ตอนที่ 7 พลังหมัด
ตอนที่ 7 พลังหมัด
“เอาจริงเหรอเนี่ย”หลี่ฉีกำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันพูดที๋เจียงตงก็หันไปทันที
ถ้าได้คนมีพลังเพียวอยู่ที่10มาเข้าร่วมทีม มันก็คงจะดีไม่น้อยแหล่ะ หลี่ฉีรู้สึกว่าโจวเหวินนั้นพิสูจน์ตัวเองมามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทดสอบต่อแล้วด้วย ถ้าไปต่อมันจะเป็นการหักหน้ากันเปล่าๆ
ที๋เจียงตงตอนนี้ต้องใช้หมัดกระเบนอสนีบาตเพื่อเอาชนะโจวเหวินเท่านั้น ถ้าโจวเหวินแพ้แล้วไม่ได้เข้าทีมจริงๆละก็ พวกเขาคงเสียดายแย่เลย
พอเห็นที๋เจียงตงเดินตรงไปที่เครื่องแล้ว หลี่ฉีเลยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ถูกฟางหลัวซีขัดไว้
"มันจะดีจริงๆเหรอ?”หลี่ฉีพูดกับฟางหลัวซี
“ไม่เป็นไรหรอก หมอนั้นยอมรับโจวเหวินไปแล้วละ เขาแค่ไม่อยากแพ้เฉยๆหน่ะ”ฟางหลัวซือพูด
“ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ซินะ”หลี่ฉีแอบยิ้มทันทีที่รู้แบบนั้น แล้วมองที๋เจียงตงทำการทดสอบพลังรอบ2
ที๋เจียงตงนั้นดูเย่อหยิ่งมาก เขายืนต่อหน้าแท่นรับแรง แล้วค่อยๆง้างหมัดของเขาขึ้น กระแสไฟฟ้าเริ่มไหลเวียนไปทั่ว แล้วกระจุกตัวเข้าที่มือของเขาจนทำให้มือของเขาเป็นสีน้ำเงินเหมือนสายฟ้าฟาด
ตู๊ม!!
หมัดที่รุนแรงนั้นกระแทกเข้ากับแผ่นรับแรกทันที แผ่นรับแรงนั้นยุบตัวเข้าไปและตัวเลขของค่าพลังนั้นขึ้นโชว์บนหน้าจอทันที เป็นเลข11
“เป็นไงละ?”ที๋เจียงตงปาดเหงื่อเย็นๆบนหน้า เขารู้สึกเหมือนพลังงานหายไปจากร่างอย่างรวดเร็ว
เดิมทีค่าพลังของเขาอยู่ที่7 หมัดกระเบนอสนีบาตของสามารถเพิ่มพลังดังเดิมของเขาขึ้นมาประมาณครึ่งนึง แต่มันก็ไม่เสถียรมากนัก บางทีก็ต่อยได้10 บางทีก็ต่อยได้11 วันนี้โชคดีที่ฟอร์มดีหน่อย เขาเลยยังมีโอกาสชนะอยู่
“เก่งงจ้า”โจวเหวินถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะก็จริง แต่เขาอ่านสีหน้าคนและความรู้สึกคนได้แย่มาก เขาไม่สังเกตุอารมณ์ของที๋เจียงตงเลยแม้แต่น้อย เขาแค่คิดแค่ว่า ถ้าเขาไม่ชนะ เขาก็ไม่ได้เข้าทีม เพราะงั้นเขาเลยต้องไปที่เครื่องวัดพลังอีกรอบ
แต่ถึงอย่างนั้นรอบนี้โจวเหวินก็ยังไม่ต่อยเครื่องนั้นทันที แต่ค่อยๆมองดูเครื่องวัดพลังดูอย่างรอบคอบ
“เป็นอะไรไปละ? โถ่ว ไม่เป็นไรหรอกหน่า ถ้าทำไม่ได้ก็บอกมาตรงๆ แพ้ให้กับฉันมันก็ไม่ได้น่าอายหรอกนะ”ที๋เจียงตงเห็นโจวเหวินต่อยช้าไม่ออกหมัดซักที เขาเลยคิดว่าโจวเหวินกังวลว่าตัวเองจะแพ้
โจวเหวินมองดูไปที่เครื่องวัดพลังแล้วพูดออกมา “ถ้าไอ้เครื่องนี้เจ๊ง ทางโรงเรียนจะไม่มาเก็บเงินกับฉันใช่ไหม?”
