ้น เพื่อที่จะบรรลุในระดับมนุษย์โดยเร็วที่สุด " ฉื่อเตี่ย พูดออกมาอย่างเสียงดังเหมือนระฆังและเขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ฉื่อเตี่ยคือพี่ชายของฉื่อเจี้ยน และฉื่อกังและฉื่อกัวก็เป็นบุตรชายของเขา ฉื่อเทียนหยุนเป็นลูกของฉื่อกัง
และเป็นหลานของฉื่อเตี่ย ฉื่อเตี่ยดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นระดับของเทียนหยุนสูงขึ้น
ตำแหน่งผู้นำถูกตัดสินโดยระดับการต่อสู้ เมื่อหลายปีก่อน ฉื่อเตี่ย แพ้ให้กับน้องชายของเขาฉื่อเจี้ยน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสุขนัก และหวังว่า หลานของเขา ฉื่อเทียนหยุน , จะอยู่สูงกว่าหลานชายของฉื่อเจี้ยน ฉื่อเทียนเซียว .
จิตวิญญานกายาแข็งนั้นพิเศษเป็นอย่างมาก จะมีเพียงบุตรคนแรกและคนที่สองของคู่แต่งงานเท่านั้นที่จะได้รับการสืบทอดจิตวิญญาน
เด็กคนที่สามนั้นแทบไม่มีโอกาสที่จะได้รับสืบทอดเลย
นั่นคือเหตุผลที่ทุกครอบครัว ในตระกูลฉื่อ มักจะมีบุตรเพียง 2 คน
แม้แต่หัวหน้าตระกูลฉื่อ , ฉื่อเจี้ยน ,ก็ มีบุตรเพียงแค่สองคน คือ ฉื่อหยางและฉื่อซิง
ฉื่อหยางมีลูกสาวชื่อว่า - ฉื่อเทียนหลิง และลูกชาย - ฉื่อ เทียนเซียว .
ฉื่อซิงและฉื่อหยานไห่มีบุตรชายเพียงคนเดียว คือ ฉื่อหยาน
ดังนั้น ฉื่อหยาน และฉื่อเทียนหลิง ฉื่อเทียนเฉียว ต่างก็เป็นหลานของฉื่อเจี้ยน ขณะที่ฉื่อเทียนหยุน ฉื่อ เทียนลั่ว เป็นหลานของฉื่อเตี่ย
สมาชิกของตระกูลฉื่อคนอื่น ๆต่างเข้ากันด้วยดี พวกเขาอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกันทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มอิทธิพลของตระกูล
แต่ไม่ว่าจะร่วมมือกันเช่นไรพวกเขาต่างก็ต้องการแข่งขันกับคนอื่น ๆอยู่ เช่น ฉื่อเตี่ย เขาต้องการล้มฉื่อเจี้ยนผ่านหลานชายของเขา
ในฐานะที่ลูกชายของเขา ฉื่อกังและฉื่อกัว ยังไม่สามารถเทียบเท่า ฉื่อหยาง ลูกชายของฉื่อเจี้ยนได้ เขาจึงได้ฝากฝังความฝันไปที่หลานของเขาฉื่อเทียนหยุน
ต้องขอบคุณในความโชคดีของเขา ฉื่อเทียนหยุน มีความสามารถมากกว่า ฉื่อเทียนเซียวนัก. เขาค่อนข้างภูมิใจทุกครั้งที่พวกเขาได้มาทดสอบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีก็ตาม
หยางไห่ยืนอยู่ข้างๆฉื่อหยาง ขณะที่เขากำลังอธิบายถึงสักยภาพกายาแข็งและหลังจากที่ ได้ยินฉื่อเตี่ยตะโกนออกมาเสียงดัง ฉื่อหยางจึงหันไปและพูดว่า " ยินดีด้วยลุงสอง หลานชายของท่านได้แสดงให้เราได้เห็นอีกครั้งแล้ว " หลังจากนั้นเขาก็หยุดพูด และเขาก็ชายตามองไปที่ฉื่อเทียนเซียว ที่ยืนอยู่ข้างเขาและด่าว่า " เจ้าสารเลว เจ้าทำให้ข้าเสียหน้า ! "
" เอ่อ . . . ข้ามันไม่ดีเอง . . . . . . . " ฉื่อเทียนเฉียว ดึงหัวของเขากลับอย่างอดสู
ใบหน้าของหยางไห่กลายเป็นขมขื่น เขาถอนหายใจ " เจ้าควรจะภูมิใจสะ เมื่อคิดไปถึง ฉื่อหยาน ของข้า อย่างน้อย เทียนเซียวก็เป็นนักรบ แต่เจ้าโง่นั่น หายหน้าหายตาไปหลายวันและยังไม่กลับมา เขาช่างสร้างปัญหาเหลือเกิน กลับมาข้าจะลงโทษให้หนัก "
" ฮ่าๆ จริงอย่างที่ท่านว่า " ฉื่อหยางหัวเราะ
. . . . . . .
