GE262 สายลม หิมะ ดอกเหมย [ฟรี]
“ข้าต้องการแผนที่!”
หนิงฝานชี้กระบี่โลหิตไปยังลู่เจี่ยเฟิน
ท่าทางหนิงฝานราวกับ หากอีกฝ่ายผิดข้อตกลง ต่อให้มันเป็นผู้นำเผ่าก็คงหนีไม่คมกระบี่เล่มนี้
ไม่นาน มังกรโลหิตก็ถูกทหารศิลาสังหาร มังกรทมิฬก็ไม่รอดมือเหวี่ยงเหลียง นั่นทำให้สีหน้าลู่เจี่ยเฟินไม่สู้ดี
เดิมมันคิดหวังจะพึ่งคนจากแดนสวรรค์เพื่อชิงแผนที่มาจากลู่ตู้เฉิน
แต่ด้วยเพราะหนิงฝานเพียงคนเดียว จึงทำให้ความตั้งใจของมันต้องล้มเหลว
กระบี่โลหิตในมือหนิงฝาน ดูเหมือนจะเป็นดาวข่มของลู่เจี่ยเฟิน
ยิ่งกระบี่เปลี่ยนมือมาอยู่กับหนิงฝานแล้ว แรงกดดันที่มันได้รับยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี
ฝั่งด้านเผ่าลั่วหยุน มีสนมอสูรและหนิงฝานที่กำลังชี้กระบี่ไปที่มันคอยสนับสนุนลู่ตู้เฉิน แต่ฝั่งด้านเผ่าเพลิง พวกมันเข้าเมืองมาเพียง 3 คน และตอนนี้ก็ถูกสังหารจนหมด นั่นทำให้ลู่เจี่ยเฟินรู้ชะตากรรมของมันว่า หากมันไม่ส่งแผนที่ในส่วนของมันให้ มันคงไม่ได้ออกไปจากที่นี่
"ลู่เจี่ยเฟิน ถึงเจ้าจะอยู่ขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง ถึงข้าและคนอื่นๆจะสังหารเจ้าได้ยาก แต่ถ้าเจ้าไม่ส่งแผนที่มา ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้เจ้าบาดเจ็บสาหัสแล้วให้คนอื่นๆจัดการ... ตัดสินใจให้ดีๆ" ลู่ตู้เฉินกล่าวข่มขู่
"ข้ารู้น่า... แค่แผนที่แค่นี้ ข้าคนนี้ไม่ยอมผิดคำสัญญาหรอก! การประลองในครั้งนี้ พวกเจ้าเป็นฝ่ายชนะ!"
แววตาลู่เจี่ยเฟินแฝงไว้ด้วยความโกรธ มันสัมผัสกระเป๋า นำแผ่นหนังอสูรสีแดงเข้มออกมา ในนั้นมีรอยสลักเส้นทางและภูมิประเทศ จากนั้นลู่เจี่ยเฟินก็เปลี่ยนตนเองเป็นหมอกโลหิต พุ่งหนีหายไป
ลู่ตู้เฉินไม่ได้ไล่ตาม เพราะยามนี้มันได้แผนที่ที่ต้องการแล้ว ไม่จำเป็นต้องตามไปสังหารมัน
เมื่อได้แผนที่ ชายชราทะยานไปหาหนิงฝานที่ยืนอยู่บนเวที และส่งแผนที่ให้หนิงฝานท่ามกลางสายตาอสูรทุกตนในเมือง
“แผนที่ของเผ่าเพลิงเป็นของเจ้า! แต่ของข้า… ถ้าเกิดเจ้าอยากได้ก็ต้องอะไรบางอย่างให้ข้าก่อน!”
“ทำอะไร!”
“วางใจเถอะ เรื่องนี้ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร!”
ดวงตาชายชราเป็นประกาย ชายชรากวาดตามองเหล่าอสูรในเมือง พลางประกาศกล่าว
“นับจากวันนี้ไป ลู่เป่ยคือนายกองคนที่ 8 ของเผ่า... หากใครไม่เห็นด้วยจนโดนริบแต้มทั้งหมด และถูกขับไล่ออกจากเผ่า!”