ที๋เจียงตงฟังคำพูดของโจวเหวินแล้วก็หัวเราะออกมาดังๆ “5555 ถามจริงงง คิดว่าใหญ่มาจากไหนวะ นี้มันเครื่องวัดพลังนะ มันใช้วัดพลังของคน ถึงแม้มันจะไม่ใช่เครื่องที่ดีที่สุดที่มีเพราะ มันรับแรงได้มากสุดแค่20ก็จริง แต่มันจะมีเด็กนักเรียนม.ปลายกี่คนกันวะที่ต่อยได้ถึงระดับ20หน่ะหะ อย่าว่าแต่จะพังมันได้เลย เอางี้ละกัน ถ้านายทำมันพังได้ เดี๋ยวฉันจ่ายให้เองก็ได้ มา!”
“เออ ก็จริงแหะ” โจวเหวินพยักหน้า แล้วมองดูเครื่องวัดพลังที่ดูท่าทางจะแข็งแรงดี มันคงไม่พังง่ายๆหรอก ...มั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เลิกลังเล แล้วตั้งท่าง้างหมัดขึ้น ประกายสีแดงเข้มเข้ามาเกาะกลุ่มที่หมัดของเขา จนเหมือนเป็นหมัดเหล็กสีแดง
“นี้มัน สกิลงั้นเหรอ โจวเหวินเองก็มีสกิลกับเขาด้วยซินะ...”ที๋เจียงตงเริ่มรู้สึกผิดหวัง
เพราะเดิมทีค่าพลังของโจวเหวินนั้นมันก็มากอยู่แล้ว แล้วยิ่งเขามีสกิลเข้าไปอีก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสกิลกากๆก็เถอะ แต่พลังมันก็น่าจะเพิ่มขึ้นจนมากกว่าของที๋เจียงตงอยู่แล้ว ตอนนี้ที๋เจียงตงรู้แล้วว่ายังไงเขาก็แพ้แน่ๆ
ฟางหลัวซีกับหลี่ฉีเองก็ตกใจเหมือนกัน โจวเหวินนั้นดูกระตือรือร้นและฝึกมาดีกว่าที่คิด และพวกเขาก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าตัวเองจะได้คะแนนที่ดีในการทดสอบภาคปฏิบัติ
ตู้ม!!!
โจวเหวินต่อยไปที่แผ่นรับแรง แผ่นรับแรงนั้น โดนกดยุบลงไปแล้วเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตัวเลขบนหน้าจอนั้นพุ่งทะลุเลข11ไปทันทีแล้วหมุนติ้วไปทันที
“ค่าพลังของสกิลนั้นมันจะออกมาเท่าไรกันนะ”ฟางหลัวซีคิด แต่พอเห็นว่าตัวเลขนั้นมันเริ่มสว่างเกินไป ไม่ซิ ต้องบอกว่าตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอพวกนั้นเปลี่ยนเป็นแค่แสงไฟสว่างจ้าเฉยๆ ฟางหลัวซีมองดูดีๆแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เห้ย!!!!!!
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงแปลกๆก็ดังขึ้นมาจากทางเครื่องวัดพลัง ก่อนที่ด้านหลังของเครื่องนั้นจะมีรอยปริแตก แล้วของเหลวสีเหลืองอ่อน ก็พุ่งออกมาเป็นสเปรย์จากด้านในเหมือนน้ำพุยังไงอย่างงั้น
ตาของทุกคนเบิกกว้างทันทีแล้วมองไปที่โจวเหวินกับเครื่องวัดพลังที่กำลังพ่นน้ำออกมา
ยวี่ชิวไป๋เองก็แทบจะอ้าปากค้างเหมือนกัน เขารีบวิ่งเข้าไปแล้วเช็คด้วยตัวเองเลยว่าเครื่องวัดพลังนั้นเจ๊งไปแล้วจริงๆ
เขาไม่อยากจะให้โจวเหวินเสียเงินหรอก แต่ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าพลังสกิลของเด็กนักเรียนม.ปลายมันจะรุนแรงได้มากขนาดนี้
ที๋เจียงตงขนลุกขึ้นมาทันที ถ้าก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะทดสอบด้วยการสู้ตัวต่อตัวละก็ หัวของเขาคงได้พังเหมือนเครื่องวัดพลังนั้นแน่ๆ
เดิมทีเครื่องวัดพลังนั้นวัดพลังได้ถึงแค่20ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรับได้แค่20 เอาเข้าจริงแล้ว การที่จะระเบิดลูกสูบไฮโดรริคที่อยู่ด้านหลังของเครื่องนี้ทิ้งได้นั้น มันต้องใช้แรงมากกว่า20แน่ๆอยู่แล้ว