ลูกหลานของตระกูลฉื่อทั้งหมดได้มารวมตัวกันในลานฝึกและพูดคุยกันอย่างชีวิตชีวา
แล้วในตอนนั้นก็มีนกอินทรีที่ปรากฏบนท้องฟ้าและบินลงมาเกาะอยู่ที่ไหล่ของฉื่อเจี้ยน
ฉื่อเจี้ยน หยิบกระเป๋าอันเล็กสีเทาจากกรงเล็บของนกอินทรีและหยิบเอาจดหมายมา เปิดจดหมายออก และเขาเริ่มอ่านพลางขมวดคิ้ว
เนื่องจากคนที่อยู่รอบๆล้วนเป็นคนในตระกูล เขาจึงไม่คิดจะปิดบังอะไร
" หือ ? "
หลังจากอ่านอย่างรวดเร็วช่วยไม่ได้ที่ฉื่อเจียนจะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ และมองหน้าไปทางฝูงชนที่ตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเขามองมาที่ฉื่อเจี้ยน และสงสัยว่าทำไมเขาถึงทำตัวแปลกๆ
" พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ? " ฉื่อเตี่ยขมวดคิ้วและถามเสียงดัง " เป็นตระกูลโม่ก่อเรื่องอีกแล้วงั้นรึ บ้าเอ๊ย ! ! ! พวกมันคงจะไม่สงบ หากไม่โดนเราเตะสักป้าบ ! "
" มิใช่ " ฉื่อเจี้ยน วางจดมหายอย่างตื่นเต้นในขณะที่เขาพูดด้วยความประหลาดใจ " ฮั่นจง พบ ฉื่อหยานแล้ว ! "
" เจ้าสารเลวน้อยนั่นเป็นอย่างไรบ้าง ? " เมื่อได้ยินดังนั้น หยางไห่ ก้ตัดสินใจถามด้วยสีหน้ารำคาญ และวางแผนไว้ว่าจะลงโทษฉื่อหยานเมือกลับมา
" ตอนนี้เด็กนั่นกลายเป็นนักรบไปแล้ว . . . . . . ! " ฉื่อเจี้ยนพูดอย่างตกใจ ปากของเขาสั่นสะท้าน เขาพยายามที่จะซ่อนความตื่นเต้นของเขาเอาไว้
" ว่าอะไรนะ ? " ฉื่อเตี่ยช่วยไม่ได้ที่จะร้องอvกมา " เขาอายุขนาดนี้แล้ว เหตุใดพึ่งจะเริ่มฝึกวิชาต่อสู้ ! "
หลังจากคิด เขาถอนหายใจเบาๆ เขาdHรู้สึกสงสารฉื่อหยาน " มันสายเกินไป เริ่มฝึกเมื่อตอนอายุ 17 ข้าเดาว่าเขาคงจะไม่สามารถบรรลุในระดับสูงได้ในชีวิต หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าเขาได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เขาเกิดมาหละก็ เขาอาจจะมีระดับในนภาที่สองหรือสามของระดับก่อตั้งก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับสืบทอดจิตวิญญานกายาแข็งของตระกูลฉื่อก็ตามเถอะ "
" เจ้าเด็กนั้น ตอนนี้อยู่ในนภาที่สามของระก่อตั้งแล้ว ! " ฉื่อเจี้ยนตอบอย่างหนักแน่นด้วยสายตาที่แหลมคม
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