ชายชราประกาศกร้าว เสียงสะท้อนก้องไปทั่วทั้งเมือง
ไม่มีผู้ใดที่ได้เป็นนายกองอสูรโดยไม่ได้ผ่านการทดสอบ และไม่บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ
แต่หนิงฝานถือเป็นข้อยกเว้น เพราะเขามีพลังที่เทียบเคียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ
“ไม่มีผู้ใดในเมืองคัดค้าน! คารวะนายกองเป่ย!”
เผ่าอสูรยกย่องผู้ที่แข็งแกร่ง และวันนี้หนิงฝานก็ได้แสดงให้พวกมันเห็นแล้วว่าแข็งแกร่ง
หนิงฝานเหมาะสมกับตำแหน่งนายกองอสูรแล้ว หากวันนี้ไม่มีหนิงฝาน เผ่าลั่วหยุนคงพ่ายแพ้
ในเมื่อหนิงฝานสร้างบุญคุณให้ ย่อมไม่มีผู้ใดคิดทรยศหักหลัง
ตำหนักริมน้ำที่หนิงฝานอาศัยอยู่กลายเป็นเขตหวงห้าม รอบข้างออกไปกว่าหลายสิบลี้ ภูมิทัศน์ถูกปรับเปลี่ยน สิ่งก่อสร้างต่างๆถูกสร้างขึ้นมากมาย ทหารนับหมื่นมาขอเป็นทหารในสังกัดของหนิงฝาน
หลังจากการประลองสิ้นสุด หนิงฝานใช้เวลาอยู่กับการนั่งโคจรปราณอสูรเงียบๆ 10 วัน เขานำกระเป๋าที่ได้มา แผนที่ และกระบี่โลหิตมาวางตรงหน้า
บ่าวอสูรทั้งสองคนของหนิงฝาน ได้รับมอบหมายให้ดูแลธุระต่างๆในที่พักอาศัย ทหารศิลาและเหว่ยเหลียงก็ทำหน้าที่คอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ
การประลองในครั้งนี้เป็นประโยชน์กับหนิงฝานมาก
เขาได้หญ้าเพลิงฟ้ามาจากกระเป๋าของจิงหยุน หากดูดซับพวกมันผสานกับโลหิตอสูรไร้ดัดแปลง เขาก็จะเข้าใกล้ขอบเขตตัดวิญญาณเข้าไปอีก นอกจากนี้ สิ่งได้มาจากจิงหยุนยังมีวิชาหอกตะวัน
หนิงฝานได้กระบี่โลหิตและดวงจิตมังกรจากลี่ป่าน ที่สำคัญ ยังได้โลหะดาราโบราณมาเป็นจำนวนมาก
อีกไม่นานเขาจะบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ
แผนที่ที่ได้มาจากเผ่าเพลิงคือแผนที่ที่เกือบจะสมบูรณ์ แผนที่ใบสุดท้ายอยู่กับลู้ตู้เฉิน แต่การจะได้มาไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องที่ชายชราจะให้ทำน่าจะไม่ได้ยากมากนัก
ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณถือเป็นตัวตนในตำนานของแคว้นเยว่... ในแคว้นจินถือเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญ... ในทะเลไร้สิ้นสุดถือเป็นตัวตนระดับบรรพบุรุษ… หนิงฝานสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณไปหลายคนตัวตนของเขาน่าจะเทียบเคียงตำนานได้
ยิ่งเขาเข้าใกล้ขอบเขตตัดวิญญาณ เขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว และเหนื่อยล้า
เขาพยายามอย่างหนักมาเนิ่นนาน สังหารศัตรูไปมากมาย แต่เมื่อมองย้อนไปยังทะเลโลหิตที่ก้าวผ่าน มันยิ่งทำให้หนิงฝานเหนื่อยล้า
แม้จะสังหารศัตรูไปมากมายขนาดไหน แต่หนิงฝานกลับไม่รู้สึกภาคภูมิใจ
ความแค้นที่สั่งสมเพิ่มพูน หากวันหนึ่งเขาสังหารเทพกษัตริย์เนี่ยได้ บางทีเขาอาจไม่มีความสุข
หากบรรลุตัดวิญญาณแล้วจะทำยังไงต่อ?