และถึงแม้ว่าโจวเหวินจะมีพลังระดับ10ก็จริง แต่การจะทำลายเครื่องนี้ได้นั้น เขาต้องระเบิดพลังตัวเองขึ้นไปมากกว่า2เท่าถึงจะทำได้สำเร็จ
ถ้ายวี่ชิวไป๋ไม่เคยได้ยินเรื่องของโจวเหวินจากอาจารย์ใหญ่คนเก่าละก็ เขาคงคิดว่าโจวเหวินนั้น ใช้สกิลขั้นสูงแน่ๆ ไม่งั้นมันคงไม่มีทางมีพลังถึงขนาดนี้แน่ๆ
แต่ถ้าดูจากพื้นฐานของโจวเหวินแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีสกิลขั้นสูงนั้น
“เขาพึ่งแค่ความสามารถของตัวเองล้วนๆในการฝึกจนถึงระดับนี้ซินะ ยอดเยี่ยมจริงๆ”ยวี่ชิวไป๋นึกถึงคำพูดของอาจารย์ใหญ่คนเก่าที่พูดถึงโจวเหวินทันที
บนโลกนี้มันมีอัจฉริยะแค่2แบบเท่านั้น แบบแรกคือโจวเหวินกับอีกแบบคือคนอื่นๆ
“นายบอกเองนะว่าถ้าเครื่องนี้พัง นายจะจ่ายให้หน่ะ”โจวเหวินยืนตะลึงอยู่หน้าเครื่องแล้วหันไปมองที๋เจียงตง
เขาเองก็ไม่คิดว่าหมัดเฮอคิวลิสจะมีพลังทำลายถึงขั้นพังเครื่องวัดพลังได้จริงๆเหมือนกัน
แถมเขายังเป็นแค่คนจนจน ถ้าโรงเรียนจะให้จ่ายเงินชดใช้จริงๆ เขาคงไม่มีเงินจ่ายแน่ๆ”
“เดี๋ยวฉันจ่ายเองหน่าเพื่อน ไม่เป็นไร ใช้เงินก็แก้ปัญหาได้แล้ว ไม่มีปัญหาเลย เราเป็นทีมเดียวกันละนะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”ที๋เจียงตงพูดพร้อมรอยยิ้มแบบเจื่อนๆทันที
ตระกูลของที๋เจียงตงนั้นเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในโรงเรียน ไม่เคยขัดสนเรื่องเงินด้วย แต่เพื่อนร่วมทีมอย่างโจวเหวินนั้น ในเมืองเล็กๆแบบนี้ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
การที่ได้โจวเหวินมาเข้าทีมนั้น ที๋เจียงตงรู้สึกได้เลยว่า พวกเขาไม่เพียงแต่จะได้ที่1ในการทดสอบภาคสนาม แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นรอพวกเขาอยู่
หลี่ฉีกับฟางหลัวซีเองก็อารมณ์ดีมากด้วยการ การได้โจวเหวินมาเป็นเพื่อนร่วมทีมทำให้พวกเขาเข้าใกล้เป้าหมายไปอีกก้าวนึง
“หมอนี้มันน่าสนใจกว่าที่ฉันคิดอีกนะเนี่ย”ฟางหลัวซีมองหลี่ตาไปทางโจวเหวิน
โจวเหวินนั้นเข้าทีมอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้ง4คนส่งใบสมัครเข้าร่วมการทดสอบกับทางโรงเรียนแล้ว ครูหลายๆคนในโรงเรียนพอได้เห็นชื่อของโจวเหวินเป็น1ในรายชื่อของทั้ง4คนนั้นแล้ว
อาจารย์ที่ปรึกษาของฟางหลัวซี หลี่ฉี และที๋เจียงตงนั้นแอบไปคุยกันอย่างลับๆ พวกเขาหวังว่าจะเลือกเพื่อนร่วมทีมอีกคนได้ดีกว่านี้ พวกเขาไม่อยากให้โจวเหวินไปเป็นตัวถ่วง การที่โจวเหวินเข้าทีมมานั้นทำให้เหล่าอาจารย์พวกนั้นหัวเสียเอาเรื่องเลย
มีเพียงยวี่ชิวไป๋คนเดียวเท่านั้นที่ยังนั่งดื่มชาอย่างสบายใจ เขารู้ดีว่าโจวเหวินนั้นแกร่งที่สุดใน4คนนั้นแล้ว
“เดี๋ยวคอยดูตอนสอบเข้ามหาลัยละกัน แล้วจะได้รู้ว่าใครถ่วงใครกันแน่”ยวี่ชิวไป๋คิดตอนดื่มชา
โจวเหวินนั้นเป็นลูกศิษย์ของเขา การที่อาจารย์พวกนั้นพูดลับหลังแบบนั้น มันทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาเลย