GE263 เข้าพบสนมอสูร [ฟรี]
บุรุษและสตรีนั้นต่างกัน หากสตรีเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า พวกนางจะหาที่พักพิง แต่หากเป็นบุรุษ จะปิดบังความรู้สึกเหล่านั้นไว้ ฝังลึกลงไปในหัวใจ และก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจ มีเพียงต้องก้าวผ่านไปให้ได้ ต้องก้าวผ่านด้วยตนเอง
ยามนี้จิตใจของหนิงฝานอ่อนล้าอย่างที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขากำลังจะถึงขอบเขตตัดวิญญาณ หากศัตรูสัมผัสได้ถึงจุดอ่อนนี้ เขาจะทำให้พวกมันมุ่งเน้นจู่โจม และสุดท้าย จิตใจของเขาก็คงพังทะลายไป
แต่นั่นก็แค่จิตใจที่ผันผวน แม้จะหนักหนาแต่ไม่อาจเปลี่ยนเจตจำนงค์อันแน่วแน่ของเขาได้
แม้หิมะและสายลมในยามนี้ จะทำให้หวนนึกถึงเมืองฉีเหม่ย แต่สิ่งที่เขาแบกรับ ยากจะทำให้เขากลับไปหามันอีกครั้ง
“แม้ข้าจะคิดถึงเมืองฉีเหม่ย แต่ข้าไม่อาจกลับไปที่นั่นได้อีก...”
แววตาเศร้าหมองค่อยๆจางไป แววตาเปล่งประกายราวกับดาราแทนที่ จิตใจที่อ่อนล้าถูกขจัด มุ่งสู่ขอบเขตตัดวิญญาณอีกไม่ไกล
สองเท้าเหยียบย่างบนผืนหิมะ สายลมเย็นต้องสัมผัสกาย ทุกก้าวที่ผันผ่านคือการปล่อยวางเรื่องอดีต
ก้าวย่างหนักแน่น จิตใจแน่วแน่ไม่สั่นคลอน
จากมนุษย์สู่ดวงจิตแรกเริ่ม ทุกอย่างก้าวทำให้จิตใจเข้มแข็ง
จากดวงจิตแรกเริ่มสู่ตัดวิญญาณ จิตใจจะแปรเปลี่ยน
เพราะการเปลี่ยนถ่ายขอบเขตครั้งนี้ เป็นเหมือนการถือกำเนิดใหม่!
สตรีผู้งดงามที่เดินตามหนิงฝานยามนี้ จ้องมองแผ่นหลังเล็กบาง แต่จิตใจกลับสั่นสะท้าน
นางสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ และแรงกดดันของหนิงฝาน
“ลู่เป่ย… ไม่สิ หนิงฝาน… อีกไม่นานเขาจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ… ท่านพี่เคยกล่าวไว้ หากผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดกำลังจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ จิตใจของพวกเขาจะเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของการที่มนุษย์ จะเหยียบย่างเข้าดินแดนแห่งทวยเทพ...”
นางหวนนึกถึงวันวาน เมื่อตอนนั้น หนิงฝานยังเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น แต่เพียงช่วงเวลาสั้นเพียงครึ่งปี เขากลับก้าวเท้าเข้าใกล้ขอบเขตตัดวิญญาณ
“หนิงฝาน… เจ้าช่างเป็นบุรุษที่โด่ดเด่น จนข้าไม่กล้าหยัดยืนข้างกายเจ้า...”
“เด็กโง่...อะไรพูดเพ้อเจ้อ!” หนิงฝานจูบหน้าผากของนางเบาๆ นางหน้าแดง ใบหน้าที่เศร้าหมองปรากฏรอยยิ้ม
ตำหนักเจ้าเมือง… วังล้อมสวรรค์...