ในสมัยโบราณ อสูรใดที่บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ จะสามารถเข้าสู่ลานสวรรค์โบราณ และเข้าร่วมสงครามได้… นั่นจะทำให้อสูรผู้นั้นกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณโดยสมบูรณ์...
ขอบเขตแก่นทองคำจำต้องตัดความรู้สึก
ขอบเขตตัดวิญญาณจำต้องเผชิญกับความผันผวนของอารมณ์
การจะก้าวผ่านโลกนี้ได้ ต้องปีนป่ายก้าวข้าม
หากผู้ใดบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ ชื่อของคนผู้นั้นจะถูกสลักลงบนจารึกสวรรค์ เพื่อบอกกล่าวให้สวรรค์ได้รับรู้ถึงการคงอยู่
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด จะอสูร มนุษย์ หรือปีศาจ หากบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ สวรรค์จะรับทราบ
ดังนั้น การสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตัดวิญญาณจึงเป็นเรื่องที่ทำให้สวรรค์พิโรธ ผู้สังหารจึงได้ปราณปีศาจไป
“ตัดสิ้นอดีตผันผ่าน… แต่ข้าไม่รู้จักอดีตของข้า… ผลแห่งความฝันทำให้ข้ารู้เพียงแซ่หยุน ไม่รู้จักบิดา ไม่รู้จักมารดา ไม่รู้ว่าพวกท่านยังอยู่ในโลกใบนี้หรือเปล่า… ข้าไม่รู้อะไรเลย… แบบนั้นจะให้ข้าตัดมันยังไง… ผู้อาวุโสตงสู่บอกว่า หากข้าบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ โชคชะตาจะทอดทิ้งข้าไป… ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ...”
หนิงฝานรู้สึกราวกับตนอยู่ในวงกตปริศนา
ยิ่งหลังจากปลุกโลหิตครั้งที่ 2 ได้โลหิตเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่มา ยิ่งทำให้ปริศนาเพิ่มมากขึ้น
แต่นั่นกลับทำให้ได้ในสิ่งที่คาดไม่ถึง มันทำให้เขาเข้าใกล้ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดนสวรรค์มากขึ้น
เหตุใดลานสวรรค์โบราณถึงได้ถูกทำลาย เหตุใดเผ่าพันธุ์อสูรถึงถูกสาป… ความลับเหล่านี้แม้เป็นเหล่าเซียนในแดนสวรรค์ก็ไม่ทราบ แต่หนิงฝานเริ่มเข้าใกล้ความลับเหล่านั้นขึ้นเรื่อยๆ
“แสง… หนอน… หนอน...”
ในขณะที่หนิงฝานขบคิดต่างๆนาๆ เหว่ยเหลียงก็นำดวงจิตมังกรมาให้แสดงให้หนิงฝานดู ราวกับนางได้ของเล่นใหม่
“หนอน...” หนิงฝานหัวเราะพลางลูบศีรษะนางเบาๆ
มังกรทมิฬผู้ยิ่งใหญ่ กลับเป็นได้เพียงหนอนในสายตาของนาง
ถึงนางจะกล่าวไปเช่นนั้น มังกรทมิฬก็ไม่กล้าขัดนาง มันจับจ้องหนิงฝานราวกับมีบางอย่างอยากจะกล่าว
“ฮ่าฮ่า… ข้าหนอนดำน้อยคารวะพี่ชายลู่เป่ย”
“ก่อนหน้านี้ข้าต้องมนต์สะกดของลี่ป่าน จึงได้ล่วงเกินพี่ชายไป… แต่ตอนนี้ข้าได้สติแล้ว! ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะพี่ชายสังหารลี่เป่ย ปลดปล่อยตัวข้าจากมนต์สะกด ข้าทราบซึ้งใจมาก… ว่าแต่ พี่ชายต้องการผู้ติดตามที่ทรงพลังบ้างหรือเปล่า? ข้าเก่งกาจกว่าเจ้าก้อนหินนั่น หากผู้ใดยั่วยุพี่ชาย ข้าจะจัดการมันทันที!”
ดูเหมือนมังกรทมิฬจะมีความสามารถในการประจบมาก
ที่มันทำแบบนั้นก็เพราะอยากมีชีวิตรอด… ในเมื่อมันไม่อาจรอดพ้นจากหนิงฝานได้ สิ่งที่มันได้ก็มีเพียงประจบเอาใจ
“ถ้าข้าไม่ได้มีขอบเขตพลังสูงส่ง แต่ข้าก็ชั่วร้ายพอสมควร… ข้ารู้ว่าที่เจ้ากล่าวมาแบบนั้นเป็นเพราะเจ้าอยากมีชีวิตรอด จากนั้นก็หาโอกาสแก้แค้นข้า… เรื่องแค่นี้ทำไมข้าจะมองไม่ออก”
สีหน้ามังกรทมิฬแปรเปลี่ยน
มันคือมังกรทมิฬที่โดดเด่นของเผ่าพันธุ์มังกร เป็นผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด แต่ยามนี้มันกลับต้องก้มหัวให้หนิงฝาน
แรกเริ่มมันคิดว่าหนิงฝานจะไว้ชีวิตมัน แต่มันคิดผิด “อ่านวิญญาณ!”
คำว่านอ่านวิญญาณ เป็นเหมือนน้ำเย็นสาดใส่มังกรทมิฬ
มันหวาดกลัวและตกตะลึง มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลาง แต่ยามนี้ตัวมันไม่ต่างจากทาสสงคราม ที่ถูกอ่านวิญญาณเพื่อล้วงความลับ
เมื่อสิ้นสุดการอ่านวิญญาณ ทะเลสติของมันจะได้รับความเสียหาย และกลายเป็นคนโง่
มังกรทมิฬเปล่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา แม้มันจะมีสัมผัสเทพที่ทรงพลัง แต่หนิงฝานยังฝ่าเข้าสู่ทะเลสติขิงมันได้ไม่ยาก
“คาดไม่ถึงว่ามังกรอย่างพวกเจ้าจะมีผนึกระดับสูงขนาดนี้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกแล้ว คงไม่อาจอ่านความทรงจำเจ้าได้...”
หนิงฝานบอกให้ทหารศิลานำดวงจิตของมังกรโลหิตออกมา แล้วใช้วิธีการเดียวกัน
มังกรทมิฬตกตะลึง ลู่เป่ยโหดเหี้ยมอัมหิต พวกมันเป็นถึงมังกร แต่กลับไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตา
แม้ลู่เป่ยจะอ่านความทรงจำของมันไม่ได้ แต่ยังไม่ละความพยายาม นำดวงจิตของมังกรโลหิตออกมาค้นวิญญาณต่อ
มังกรโลหิตหวาดกลัวอย่างที่สุด มันเปล่งเสียงร้องอย่างน่าอนาจยิ่งกว่ามังกรทมิฬ
ในขณะที่มันร้องด้วยความเจ็บปวดนั้น ภายในทะเลสติของมันก็ปรากฏผนึกบางอย่างมาขวางกั้นความทรงจำไว้
แต่ด้วยที่ผนึกของมันไม่ได้ทรงพลังเหมือนอย่างมังกรทมิฬ หนิงฝานจึงทำลายได้
แต่ก่อนที่จะอ่านดวงจิตได้สำเร็จ หนิงฝานก็ต้องเร่งถอนสัมผัสเทพกลับ… การอ่านดวงจิตล้มเหลวอีกครั้ง
เพียงแต่มังกรโลหิตไม่ได้โชคดีเหมือนมังกรทมิฬ เพราะเมื่อหนิงฝานถอนสัมผัสเทพ ทะเลสติของมังกรโลหิตพังทะลายกลายเป็นคนโง่
ฉากเบื้องหน้าสะเทือนใจมังกรทมิฬมาก มันทำได้เพียงหลับตา เบือนหน้าหนี
โชคดีที่ผนึกของมันทรงพลังกว่า ไม่งั้นมันก็คงกลายเป็นคนโง่เหมือนมังกรโลหิต
ยิ่งจ้องมองแววตาที่ว่างเปล่าของมังกรโลหิต มันยิ่งหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่มันหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อีกนิดเดียวก็จำสำเร็จแล้ว แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ล้มเหลว… แต่อย่างน้อยก็ยังนำมังกรโลหิตไปเสริมความแข็งแกร่งให้กระบี่โลหิตได้”
หนิงฝานใช้กระบี่โลหิตฟันดวงจิตมังกรโลหิตจนขาดเป็นสองท่อน โลหิตในดวงจิตของมันถูกกระบี่ดูดซับ
หนิงฝานฆ่ามังกรได้อย่างน่าตาเฉย!
มังกรทมิฬสั่นสะท้าน มันคงไม่รอดพ้นเงื้อมมือหนิงฝานแน่
“จะทำยังไงกับมังกรทมิฬดี...” หนิงฝานพึมพัม
“รับข้าเป็นทาสเถอะ ข้าไม่อยากตาย ข้าจะพักดีกับเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!” มังกรทมิฬเร่งกล่าว มันยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตนอยู่รอด
“รับเจ้าเป็นทาส… ก็ดีเหมือนกัน ยังไงเจ้าก็บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง ย่อมเป็นประโยชน์กับข้าอยู่บ้าง… งั้นข้าจะประทับตราวิญญาณกับเจ้า”
หนิงฝานโคจรปราณ สลักตราประทับวิญญาณให้กับมังกรทมิฬ
เมื่อมันเห็นว่าหนิงฝานจะประทับตราอะไรนั้น สีหน้ามันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
ตราประทับวิญญาณนับเป็นข้อห้ามกับเผ่าพันธุ์อสูรโบราณ หากผู้ใดกล้าประทับ ก็เท่ากับลบหลู่เผ่าพันธุ์พวกมัน
ลู่เป่ยเป็นเพียงอสูรในโลกเบื้องล่าง เหตุใดถึงได้รู้วิชาโบราณมากมาย?
จบสิ้นแล้ว… มังกรทมิฬอย่างมันจบสิ้นแล้ว
หากถูกประทับตราวิญญาณ ก็เท่ากับมันถูกขับออกจากเผ่าพันธุ์มังกร
หนิงฝานพยายามสลักตราประทับวิญญาณอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว
ดูเหมือนสายเลือดของมันจะต่อต้านได้
หนิงฝานขบคิด…
เมื่อมังกรทมิฬรเห็นการสลักล้มเหลว มันจึงแอบมีความสุข
“ตราประทับวิญญาณนี้เป็นเพียงตราประทับระดับต่ำ แค่นี้ควบคุมค่าไม่ได้หรอก”
มังกรทมิฬมีความสุข ดูเหมือนลู่เป่ยจะไม่รู้ความจริงข้อนี้
แม้หนิงฝานจะพยายามสลักตราประทับขนาดไหนก็ไม่สำเร็จ
หนิงฝานพยายามสลักต่ออีกไม่กี่ครั้ง และพบว่า ยามนี้ตนเองสามารถสลักตราประทับวิญญาณได้ แต่อำนาจในการควบคุมมังกรโลหิตนั้นต่ำมาก
มันมองหนิงฝานด้วยแววตาที่ดีใจ แต่หนิงฝานกลับมองมันด้วยสายตาเย็นชา
“ตายซะ!”
