บทที่ 21 เจ้าคนประหลาด
บทที่ 21 เจ้าคนประหลาด
ฉื่อหยานล้มลงไปบนพื้นด้านหลัง แขนและขาของเขาอ้าออก ใบหน้ากลายเป็นสีแดงคล้ายกับมีเลือดโฉลมอยู่บนหน้า เขาหอบหายใจอย่างหนัก และร่างของเขาก็กระตุกเป็นครั้งคราว
เขามองไปที่ประกายแสงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ฉื่อหยานรู้สึกได้ว่าทุกๆเซลล์ในร่างกายของเขากำลังสั่น ร่างกายของเขากระตุกเป็นบางครั้ง กล้ามเนื้อ เส้นเลือดและกระดูกกำลังขยายขึ้นและหดตัวอย่างสม่ำเสมอ
โดยปราศจากลังปราณลึกลับของเขา เขาหลับตาลงช้าๆ และเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ภายในร่างของเขา กล้ามเนื้อสั่นอย่างรุนแรง กระดูกและเซลล์เหล่านั้นค่อยๆฟื้นฟูอย่างช้าๆ และค่อยๆเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขา
เขานั้นเป็นคนที่คลั่งไคล้ในกีฬาผาดโผนเป็นอย่างมาก , ฉื่อหยาน รู้ดีว่าการที่เขาฝืนร่างกายให้ถึงขีดจำกัดในครั้งนี้มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกขั้นต่อไป
เมื่อมนุษย์ไปถึงขีดจำกัดของตัวเองได้ครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งต่อไปขีดจำกัดก็จะถูกขยายใหญ่ขึ้น ศักยภาพของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ้นสุด
ผู้เชี่ยวชาญในด้านกีฬาผาดโผนได้สอนเขาว่า มีเพียงการทำลายขีดจำกัดของตัวเองเท่านั้น ทีจะสามารถทำให้พัฒนาได้อย่างรวด
เขาหลับตาลง สัมพัสได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเส้นใยในกล้ามเนื้อของเขาที่ปราศจากพลังปราณลึกลับ
เมื่อเขาตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง ฉื่อหยานก็พบว่าจิตวิญญาณอมตะในร่างกายของเขากำลังเริ่มทำงาน และมันก็เริ่มฟื้นฟูรักษาร่างกายอย่างน่าอัศจรรย์ มันกำลังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อฉีกขาดของเขาอย่างต่อเรื่อง
การฝึกฝนอย่างหนักภายใต้แรงโน้มถ่วงที่มากขึ้น ส่งผลกล้ามเนื้่อของเขาทำงานอย่างหนักจนฉีกขาด ทันทีที่พวกมันได้รับการฟื้นฟู พวกมันก็จะแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ฉื่อหยานผ่านการเล่นกีฬสผาดโผนมามากมาย เขาจึงรู้จักสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาดี มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอยู่บ่อยๆ มันเป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่จะสร้างกล้ามเนื้่อ
เขาสัมพัสได้ว่าจิตวิญญาณอมตะของเขากำลังทำงานอยู่ มันเริ่มที่จะลดความเจ็บปวดในเส้นใยกล้ามเนื้อทุกๆส่วนของเขา ฉื่อหยานพยายามลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง และหยิบเอาอาหารออกมาจากกระเป๋าและเขาก็เริ่มสวาปามมันทันที เขารู้สึกมีความสุขมากจากการที่เขาได้ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
การฝึกฝนร่างกายอย่างหนักนั้นกินพลังในร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงต้องกินอาหารให้มากๆเพื่อที่มันจะได้ไปฟื้นฟูและเพิ่มพลังของเขา
เนื้อแห้งที่กินเข้าไปไหลผ่านเข้าไปในกระเพาะ มันถูกย่อยอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสารอาหารซึมเข้าไปในร่างกายของเขา
ในเวลาสั้นๆ เมื่อเขาได้สวาปามอาหารสำหรับคน 5 คนเสร็จแล้ว
เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอีกครั้ง และเขาก็ยิ้มกว้่างขึ้น เขาเก็บแขนและขานั่งขัดสมาธิและปิดตาลงและเริ่มที่จะโคจรพลังปราณลึกลับของเขาอย่างเงียบๆ
เมื่อพลังปราณลึกลับเริ่มโคจร ฉื่อหยานก็รู้สึกสั่นเล็กน้อยในร่างกายของเขา