เมื่อหนิงฝานและว่านเอ๋อร์ไปถึงที่นั่น ทั้งสองก็ตรงเข้าสู่วังส่วนใน
ภายในนั้นมีลู่ตู้เฉิน ด้านหลังชายชรามีรูปภาพ
ในรูปนั้นมีบุรุษวัยกลางคน มีศีรษะเป็นพยัคฆ์ สวมเกราะทองคำ แววตาดุดัน
ถัดไปไม่ไกลมีรถเพลิงทองคำกับผู้ที่ทำหน้าที่ลากรถ มันคือสัตว์อสูร 9 หัว ในร่างผสมด้วยอสูรหลายสายพันธุ์อย่าง วิหค มังกร สัตว์อสูรเมฆา งู และพยัคฆ์
รอบๆรถเพลิงทองคำเต็มไปด้วยปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์
หนิงฝานจ้องมองรถเพลิงทองคำพลางขบคิด
หากเขาจำไม่ผิด ลู่ตู้เฉินคือผู้ที่มอบรถเพลองทองคำให้ตน แต่รถเพลิงจะดูคล้ายกัน แต่พวกมันก็แตกต่างด้วยอักษรอสูรที่สลักลงไป
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว...”
น้ำเสียของชายชราดูเศร้าหมอง แต่เมื่อหันมาเห็นว่านเอ๋อร์และหนิงฝาน แววตาของชายชรากลับแปรเปลี่ยนประหลาดใจ
“สุดยอด… สุดยอดจริงๆ! แรงกดดันของเจ้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อีกไม่นานเจ้าจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณแล้ว หากได้เข้าสู่สระมังกร 100 ปี เจ้าต้องทะลวงขอบเขตได้แน่! ข้าเองก็มีโอสถช่วยไม่น้อย แบบนั้นเจ้ายิ่งจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นหลายเท่า หากเจ้าบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณและปลุกโลหิตครั้งที่ 3 ปราณอสูรของเจ้าจะเพิ่มพูนไปมาก อย่างน้อยๆก็เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ใน 10 ส่วน ยิ่งให้ข้าชี้แนะเจ้าไปตาม ‘วิถีทางแห่งวังดารา’ ได้ครอบครอง ‘ดาราแห่งจักรพรรดิ’ เจ้าก็จะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางได้ไม่ยาก...”
แววตาชายชราเปล่งประกายด้วยความดีใจ ชายชราหวังดีต่อหนิงฝานและอยากช่วยจากใจ
จากที่ชายชรากล่าวเมื่อครู่ ดูเหมือนจะมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาอยู่หลายสิ่ง นั่นคือ สระมังกร โอสถ วิถีแห่งวังดารา และดาราแห่งจักรพรรดิ...
ชายชรากล่าวเพื่อโน้มน้าวให้หนิงฝานสนใจ ก่อนจะนำไปสู่เรื่องราวของแผนที่ที่ชายชรากำลังจะพูดถึง
แต่หนิงฝานยิ้มเล็กน้อย เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องแผนที่ตอนนี้ โดยการชี้ไปยังรูปภาพที่อยู่ไม่ไกล
"ถ้าข้าเดาไม่ผิด ภาพตรงนั้นสมควรเป็นภาพเซียน แล้วคนที่ยืนอยู่บนรถเพลิงทองคำสมควรเป็นลู่หวู่ ผู้ที่หลับไหลอยู่ในแดนสาม!"