หนิงฝานกระตุ้นผนึกวิญญาณที่สลักไว้เพื่อสังหารมันทิ้ง!
ยามนี้ ทะเลสติของมันเริ่มปั่นป่วน ตราประทับในทะเลสติที่เบาบางแปรเปลี่ยนเป็นเหมือนระเบิดที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
มังกรทมิฬเจ็บปวดในทะเลสติอย่างที่สุด กระอักโลหิตคำ แววตาเผยถึงความหวาดกลัว
โหดเหี้ยมอัมหิต น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว… สลักตราประทับวิญญาณไม่สำเร็จ ถึงกับกระตุ้นตราประทับให้ระเบิด
แต่โชคดีที่ตราประทับส่งผลเพียงชั่วคราวแล้วหายไป ทำให้มันแค่บาดเจ็บแต่ไม่ถึงตาย
“ดูเหมือนตราประทับวิญญาณจะทำอะไรเจ้าไม่ได้...”
แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา หากไม่สามารถควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ ก็เท่ากับเก็บเคราะห์ภัยไว้ข้างตัว
เท่าที่หนิงฝานสังเกตุ มังกรทมิฬหวาดกลัวตราประทับวิญญาณมาก เมื่อตราประทับแสดงผลและหายไป มันแสดงสีหน้ามีความสุขอย่างที่สุด โดยความรู้สึกทั้งหมดนั้นไม่ได้เสแสร้ง
นั่นแสดงให้เห็นว่าตราประทับวิญญาณมีผลกับมัน แต่ต้องเป็นตราประทับวิญญาณชนิดพิเศษ ซึ่งมังกรทมิฬรู้แต่เขาไม่รู้
หนิงฝานหันมองทหารศิลาพลางกล่าวถาม
“ทหารศิลา ทำไมตราประทับวิญญาณของข้าถึงไม่มีผลกับมัน?”
“เพราะมังกรทมิฬคือเผ่าพันธุ์มังกรโบราณที่มีจิตวิญญาณแท้จริง มีข่าวลือว่า โลหิตของพวกมันสามารถป้องกันตราประทับวิญญาณได้ เหมือนการประทับตราวิญญาณเป็นสิ่งต้องห้ามของเผ่าพันธุ์ที่มีจิตวิญญาณแท้จริง แต่หากเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่างไปจากมัน ข้ามีผนึกหลายแบบที่จะใช้ควบคุม นอกจาก ‘บัญญัติอสูร’ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดควบคุมมันได้อีก”
“บัญญัติอสูร?” หนิงฝานหันมองมังกรทมิฬ
“เจ้าหนอนดำ! ข้าให้เวลาเจ้า 3 ลมหายใจ บอกเคล็ดวิชาบัญญัติอสูรมาให้หมด หากเจ้าโกหกข้า...เจ้าตาย หากเจ้าไม่รู้...เจ้าตาย ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเป็นเหมือนมังกรโลหิต...”
คำขู่และแรงกดดันของหนิงฝานทำให้มันสั่นสะท้าน
3 ลมหายใจ… 30 ลมหายใจที่จะเป็นตัวกำหนดโชคชะตา
ส่วนเรื่องบัญญัติอสูร ดูเหมือนมันจะรู้อยู่แล้ว
ถึงแม้มันจะรอดชีวิตหากบอกกล่าว แต่มันก็ต้องเป็นทาสของหนิงฝานไปตลอดชีวิต
แต่ถ้าหากมันไม่อยากเป็นทาส มันก็ต้องตาย!
1 ลมหายใจ
2 ลมหายใจ
แต่ก่อนจะถึง 3 ลมหายใจ มันก็กัดฟันกล่าว
“ข้าบอกแล้ว… ข้ารู้เคล็ดวิชาบัญญัติอสูร เอาแผ่นหยกมาให้ข้า ข้าจะสลักเคล็ดวิชาให้...”