อย่างที่เขาคิดไว้
พลังปราณลึกลับโคจรไปที่เส้นชีพจรของด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม 30 เปอเซนต์จากปกติ
ในตอนนี้่เขารู้สึกกดดันอย่างมากภายในร่างกายและเส้นชีพจรของเขากลายเป็นผิดและบ้าคลั่ง เส้นชีพจรที่อ่อนแอของเขาก่อนหน้านี้ ดูว่าเหมือนมันจะดูดซับพลังปราณลึกลับที่ไหลผ่านได้มากขึ้นกว่าเดิม พลังงานในเส้นชีพจรของเขาขยายและเข้มข้นมากขึ้น
ฉื่อหยานรู้อยู่แล้ว การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นสำคัญเช่นเดียวกับกับการเสริมสร้างพลังปราณลึกลับ ; ทั้งสองสิ่งล้วนแต่สำคัญ
เมื่อมีร่างกายแข็งแกร่งพอ พลังปราณลึกลับก็จะควบแน่นได้เร็วขึ้น ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นมีผลต่อการโคจรพลังปราณลึกลับเป็นอย่างมาก และบางทีมันอาจจะทำให้จิตวิญญานต่อสู้ทั้งสองที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน
ความคิดแรกของฉื่อหยานสำเร็จไปได้ด้วยดีจากการฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงมีความสุขเป็นอย่างมาก
. . . . .
ในพุ่มหญ้าที่อยู่ไกลออกไป
" เตี๋ยเอ๋อ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? เจ้าควรจะพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะฟื้นฟูจิตวิญญานต่อสู้ของเจ้านะ " ลั่วฮ่าว นั้นสังเกตเห็นมู่หยู่เตี๋ยตั้งแต่ที่เขาได้เริ่มฝึกฝนฉื่อหยานด้วยสนามแรงโน้มถ่วงแล้ว และเมื่อเขาเห็นฉื่อหยานกำลังนั่งอยู่กับพื้นอย่างหมดหมดแรง , เขาจึงแอบมาหามู่หยู่เตี๋ยอย่างเงียบๆ
" ข้านอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่นรอบๆ ข้าเพียงแค่มาดูท่านฝึกเท่านั้น " มู่หยู่เตี๋ยยิ้มเบา ๆด้วยความกังวลเธอหยุดคิดสักพักแลพูดออกมาด้วยรอยยิ้มซุกซน " ลุงลั่ว ข้าว่านั่นมันหนักเกินไปสำหรับเขา ข้าจำได้ว่าเมื่อท่านฝึกจ้าวชิน , ท่านใช้สนามแรงโน้มถ้วงแค่สามเท่า เท่านั้น และ จ้าวชินเองก็อยู่ในนภาที่สองของระดับ ก่อตั้ง อีกทั้งเขายังมีประสบการณ์ในการฝึกความแข็งแกร่งของร่ายกายมาก่อน แต่น่าแปลกนะ เหตุใดท่านจึ้งใช้สนามแรงโน้มถ่วง 5 เท่ากับเขากัน ? "
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของ ลั่วฮ่าว เขาส่ายหัวและถอนหายใจ " ที่ข้าใช้แรงโน้มถ่วง 5 เท่านั่นเพราะข้าต้องการให้เขาสูญเสียพลังงานจนหมดและล้มเลิกไปเอง ใครจะไปรู้ว่าเขามันเป็นคนบ้าของแท้ ! ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน ข้าได้พยายามจะทำให้เขาล้มเลิกหลายครั้งแล้ว แต่เขากลับไม่ยอมเสียที ! "
" ท่านจะบอกว่า ท่านแค่พยายามจะขู่เขาในตอนแรก เพื่อที่เขาจะไม่ขอให้ท่านช่วยฝึกในภายหลังอีกเช่นนั้นรึ ? " มู่หยู่เตี๋ยม้วนตาของเธอและรู้สึกตกตะลึง
" เห้อออ " ลั่วฮ่าว ถอนหายใจอีกครั้ง " เจ้าก็รู้ว่า การควบคุมสนามแรงโน้มถ่วงนั้น สิ้นเปลืองพลังปราณลึกลับเป็นอย่างมาก และในระหว่างนั้น ข้าก็ไม่สามารถสนใจสิ่งอื่นได้ ข้าแค่ไม่อยากจะสูญเสียพลังปราณลึกลับของข้าเท่านั้นเอง และข้าก็ไม่อยากให้เขาพิการในวันต่อไปด้วย หากเป็นเช่นนั้นมันจะทำให้การเดินทางของเราล่าช้าเป็นอย่างมาก แต่ใครจะไปรู้หละ ว่ามันเป็นคนบ้า ! "
" งั้น ลุงลั่ว ท่านคิดว่าเขาผ่านไปกี่รอบแล้ว ? "
" สี่รอบ "
ลั่วฮ่าว ชูสี่นิ้วขึ้นมา และพูดด้วยเสียงหนัก " นักรบที่พึ่งบรรลุถึงระดับก่อตั้ง และไม่เคยฝึกฝนร่างกายมาก่อน จะถูกต้องถูกแรงโร้มถ้วงห้าเท่าจัดการในรอบที่สี่เป็นแน่ อักทั้งร่างกายของมันยังผอมแห้งเช่นนั้นอีก ข้าคิดว่ามันจะต้องเดี้ยงก่อนถึงรอบที่ สี่แน่ๆ .