รูปภาพที่เห็นบอกเล่าเรื่องราว ผู้ที่บรรลุขอบเขตสูงส่ง ก็ยิ่งไล่ตามความยิ่งใหญ่ แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งโดดเดี่ยว
แต่รูปภาพนั้นยังไม่ใช่ขอบเขตสูงสุดที่หลายคนใฝ่ฝัน ยังมีขอบเขตที่เหนือกว่านั้นยิ่งๆขึ้นไป
แม้ภาพที่เห็นจะเป็นเพียงภาพวาด แต่มันก็ให้ความรู้สึกราวกับมันเคลื่อนไหวได้ ราวกับมันมีชีวิตอยู่จริงๆ
ขอบเขตในโลกมนุษย์สูงสุดคือไร้แบ่งแยก เหนือยิ่งไปกว่านั้นคือ 'เซียน'
ผู้ที่วาดภาพและให้ความรู้สึกราวกับมีชีวิตจริงๆได้นั้น มีเพียงเซียนที่ทำได้
ภาพที่เห็นนั้นเก่าแก่โบราณมากจนมันสูญสิ้นปราณหล่อเลี้ยง ไม่อย่างนั้น เพียงคิดคล้อยตาม แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกก็อาจต้องมนต์ ภาพที่ไม่ธรรมดานี้เทียบชั้นได้กับสมบัติเซียน
หนิงฝานขมวดคิ้ว วิธีการวาดรูปนี้แปลกมาก หากดูผิวเผินจะเหมือนกับเป็นเพียงภาพวาดทั่วไป แต่หากสัมผัสได้จะรู้สึกราวกับว่าภาพนั้นแฝงด้วยวิชาเซียนที่ทำให้ความว่างเปล่ากลายเป็นความจริง
หากทำความเข้าใจภาพนั้นได้ ย่อมเป็นประโยชน์ในการทะลวงขอบเขตไร้แบ่งแยกและไร้ดัดแปลง
หนิงฝานจ้องมองบุรุษผู้ที่ยืนอยู่บนรถเพลิงทองคำ คนผู้นั้นแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลัง ดูยิ่งใหญ่องอาจ
“ภาพวาดน่าหลงไหลสิท่า...” ว่านเอ๋อร์บุ้ยปากพลางกล่าว นางรู้สึกว่าหนิงฝานดูน่าสนใจมากขึ้น เพราะนอกจากเขาจะทรงพลังแล้ว ยังมีความรู้เรื่องภาพวาดไม่น้อย สำหรับนาง นางมองเห็นเป็นแค่ภาพธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ
ลู่ตู้เฉินตกตะลึง นอกจากจิตใจของหนิงฝานจะยกระดับจนเกือบบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ แต่การมองเห็นสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ภาพ ทำให้ชายชราตกตะลึงยิ่งกว่า
ในอดีต ไม่มีนายกองอสูรคนใดที่มองความพิเศษของภาพออก หากชายชราไม่ทราบมาจากผู้เป็นนาย ถึงความพิเศษของภาพนี้ ชายชราก็คงไม่รู้เหมือนกัน
หนิงฝานผู้นี้นอกจากจะแข็งแกร่งทรงพลัง แต่ยังมีสายตาที่ลึกล้ำ และสมองที่ชาญฉลาด
“สายตาของเจ้าช่างเฉียบคมจนข้ารู้สึกอาย… ข้าจะบอกความจริงเจ้า ภาพใบนี้คือสิ่งที่นายท่านได้มอบให้ข้าเป็นของขวัญ เป็นภาพที่วาดขึ้นโดยเซียนผู้หนึ่ง หากเจ้าร่วมมือกับข้า ข้าจะมอบภาพใบนี้ให้เจ้าเป็นของขวัญ ในเมื่อเจ้ามองความพิเศษของภาพแผ่นนี้ออก การมอบให้เจ้าถือว่าเป็นประโยชน์มากกว่า”
“ข้าย่อมไม่ปฏิเสธท่าน...”
แม้ใบหน้าหนิงฝานจะดูเรียบเฉย แต่ในใจกลับตกตะลึง เพราะของขวัญที่ลู่หวู่มอบให้ ชายชรากลับจะมอบให้เขา
จากคำกล่าวของชายชรา ดูเหมือนลู่หวู่ไม่ได้หลับไหล แต่ตายไปแล้ว...
