บทที่ 12 วิชาเร้นลับในแหวนสายโลหิต
ตั้งแต่บทนี้ไปจะเปลี่ยนชื่อตัวเอก เป็น ฉื่อหยาน นะครับ แล้วตระกูลพระเอกก็เป็น ตระกูลฉื่อ เนื่องจากมีคนแนะนำมา
บทที่ 12 วิชาเร้นลับในแหวนสายโลหิต
หลังจากที่ฉื่อหยานได้โคจรพลังปราณลึกลับที่อยู่นอกร่างกายของเขาให้กลับมา เขาก็มองไปที่แหวนสีโลหิตบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขา แหวนลึกลับนี้ เขาได้ตั้งชื่อมันว่า ' แหวนสายโลหิต ' แหวนสายโลหิตนั้นมาจากบ่อโลหิต และมันก็มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกัน
เมื่อเขานึกไปถึงตอนที่เขาสวมแหวนครั้งแรก ในตอนนั้นพลังปราณลึกลับในร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่มาก แต่หลังจากที่เขาได้สวมแหวน มันก็ได้โคจรไปยังแหวนอย่างบ้าครั้ง แต่ด้วยที่มันอ่อนแอเกินไป พลังปราณลึกลีบของเขาจึงไม่สามารถถ่ายทอดเข้าไปในแหวนผ่านผิวหนังของเขาได้
แต่ในตอนนี้เขาอยู่ใน นภาที่3 นั่นหมายความว่าพลังปราณลึกลับของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นและอยู่ในจุดที่เขาสามารถโคจรให้ออกไปนอกร่างกายได้
จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาโคจรพลังปราณลึกลับเข้าไปในแหวนอีกครั้ง
ฉื่อหยานสงสัยและเดาว่ามันต้องมีความลับบางอย่างอยู่ภายในแหวนโบราณนี้เป็นแน่ บางทีถ้าเขาได้ตรวจสอบแหวนวงนี้ดีๆ เขาอาจจะพบสาเหตุที่เส้นชีพจรของเขาเปลี่ยนไปก็เป็นได้
มองผ่านใบไม้ , ฉื่อหยานได้สังเกตุเห็น นักรบสามคนจากตระกูลโม่ อยู่ห่างออกไปจากเขา และดูเหมือนว่ามันจะยังไม่มาถึงเขาในเร็วๆนี้
ฉื่อหยานตัดสินใจที่จะทดลองโคจรมันไปที่แหวนอีกครั้ง !
ในตอนแรก , พลังปราณลึกลับของเขาได้โคจรช้าๆในตันเถียนของเขา จากนั้นมันก็โคจรอย่างรวดเร็วเข้าไปในแขนซ้าย เขาก็รู้สึกเจ็บชาในเส้นเลือดที่แขนข้างซ้ายของเขา พลังปราณลึกลับโคจรเข้าไปในแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาด้วยการควบคุมของเขา และผิวหนังใต้แหวนก็สั่นไปมา
และพลังปราณลึกลับก็รั่วไหลออกมารูปร่างเหมือนควันระหว่างแหวนและผิวหนังของเขา มันเกิดเป็นเสียงหม้อน้ำเดือดออกมา และพลังงานบริสุทธิ์ก็ได้พุ่งเข้าไปในแหวนทันที
แหวนสายโลหิตส่องแสงสีแดงเข้มออกมา เหมือนบางสิ่งที่ปกคลุมมันอยู่ได้ถูกฉีกขาด ในตอนนั้น พลังงานที่แปลกประหลาดก็ได้พุ่งออกมาจากแหวนสายโลหิต และมันก็ลอยกลับเข้าไปในแขนของฉื่อหยาน มันไหลขึ้นไปยังช่วงคอของเขาและในที่สุดมันก็เหมือนมีบางอย่างปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา
วิชาต่อสู้ : [ บ้าคลั่ง ]
พลังงานบางอย่างไหลออกมาจากแหวนสายโลหิตและมันก็ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขา [ บ้าคลั่ง ] มันเป็นวิชาที่แปลกประหลาด ขั้นตอนการฝึกฝนต่างๆปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา
วิชาการต่อสู้นั้นจะสอนถึงวิธีการควบคุมพลังปราณลึกลับแก่นักรบ และสอนถึงการใช้พลังปราณลึกลับในการโจมตี เช่นเดียวกับการจัดอันดับนักกลั่นสกัด มันถูกแบ่งออกเป็นห้าขั้น : มนุษย์ , ลึกซึ้ง , วิญญาณ , ศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้า
แต่ก็มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างการจัดระดับของวิชาการต่อสู้และนักกลั่นสกัด ทุกระดับของนักกลั่นสกัดประกอบด้วยเจ็ดระดับย่อย ในขณะที่วิชาการต่อสู้นั้นไม่มีระดับย่อย .
ด้วยวิชาการต่อสู้ระดับสูง จะทำให้เหล่านักรบสามารถใช้พลังปราณลึกลับออกมาได้ด้วยพลังที่มหาศาลและช่วยเพิ่มพลังในการจู่โจมเป็นอย่างมาก วิชาต่อสู้ในระดับสูงนั้น จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังปราณลึกลับของพวกเขา ถ้าเป็นนักรบที่ฝึกวิชาต่อสู้ระดับสูง พวกเขาย่อมต้องเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุด และก็วิชาต่อสู้ที่แข็งแกร่งนั้น มักจะมีผลข้างเคียงต่อตัวผู้ใช้เสมอ
โดยทั่วๆไป , นักรบในระดับเริ่มต้นและระดับก่อตั้งนั้น เหมาะที่จะฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่อยู่ในระดับมนุษย์
สำหรับระดับ หายนะ และ ระดับปฐพี เหมาะกับวิชาต่อสูระดับ ลึกซึ้ง
นักรบระดับรู้แจ้ง และ นักรบระดับนภา เหมาะกับวิชาต่อสู้ ระดับ วิญญาน (TL.ขอเปลี่ยนจากระดับ นิพพาน เป็นรู้แจ้งนะครับ)
นักรบระดับวิญญาณ เหมาะกับวิชาต่อสู้ระดับศักดิ์สิทธิ์
ส่วนนักรบในระดับ พระเจ้าและราชันย์พระเจ้า เหมาะกับวิชาต่อสู้ระดับ พระเจ้า
มันจะเป็นการเสียเวลาเปล่าถ้านักรบระดับต่ำพยายามที่จะฝึกวิชาต่อสู้ที่ระดับสูงกว่า
ถ้าระดับต่ำเกินไปและพลังปราณลึกลับไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกวิชาต่อสู้ระดับสูง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะฝึกสำเร็จ เขาก็ไม่สามารถใช้พลังของวิชาต่อสู้ระดับสูงได้อย่างชำนาญและเต็มประสิทธิภาพ นั่นเป็นเพราะระดับและพลังของพวกเขาจะไม่เพียงพอที่จะควบคุมมันได้ จะดีที่สุดถ้าพวกเขาฝึกวิชาต่อสู้ให้เหมาะสมกับระดับพลังของตัวเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้านักรบระดับ ก่อตั้ง ได้ครอบครองวิชาต่อสู้ระดับพระเจ้า มันจะเสียเวลาเปล่า เพราะเขาไม่สามารถฝึกฝันมันได้ในด้วยระดับพลังของเขาต่ำเกินไป
ในทางกลับกัน ถ้าเป็นนักรบระดับสูงได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ที่มีระดับต่ำกว่า ระดับมนุษย์และระดับลึกซึ้ง เขาจะไม่สามารถใช้พลังของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่
ถ้าเป็นนักรบระดับ พระเจ้า ใช้วิชาต่อสู้ในระดับที่ต่ำกว่าเช่น ระดับมนุษย์ และ ระดับลึกซึ้ง ความสามารถของเขาจะถูกจำกัด เพราะ ถ้าเกิดใช้วิชาต่อสู้ที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับพลังของเขา เขาจะสามารถใช้พลังของตัวเองได้เพียง 70% - 80% ของพลังทั้งหมดที่มี
ในแผ่นดินรุ่งเรือง ทักษะการต่อสู้นั้นหาได้ยากกว่าเม็ดยาของนักลั่นสกัดเสียอีก มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกแห่งนี้ โดยทั่วไป , วิชาต่อสู้ จะถูกครอบครองโดยตระกูลที่มีอำนาจและกองกำลังต่างๆ นั่นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักรบ เช่นนั้นพวกมันจึงต้องการที่จะเข้าร่วมกับตระกูลที่อำนาจ หากตระกูลเหล่านั้นยินดีต้อนรับมัน
นักรบที่มีพลังอยู่ในระดับสูงจะถูกดูแคลนอย่างรุนแรงหากมันไม่สามารถที่จะครอบครองวิชาการต่อสู้ในระดับเดียวกับพลังของมันได้ พวกมันจะเสียเปรียบและอาจจะถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดายในการต่อสู้
ดังนั้น เพื่อที่จะได้วิชาต่อสู้ที่เหมาะสมกับระดับพลังของตัวเอง พวกมันสามารถเสียสละได้ทุกอย่าง
ขณะที่กำลังนั่งอยู่ , ฉื่อหยาน เรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับ [ บ้าคลั่ง ] ในจิตใจเขาทีละน้อย หลังจากที่เขาค้นเข้าไปในเศษเสี้ยวความทรงจำ เขาพบว่า [ บ้าคลั่ง ] เป็นวิชาต่อสู้ที่มีด้วยกัน 3 ส่วน แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเขาในตอนนี้มันมีเพียงแค่ขั้นตอนการฝึกฝนในส่วนแรก เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าวิชาต่อสู้ [ บ้าคลั่ง ] เป็นวิชาในระดับใด หรือว่า [ บ้าคลั่ง ] จะเหมาะกับเขาหรือไม่
ขั้นตอนการฝึกวิชานี้ได้รั่วไหลออกมาจากแหวนสายโลหิตและวิ่งเข้าไปในจิตใจของเขาโดยตรง ในการฝึกฝนวิชาต่อสู้นี้ จะต้องโคจรพลังปราณลึกลับให้ไหลย้อนกลับ นี่เป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับวิชาต่อสู้อื่นทั้งหมด ฉื่อหยานจึงรู้สึกลังเล ที่จะฝึกทักษะที่ไม่สมบูรณ์นี่
หนึ่งในห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของสมาคมการค้า ตระกูลฉื่อมีวิชาต่อสู้ของตัวเอง ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงในระดับวิญญาน มันถือว่าเป็นมรดกของตระกูล ซึ่งถูกครอบครองโดยหัวหน้าตระกูลฉื่อ ฉื่อเจี้ยน . ตาแก่นี่เป็นคนที่มีพลังในการฝึกฝนเยอะที่สุดในตระกูล
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะครอบครองวิชาต่อสู้ระดับวิญญานแล้ว ตระกูลฉื่อยังครอบครองวิชาต่อสู้ระดับ มนุษย์ และ ลึกซึ้ง อีกมากมาย
ฉื่อหยานตัดสินใจที่จะกลับไปที่ตระกูลฉื่อและฝึกฝนวิชาต่อสู้ ระดับ มนุษย์ และระดับ ลึกซึ้ง ด้วยร่างกายใหม่ของเขา แต่ตอนนี้ แหวนสายโลหิตได้สร้างวิชาต่อสู้ลึกลับที่เขาไม่รู้จักขึ้นมา เขาสับสนโดยสิ้นเชิง เขาควรจะฝึกฝนมันหรือดีไม่ ?
ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฉื่อหยานพยายามปรับแต่งพลังปราณลึกลับของเขาและโคจรมันเข้าไปในแหวนสายโลหิตเพิ่มขึ้น เพียงเท่านั้นพลังปราณลึกลับของเขาก็ถูกปิดกั้นด้วยพลังบางอย่างบนแหวน ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน พลังปราณลึกลับของเขาไม่สามารถทะลวงพลังงานที่อยู่บนแหวนได้ เขาจึงสรุปว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังพลังที่ป้องกันแหวนนั่นอยู่ แต่เขาจะไม่มีทางรู้ได้จนกว่าเขาจะทำลายม่านพลังนั้นได้สำเร็จ
เบื้องหลังม่านพลังที่ป้องกันอยู่ อาจจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการฝึก [ บ้าคลั่ง ] ซึ่งเขาคิดว่ามันจะต้องมีวิธีการฝึกฝนในขั้นที่สองเป็นแน่ แต่น่าเศร้ายิ่งนัก , ถ้าพลังปราณลึกลับของเขาแข็งแกร่งกว่านี้บางทีเขาอาจจะสามารถทำลายม่านพลังนั้นก็เป็นได้ , ฉื่อหยานโคจรพลังปราณลึกลับของเขาให้กลับมา เขาเรียบเรียงชิ้นส่วนความจำของวิชาต่อสู้ไม่สมบูรณ์นี้อีกครั้ง และเขายังคนลังเล
ข้าจะฝึกมันดีหรือไม่ ?
ดวงตาของเขาส่องประกายผ่านใบไม้ แล้วสีหน้าของฉื่อหยานก็เปลี่ยนไป หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เขาจึงตัดสินใจที่จะอยากเห็น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาเมื่อเขาสำเร็จการฝึกฝนในระดับแรกของ [ บ้าคลั่ง ]
เขาโคจรพลังปราณลึกลับของเขาเข้าไปในเส้นชีพจรที่หัวไหล่ซ้ายช้าๆในทันที ด้วยขั้นตอนการฝึกขั้นแรกของ [ บ้าคลั่ง ] , ฉื่อหยานค่อยๆโคจรพลังปราณลึกลับของเขาเข้าไปในจุดตันเถียน . ในตอนนั้น มันเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว อารมณ์เชิงลบที่ฝังอยู่ในเส้นชีพจรหัวไหล่ซ้ายเช่นความเกลียดชัง ความสิ้นหวังและความบ้า ถูกกระตุ้นออกมา อย่างรุนแรง และ หลอดเลือด กระดูก เลือดและเนื้อ รอบๆจุดตันเถียนของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง
เลือดและเนื้อที่อยู่รอบๆจุดตันเถียน ก็เริ่มหดตัวลงและกล้ามเนื้อของเขาเริ่มอัดกันแน่นทันที
หลังจากที่คิดอย่างรวดเร็ว ฉื่อหยานเริ่มโคจรพลังปราณลึกลับของเขากลับมาอย่างไม่รอช้า อาการปวดที่ไม่สามารถจะทนได้ก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างกายของเขา และรู้สึกว่า ตัวเขาแทบจะฉีกขาด หลังจากที่ทนอยู่นาน ฉื่อหยานตัดสินใจบังคับพลังปราณลึกลับของเขา ให้โคจรผ่านจุดตันเถียน และวิ่งไปที่จุดชีพจรใต้รักแร้ของเขา ด้วยความบ้าคลั่ง
หลังจากที่มันอัดแน่นกันในจุดชีพจรใต้รักแร้ของเขาแล้ว พลังปราณลึกลับของเขาก็กลับมาหมุนเวียนเหมือนดั่งเดิม และทำให้อารมณ์เชิงลบเหล่านั้นไหลกลับเข้าไปซ่อนอีกครั้ง ความสิ้นหวังและความโกรธกลับเข้าไปซ่อนในชีพจรของเขาภายในลวดเดียว เลือดและเนื้อบริเวณนั้นเริ่มหดตัวอีกครั้ง ฉื่อหยานรู้สึกตกใจ มีหมอกสีเทาลอยออกมาจากแต่ละรูขุมขนบนไหล่ของเขา ซึ่งมันผสมไปด้วยความแค้นและความเกลียดชัง !
พลังปราณลึกลับของเขาโคจรกลับมาอีกครั้ง ฉื่อหยานรู้สึกปวดร้าวในแขนขวา ที่หน้าผากและหลังของเขาของเขาต่างก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เจ็บปวดยิ่งนัก !
เขากัดฟันทน ความบ้าคลั่งที่อยู่ในจิตใจของฉื่อหยานโพล่งออกมาทันที แม้จะมีความเจ็บปวดในแขนของเขา ฉื่อหยานก็ยังโคจรพลังปราณลึกลับอย่างต่อเนื่องกระตุ้นให้มันเข้าไปในเส้นชีพจรของสะโพกซ้าย . . . . . . .
หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านมาเท่าไหร่ ฉื่อหยานโคจรพลังปราณลึกลับของเขาตลอด จากเส้นชีพจรหัวไหล่ซ้ายไปยังเส้นชีพจรที่ข้อมือขวาของเขา ขณะที่เขาฝืนทนที่จะไม่อาเจียนออกมา พลังงานเชิงลบทุกอย่างในเส้นชีพจรแขนข้างขวาของเขาดูเหมือนจะถูกปลดปล่อยออกมาทันที
เมื่อตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ฉื่อหยานพบว่า กล้ามเนื้อบนแขนข้างขวาของเขาหดตัว และมันก็ดูผอมแห้งกว่าเดิม หมอกสีเทาสลัวขดตัวไปรอบๆแขนของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน มันนำพามาซึ่งอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น .
เพียงแค่มองมัน ใครสักคนก็อาจจะได้รับผลกระทบอย่างง่ายดายด้วยพลังของมัน มันเป็ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
พลังปราณลึกลับโคจรไปมาในแขนของเขา เป็นพลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งมันพุ่งพล่านอยู่ในแขนของเขาเหมือนมันกำลังจะระเบิดออกมา ซึ่งมันผสมรวมกับพลังงานเชิงลบ ฉื่อหยานรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลในแขนข้างขวาของเขา ราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมาในไม่กี่นาทีนี้
ในก้นบึ้งหัวใจของเขา ความดุร้ายและความปรารถนาที่จะฆ่าฟันก็ปรากฏออกมา
เขาหอบหายใจอย่างหนัก ในดวงตาของฉื่อหยานนั้นปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ที่บนต้นไม้ เขาเริ่มที่จะมองหาเป้าหมายเหมือนหมาป่าที่ดุร้าย เขาปรารถนาที่จะบดขยี้ทุกๆคนที่เขาพบเจอให้เป็นผุยผงด้วยแขนข้างขวาของเขา มันจะไม่เป็นที่พอใจ จนกว่าเขาจะทุบคนเหล่านั้นให้เละเป็นกลองโคลน
. . . . . . .
สักพักต่อมา ก็ปรากฏเงาสองร่าง พร้อมกับเสียงด่าที่ดังออกมา มันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ พวกมันทั้งสองเป็นนักรบของตระกูลโม่ หลังจากที่พวกมันได้ค้นหาในพื้นอื่นๆ แต่ก็ไม่เจอร่องรอยของฉื่อหยาน พวกมันถูกส่งมาโดยโม่หยานหยู เพื่อให้มาค้นหาในบริเวณนี้
" ไอ้บัดซบนั้นอยู่ไหน ? ข้าจะตัดหัวของมันทันทีถ้าหากมันปรากฏตัวต่อหน้าข้า! หึ ! นายหญิงของข้ากำลังรอข้าอยู่ในสมาคมการค้า ข้าต้องเสียเวลาเป็นอย่างมาก เพราะไอ้สารเลวนั่น ! บ้าเอ๊ย ! ! ! " นักรบร่างอ้วนตะโกนสาปแช่งอย่างชั่วร้าย ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยนวดเครา
" เจิ่นไท ระวัง ! ไอบัดซบนั่นมันฆ่าพวกเราไปสี่คน !มันเป็นหนึ่งในคนที่รับมือได้ยาก ขนาดมันกินยาพิษตัดลำไส้ไปสองชามขณะที่คนอื่นๆกินไปแค่ชามเดียว แต่มันกลับรอดจากยาพิษนั่นได้ แปลกยิ่งนัก ! อย่าได้ไปดูถูกมัน ! " นักรบอีกคนมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่ามันระมัดระวังตัวมากขึ้น
" อย่าได้กังวลไป เราทั้งคู่นั้นอยู่ในนภาที่ 2 ในระดับเริ่มต้น . และเราก็มีกันตั้งสองคน หากมันพยายามที่จะโจมตีเรานั่นเท่ากับว่ามันพยายามที่จะหาเรื่องตาย หึม ! รีบไปฆ่ามันแล้วออกจากที่นี่กันเถอะ ! ข้าเพียงพอแล้วกับที่บ้าๆแห่งนี้ .ข้าต้องการผู้หญิง ! ผู้หญิง ! " นักรบที่ชื่อ เจิ่นไทดูเหมือนจะหมกวุ่นเกินไปสำหรับเรื่องผู้หญิงเขาเริ่มตะโกนร้องเสียงดังในป่า
" แม่นางโม่ก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนินา . . . . . . . อื้อ เยี่ยม . . . . . . . " นักรบพูดพลางเริ่มจินตนาการอย่างเงียบๆ
" ดี ถึงแม่นางโม่เป็นผู้หญิง แต่เธอนั้นก็อยู่สูงกว่าพวกเราเกินไป ข้าสังเกตเห็นว่าอาจารย์ การู มองไปที่แม่นางโม่บ่อยครั้งเป็นอย่างมากในช่วงนี้ เขาช่างโชคดีนัก เขาสามารถมองไปที่แม่นางโม่ ทั้งใบหน้า และก้นของนางได้อย่างสบายใจ ดูไอ้ความโชคดีที่เขาได้จากเธอสิ ระดับของเราต่ำเกินไป ช่างไม่มีความหวังแม้แต่น้อยในชีวิตนี้ "
เจิ่นไทพูดด้วยเสียงกระซิบ และยิ้มอย่างชั่วร้ายบนใบหน้าของมัน ดูเหมือนมันจะจินตนาการอย่างสนุกสนาน มันยืดร่างกายของมันและหัวเราะเสียงดัง
" เลิกฝันกลางวันได้แล้ว ! แม่นางโม่นั้นหมั้นหมายแล้ว กับหลิงเชาเฟิงเขาเป็นคนขี้เหนียวมาก ถ้าเขารู้ว่าเจ้าจินตนาการเกี่ยวกับนาง เจ้าตายแน่ ! "
เมื่อได้ยินชื่อ หลิงเชาเฟิง เจิ่นไทดูตกใจอย่างมาก เขาพูดว่า " เจ้าเด็กนั้นช่างประหลาดนัก ! ข้าได้ยินมาว่าเขาเกือบจะทะลวงถึงระดับ มนุษย์แล้ว ข้าได้เคยเห็นวิธีการฆ่าของเขามาแล้ว เขาช่างเป็นคนที่โหดร้ายยิ่งนัก ! แม้แต่อาจารย์การูก็ไม่สามารถรอดได้หากเขาทำให้หลิงเชาเฟิงโกรธกริ้ว . เอาจริงๆ เราต้องระวัง อย่าให้เขาได้ยินสิ่งที่เราพูด . . . . . . . "
เจิ่นไท ตัวสั่น เห็นได้ชัดว่ามันกำลังกลัวคู่หมั้นของโม่หยานหยู หลิงเชาเฟิง .
พวกมันทั้งสองพูดถึงหลิงเชาเฟิง ด้วยใบหน้าที่เคร่งขึม ขณะที่พวกมันเดินตรงไปทางฉื่อหยาน โดยไม่รู้ว่าฉื่อหยานได้อยู่บนหัวของพวกมันโดยมีใบไม้หนาปกปิดอยู่ ดั่งสัตว์ร้ายกระหายเลือด
––––––––––––––––––––––––
ห่างหายไปนานในการลงเว็ปนี้ ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1183 แล้วนะคะ หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่ กดตรงนี้ >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