" หืม . . . . . . . . . . . . แต่ตอนนี้เขาได้ผ่านไป 11 รอบแล้วนะ " มู่หยู่เตี๋ยพูดออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ช่วยไม่ได้ที่นางจะเอาแต่จ้องไปที่ฉื่อหยานจากที่ไกลๆ นางเห็นเขานั่งอยู่กับที่เหมือนกับภูเขาที่มั่นคงสักพัก และจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเริ่มฝึกอีกครั้ง " พระเจ้า ! หรือว่าเขากำลังจะเริ่มฝึกอีกครั้งกัน ? "
" ว่าไงนะ ? มันยังขยับได้อีกรึ ? " ลั่วฮ่าว ตกตะลึงและแอบมองไปที่ ฉื่อหยาน เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า " บ้าเกินไปแล้ว ! เจ้านี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ นั่นมันเสี่ยงเกินไป ! ข้าเดาว่าพรุ้งนี้มันจะต้องขยับไม่ได้แน่นอน ! ด้วยการฝึกฝนที่หนักหน่วงเช่นนี้ มันจะต้องเผชิญกับร่างกายที่เจ็บปวด ข้าพนันได้เลยว่า พรุ้งนี้ พวกเราจะต้องเปลี่ยนแผนในการเดินทางอีกครั้งแน่ๆ "
" เอาหละๆ ช่างเถอะ …. เขานี่ช่างดื้อลั้นจริงเลยๆ ! " มู่หยู่เตี๋ยส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อย .
. . . . .
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ก็ปรากฏหมอกหนาขึ้นไปทั่ว
" เตี๋ยเอ๋อ ลงมาได้แล้ว เราไม่มีเวลาแล้วนะ . " ภายใต้ต้นไม้เก่าแก่ , เป็นลั่วฮ่าว ที่ตะโกนเรียกมู่หยู่เตี๋ยอย่างช้าๆ
" ข้าอยากนอนอีก " มู่หยู่เตี๋ญบ่นราวกับอยู่ในความฝัน " ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังหละ ไม่ใช่ว่าท่านบอกข้าว่าเขาจะไม่สามารถขยับได้ในวันนี้รึ . . . . . . . "
" ตอนนี้เขากำลังรอเจ้าอยู่ต่างหากหละ " ลั่วฮ่าว กล่าวเบาๆ พยายามที่จะควบคุมใบหน้าของเขาไม่ให้แปลกใจ
เมื่อสิบนาทีก่อน ฉื่อหยานได้เดินมาและขออาหารสำหรับคนสามคนไป
ต่อหน้าต่อต่า ฉื่อหยานสวาปามอาหารเหล่านั้นลงไปจนหมดและตบไปที่ท้องของตัวเอง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจและเขาก็พูดอย่างสบายๆ " ไปกันเถอะ " ลั่วฮ่าว ตกตะลึง เขาถลึงตามองไปที่ฉื่อหยานด้วยความตกใจ และบ่นกับตัวเองเบาๆ " เจ้านี่ตัวประหลาดของแท้ !!! ! "
" เขารอข้าอยู่งั้นรึ ! " มู่หยู่เตี๋ยพึมพำพร้อมกับขยี้ตาของเธออย่างเบาๆ
" ถูกต้อง และดูเหมือนว่าเขากำลังคึกครื้นมากกว่าคนอื่นเสียอีก " ลั่วฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น
" ท่านว่าอะไรนะ ? " มู่หยู่เตี๋ยก็ตกตะลึง เธอมองไปทางฉื่อหยานที่นั่งตัวตรงใต้ต้นไม้เหมือนกับลูกศร ด้วยดวงตาที่สดใสของนาง และอุทานออกมาเบาๆเช่นเดียวกับ ลั่วฮ่าว " เจ้าตัวประหลาด ! "
ฉื่อหยาน ก้มมองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ และมั่นใจว่าไม่มีอะไรแปลกๆ เขาขมวดคิ้ว " ลุงลั่ว แม่น่างมู่ ส่วนไหนของข้างั้นรึที่ดูประหลาด ? "
" ทุกส่วนของเจ้านั่นแหละ ! ฮ่าฮ่า" มู่หยู่เตี๋ย หัวเราะด้วยอารมณ์สนุกสนาน
การหัวเราะของเธอดูเหมือนจะนำมาซึ่งฤดูใบไม้ผลิ ทำให้เกิดฉากสวยงามขึ้นในป่าทมิฬที่ดูมืดสลัวแห่งนี้
จ้าวชินและหู้หยานก็ต่างก็มองไปที่นางด้วยสายตาที่หลงไหล แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่ากำลังทำผิด และพวกเขาก็ลดหัวลง ไม่กล้าจะมองไปที่มู่หยู่เตี๋ยตรงๆ
ฉื่อหยานคอดตาของเขาลงและดวงตาของเขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาเมื่อจ้องไปที่มู่หยู่เตี๋ย " แม่นางมู่ ข้านั้นเป็นคนประหลาดของแท้ และข้าจะลงมือกับเจ้าแน่นอน ดังนั้น โปรดระวังตัวไว้ให้ดี คืนนี้ข้าอาจจะไปหาเจ้า หึหึหึ เจ้าจะต้องตะโกนร้องออกมาว่า ข้ารักท่านเจ้าคนประหลาด ข้ารักท่านมากๆ ! แน่นอน "
" เจ้ากล้าดียังไง ! " ตี่ย่าหลาน พ้นลมหายใจออกมา .
" โอ้ ขออภัย ข้าลืมไปเลยว่ายังมีหญิงสาวที่น่ารักอยู่ตรงนี้อีกคน บางทีเจ้าอาจจะโกรธ เพราะข้าไม่สนใจเจ้า แต่เจ้าเชื่อข้าสิ ข้าจะไปสนุกกับเจ้าด้วยเช่นกัน อย่าได้น้อยใจเลยนะ " ฉื่อหยานแกล้งทำเป็นเหมือนพึ่งคิดได้และได้เอามือจับไปที่หัวของเขา
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า " มู่หยู่เตี๋ยเอามือกุมท้องและเธอก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เธอชี้ไปที่ฉื่อหยาน และหัวเราะคิกคัก " น่าขันนัก ! ทำไมเจ้าช่างตลกเช่นนี้ ! ฮ่าฮ่า . . . . . . ."
ตี่ย่าหลานตกใจแล้วหัวเราะด้วย เธอรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินฉื่อหยานพูดเช่นนั้น
จ้าวชิน และหู้หยาน ต่างก็ถูกครอบงำด้วยความสับสน ด้วยการแสดงออกของสองสาวที่มีต่อคนแปลกหน้าเช่นฉื่อหยาน
พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขานั้นมักจะทำตัวสุภาพกับหญิงสาวทั้งสอง และไม่เคยขัดใจพวกนางเลย แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ไม่แม้แต่จะยิ้มให้พวกเขา
และเหตุใด ฉื่อหยานที่แสดงกิริยามารยาทไม่เหมาะสมแถมพูดจาบัดซี ถึงทำให้หญิงสาวทั้งสองยิ้มได้ นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ?
" เห้ ! " ลั่วฮ่าว ชายตามองฉื่อหยานแปลกๆและยิ้ม " เราควรพอแค่นี้ แล้วออกเดินทางกันได้แล้ว ! "
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