แม้ทั้งสองจะพูดคุยถูกคอ แต่ว่านเอ๋อร์ที่เฝ้ามองกลับรู้สึกอึดอัด
“ลู่เป่ย! อาจารย์! ที่นี่ไม่มีใครอยู่ ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าเรื่องสักที!”
“ฮ่าฮ่า นั่นสิ… งั้นข้าเข้าเรื่องก็แล้วกัน… ลู่เป่ย ข้าอยากถามว่าเจ้าต้องการแผนที่ไปทำไม… เจ้าคิดจะเข้าแดนสาม สังหารท่านลู่หวู่ และดูดซับโลหิตของท่านเพื่อยกระดับปราณอสูรใช่หรือเปล่า?”
“ใช่” หนิงฝานไม่ปิดบัง
“สหายน้อย… หากนายท่านยังมีชีวิตอยู่ แล้วเจ้ายังยืนยันคำนี้ ข้าในฐานะองครักษ์คงไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้… แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลที่จะสู้กับเจ้าอีกต่อไปแล้ว เมื่อหลายปีก่อนเราได้ปลุกนายท่านขึ้น แต่สุดท้ายท่านก็ตาย โลหิตของท่านก็ไม่เหลือ”
แม้การที่อสูรหลับไหลจนทำให้มันคงอยู่ได้นิจนิรันดร์ แต่เมื่อถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ก็ยากจะสภาพความเป็นนิรันดร์
ชายชราไม่รู้ว่าการที่อสูรหลับไหลมาเป็นเวลานานนั้น หากถูกปลุกจะมีโอกาสตายสูง
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องการตายของลู่หวู่ยังคงไม่มีผู้ใดทราบ
“อสูรในแดนที่ 3 ตายแล้วเหรอ?”
ว่านเอ๋อร์ป้องปากด้วยความตกตะลึง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงเกิดการเปลี่ยนในแดนสองใหญ่หลวง
“ข้าไม่รู้ว่าที่ท่านพูดจริงหรือเปล่า... แต่หากท่านกล่าวถึงขนาดนั้น ต่อให้ข้าเข้าไปในแดนสามได้ก็คงไม่มีประโยชน์… เช่นนั้นข้าขอถาม ท่านมีเหตุผลอะไรที่อยากจะเข้าไปในแดนสาม!?”
หนิงฝานขมวดคิ้ว เขาอยากรู้เป้าหมายที่แท้จริงของชายชรา
เขาไม่เข้าใจชายชรา ไม่รู้ว่าชายชรากำลังคิดอะไร แต่อย่างน้อย เขาก็รู้ว่าในแดนสามคงมีบางอย่างที่ชายชราต้องการ
“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก… ข้าแค่อยากตอบแทนท่าน นำจิตวิญญาณของท่านออกมาจากที่นั่น... เมื่อ 1000 ปีที่แล้ว ข้าได้ปลุกท่านขึ้นมา นี่ก็ผ่านมา 1000 ปีแล้ว ข้าได้ลองทำนายโชคชะตาและบันทึกเอาไว้ในแผ่นหยกนี้ เจ้าลองไปดูเองก็แล้วกัน”
หนิงฝานรับแผ่นหยกมาจากชายชรา แนบมันที่หน้าผากก่อนจะได้เห็นภาพของแผนที่ขนาดใหญ่!
แผนที่นั่นคือแดนสาม
ในนั้นมีตำแหน่งที่ลู่หวู่หลับไหลอยู่ บริเวณนั้นเชื่อมต่อกับมิติ มีลักษณะเป็นวงกต
วงกตแห่งนั้นลู่ตู้เฉินเป็นคนบันทึกตำแหน่งไว้ มันคือ ‘วังดารา’
ภายในวงกตมีความสัมพันธ์กับดารา เรียกเส้นทางเหล่านั้นว่าวิถีแห่งวังดารา
หนิงฝานคิดว่าเป้าหมายของชายชราน่าจะอยู่บริเวณวังดารา
“ภาพที่เห็นมันหมายความว่ายังไง...” หนิงฝานขบคิด สภาพแวดล้อมของแดนสามแตกต่างจากแดนสองโดยสิ้นเชิง
หนิงฝานสัมผัสได้ถึงอันตรายจากภาพ โดยเฉพาะจุดที่เป็นวัง
“นำดวงจิตกลับมาให้ได้ หากทำได้ ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไรข้าก็จะมอบให้”
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในอดีต… นายท่านเคยบัญชาพวกเรา 9 เผ่า และมอบรถเพลิงทองคำไว้ให้เป็นของขวัญ แต่หลังจากนั้น ลานสวรรค์โบราณกลับพังทะลาย พวกข้าถูกลบความทรงจำและทำให้หลับไหล… ข้าคิดว่า เหตุการณ์ทั้งหมดน่าจะเกี่ยวข้องกับดาราจักรพรรดิ แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้รายละเอียด… ข้าขอถามเข้า เจ้าจะเข้าสู่แดนสามแล้วนำดวงจิตของท่านลู่หวู่ออกมาได้หรือเปล่า? หากทำได้ ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม แม้เจ้าต้องการโลหิตของข้า ข้าก็จะมอบให้ไม่ลังเล”
“ถึงแม้ท่านลู่จะตาย แต่ข้าเชื่อว่าดวงจิตของท่านยังอยู่ที่ไหนสักแห่งในวังดารา… จุดสีแดงที่ข้าบันทึกไว้ เป็นตำแหน่งใจกลางของวัง เผ่าพันธุ์อสูรไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้ แต่เจ้าเป็นมนุษย์ ยิ่งเจ้าปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิได้ ยิ่งน่าจะช่วยให้เข้าไปที่นั่นง่ายขึ้น”
“หากเจ้ายอมช่วยข้า สิ่งที่เจ้าจะได้รับ จะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่ง อย่างน้อยๆ เจ้าจะกลับออกจากที่นี่ด้วยพลังในระดับขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง… หากเจ้าไม่ได้พบข้า ต่อให้เจ้าได้แผนที่เข้าสู่แดน 3 มา เจ้าก็อาจไม่ได้สิ่งใด… ดาราแห่งจักรพรรดนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า และข้าก็เป็นเพียงผู้เดียวที่ได้กุญแจเข้าสู่วังดารา… หากเป็นคนทั่วไป การจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี แต่เจ้าจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางได้ในเวลาไม่นาน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ชายชรากล่าวด้วยแววตาอ้อนวอน
ชายชราอยากจะช่วยเหลือผู้เป็นนาย แต่ถึงอย่างนั้น ชายชราก็ไม่อาจช่วยได้
แต่ในวันนี้โอกาสที่หายากได้มาถึง หากหนิงฝานไม่ช่วย คงหาโอกาสช่วยเหลือดวงจิตลู่หวู่ได้ยาก
ว่านเอ๋อร์ก็มองหนิงฝานด้วยแววตาอ้อนวอน นางช่วยผู้เป็นอาจารย์ร้องขอ
หนิงฝานไม่ได้สนใจรางวัลใดเป็นพิเศษ เขาสนใจเพียงสิ่งเดียวคือดาราแห่งจักรพรรดิ และการบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง… แม้เป้าหมายที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะดูดซับโลหิตของอสูรไร้ดัดแปลง แต่เมื่ออสูรตนนั้นตายแล้ว โลหิตไม่เหลือแล้ว ดาราแห่งจักรพรรดิยังคงทดแทนได้
แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานเชื่อคำกล่าวของชายชราเพียง 7 ส่วน อีก 3 ส่วนไม่เชื่อ
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตนเองจะระมัดระวังตัวไว้
“ข้าขอเวลาตัดสินใจ 3 วัน”
ชายชราถอนหายใจ หนิงฝานระมัดระวังตัวมาก ในช่วง 3 วัน หนิงฝานคงออกสืบหาข้อมูลต่างๆเพื่อประกอบการตัดสินใจ
บางที หนิงฝานอาจเข้าพบสนมอสูรด้วยก็เป็นได้...
“ก็ได้… ข้าจะรอฟังคำตอบเจ้าในอีก 3 วันให้หลัง ถึงเจ้าไม่ช่วยข้า แต่เจ้าก็ยังเป็นนายกองคนที่ 8 ของเผ่า สามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งได้เต็มที่ จะเข้าไปฝึกฝนในสระมังกร หรือปลุกโลหิตก็ได้... ส่วนแผนที่กับกุญแจเข้าวังดารา ข้าจะมอบให้หากเจ้าตัดสินใจช่วยเหลือข้า...”
“ตกลงตามนั้น”
เรื่องสำคัญแบบนี้ หนิงฝานไม่อาจตัดสินใจได้ทันที เขาต้องรอบคอบให้มาก
เขามีเวลา 3 วัน มีวิชาคารมที่จะสามารถล้วงความลับที่เกี่ยวข้องกับแดนสามจากสนมอสูรได้
เผ่าเพลิง…
หวางเซี่ยวจ้องมองแผ่นหยกแห่งชีวิตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ สีหน้ามืดมนน่าหวาดกลัว
จินฉวนและลี่ป่านตาย!
มันรอให้ลู่เจี่ยเฟินกลับมาเพื่อสอบถามรายละเอียด แต่จนผ่านไป 10 วัน ลู่เจี่ยเฟินก็ยังไม่กลับมา
แต่ถึงมันไม่กลับมา มันได้ใช้วิชาลับ บอกกล่าวผ่านกระบี่บินกลับมายังเผ่าเพื่อแจ้งข่าว
“ท่านหวางเซี่ยว ลี่ป่านและจินฉวนถูกลู่เป่ยสังหาร แม้สถานะการณ์จะไม่เป็นตามที่ตั้งใจ แต่ข้าได้รู้ความลับมาว่า เกิดบางสิ่งขึ้นในแดนสาม แต่ด้วยยามนี้มีสนมอสูรคอยช่วยเหลือเผ่าลั่วหยุน ข้าจึงไม่อาจทำอะไรได้… ข้าอยากขอให้ท่านช่วยเปิดประตูมิติ เรียกผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังจากแดนสวรรค์มาช่วย!”
เมื่อได้ฟังคำกล่าว หวางเซี่ยวโกรธแค้นเป็นอย่างมาก มันบดขยี้กระบี่บินจนแหลก
ลู่เป่ยสังหารพวกมันไปสองคน ทั้งการประลองยังทำให้สนมอสูรเคลื่อนไหว
“ตำหนักราชาอสูรคิดจะแย่งชิงดาราแห่งจักรพรรดิกับข้า... คงไม่มีทางเลือกนอกจากเรียกกำลังเสริมมาช่วย แต่การจะเปิดประตูมิติได้นั้น ต้องใช้โลหิตอสูรแสนตัวบูชายัญ… ครั้งนี้คงต้องเรียกองค์ชายอสูรมา”
เมืองลั่วหยุน...เรือนม่านพิรุณ
สนมอสูรกำลังขับกล่อมบทเพลงด้วยขิม
แต่เมื่อมีผู้รับใช้ากระซิบแจ้งข่าว นางกลับสั่นสะท้าน
“ว่าไงนะ! ตำหนักราชาอสูรจะส่งสนมอสูรจื่อมาที่นี่! ไม่ดีแน่ นางเป็นคนเอาแต่ใจ ทำอะไรวู่วาม หากเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ ข้าจะอธิบายกับตำหนักราชาอสูรยังไง?”
สนมอสูรขมวดคิ้ว หากสนมอสูรจื่อมา เรื่องราวคงยุ่งยากวุ่นวาย
แดนสองแห่งนี้ต้องปั่นป่วนแน่
ดาราแห่งจักรพรรดินั้นล้ำค่า หากผู้ใดได้ครอง จะทำให้ได้พลัง 9 ส่วนของเจ้าของดาราจักรพรรดิ แต่ด้วยยามนี้เวลาผันผ่านไปแสนนาน พลังที่อัดแน่นอยู่ภายในคงสูญสลายไปไม่น้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ประโยชน์อีกอย่างของมันคือ มันเกี่ยวข้องกับลานสวรรค์โบราณ...
ในขณะที่สนมอสูรขบคิดอยู่นั้น คนรับใช้ก็เข้ามารายงาน
“มีอะไร!”
“รายงานนายหญิง นายกองลู่มารอพบท่าน และอยากพูดคุยกับท่านเพียงลำพัง”
“ลู่เป่ยหน่ะเหรอ? พูดคุยลำพัง? เขาอยากจะถามอะไรจากข้ากันแน่?”
นางยังคงลังเลไม่ตัดสินใจ
การที่นางเป็นสนมอสูร แม้ร่างกายจะยังคงพรหมจรรย์ยามนี้ แต่หากนางถูกเรียกตัวปรนนิบัติก็ไม่อาจขัดขืน หากจะกล่าวง่ายๆแล้ว สนมอสูรเปรียบเหมือนกระถางขัดเกลาชั้นสูง ด้วยสถานะของนางแล้ว การจะพบบุรุษผู้ใดเพียงลำพังย่อมเป็นเรื่องไม่ควร
“ช่างเถอะ… ปฏิเสธเขาไป” นางถอนหายใจ
วันแรกหนิงฝานถูกปฏิเสธ
วันที่สองเขาก็มาขอพบนางอีกครั้ง และก็ถูกปฏิเสธไป
ในวันที่ 3 หนิงฝานเลือกที่จะเข้าไปยังหอคอยที่นางอาศัยอยู่ด้วยตัวเอง
หนิงฝานรู้ว่านางต้องปฏิเสธอีก จึงต้องเข้าไปเองตามอำเภอใจ
“เขาถึงกับตรงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ถึงจะดูหยาบคาย แต่ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากข้า ถ้าอยากเรียนอักษรอสูรก็ไปหาลู่ตู้เฉินได้...”
“แต่การที่ให้มนุษย์ได้ล่วงรู้ถึงอักษรอสูรถือเป็นเรื่องต้องห้าม… ที่เมืองรอบนอกมีตำราอักษรอสูร แต่ภายในเมืองหลวงมีจารึกอสูร หากเขาได้ศึกษาไป บางทีเผ่าอสูรของข้าอาจมีภัย… ลู่ตู้เฉินรู้ว่าเขาไม่ใช่อสูร แต่ทำไมถึงได้ปล่อยเขาขนาดนั้น?”
แววตานางแปรเปลี่ยนเย็นชา นางต้องพบหนิงฝานให้ได้
นางอยากรู้ว่าเขามีเจตนาอะไรถึงได้อยากพบตน
นางเป็นผู้ที่ยึดติดเรื่องเผ่าพันธุ์อสูรและไม่ยอมรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ จึงปิดตนไม่ให้พบมนุษย์
“ช่างเถอะ ที่นี่มีคนอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียชื่อเสียง… เด็กนั่นมีจุดหมายอะไรกันแน่? ไม่ว่ายังไงก็จะให้สนมอสูรจื่อพบเขาไม่ได้ ไม่งั้นคงเกิดเรื่องวุ่นวาย”
เมื่อหนิงฝานมาถึงหอคอยที่นางอยู่ จู่ๆเขาก็จามราวกับมีคนกำลังนินทาตน
ในขณะนั้นเอง เขารู้สึกราวกับว่า อีกไม่นานตนจะได้กระถางขัดเกลาตัดวิญญาณมาเพิ่ม...