สีหน้ามังกรทมิฬมืดมน มันไม่อาจเลี่ยงโชคชะตายามนี้ได้
“เห้อ… ในที่สุดข้าก็ต้องเป็นทาส แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิต และก็ยังดีว่าต้องไปเป็นตัวเสริมพลังให้กับอาวุธ… เป็นทาสแล้วยังไง อย่างน้อยๆก็ไม่ได้เป็นทาสของลี่ป่าน ไม่ได้เป็นทาสของพวกมังกรอัสนี แค่ชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์ข้าต้องป่นปี้เท่านั้น!”
มังกรทมิฬบ่นกล่าวและยอมรับในโชคชะตา
มันสลัดเคล็ดความวิชาบัญญัติอสูรแล้วยื่นส่งให้หนิงฝาน เมื่อหนิงฝานได้ตรวจสอบ เขาพบว่าบัญญัติอสูรเป็นตราประทับวิญญาณชนิดพิเศษที่ทรงพลัง ยากจะหลุดพ้นเป็นอิสระ
เขาใช้โลหิตของตนเป็นสื่อกลางสลักตราประทับให้กับมังกรทมิฬ แต่จู่ๆเขาก็นึกบางอย่างได้
เขานำรถเพลิงทองคำออกมา เดิมทีมันเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับขนส่งกำลังทหารในลานสวรรค์โบราณ มันสามารถวิ่งได้โดยไร้สิ่งลากจูงก็จริง แต่หากมีสิ่งลากจูงอย่างอสูรที่ทรงพลัง จะทำให้ความเร็วของมันเพิ่มพูนขึ้นมาก
ในอดีตสมควรนิยมอสูรประเภทม้าเป็นตัวช่วยลาก
แต่หากเป็นเหล่าเซียนที่ทรงพลัง พวกมันจะมีมังกรสวรรค์เป็นผู้ลากจูงให้
มังกรทมิฬได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหว่ยเหลียง กายเนื้อของมันเสียหายหลายส่วนจนยากจะคงสภาพร่าง จึงเหลือเพียงดวงจิตในยามนี้ หากมันไร้ซึ่งร่างกาย มันก็ไม่อาจร่วมสู้ได้
แต่ถึงอย่างนั้น มันยังสามารถลากรถได้!
“รถเพลิงทองคำ! ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!” มังกรทมิฬตื่นเต้น มันอยากขึ้นไปนั่งบนรถมาก
มันขบคิดว่าเหตุใดหนิงฝานจึงเอารถคันนี้ออกมา หรือคิดจะใช้รถซื้อใจมัน?
ในที่สุดลู่เป่ยก็เห็นความแข็งแกร่งในตัวมัน กระทั่งมอบรถเพลิงทองคำให้เป็นรางวัล
แต่แล้วคำกล่าวของหนิงฝานก็เหมือนน้ำเย็นสาดใส่
“นับจากวันนี้ไป เจ้าจะต้องเป็นดวงจิตประจำรถคันนี้ หากข้าจะเดินทาง เจ้าต้องเป็นผู้ลากรถให้ข้า!”
“หา! ให้มังกรทมิฬที่ยิ่งใหญ่อย่างข้าลากรถเนี่ยนะ? ลู่เป่ย นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ฮึ่ม!”
หนิงฝานกระตุ้นตราประทับ ทำให้ดวงจิตน้อยๆของมังกรทมิฬเจ็บปวดและหวาดกลัว
“ข้ายอมแล้ว หยุดเถอะ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
“ระวังคำพูดเจ้าไว้ ถ้ายังกล้าพูดแบบนั้นครั้งหน้า ข้าจะทรมานเจ้าให้หนัก!”
หากมันคิดทรยศหักหลังหรือต่อต้าน เขาจะกระตุ้นตราประทับของมัน และมันเองก็ไม่อยากถูกทรมานด้วย
ผ่านไป 3 วัน หนิงฝานเก็บทั้งหมดไป และออกมานอกถ้ำ
ในขณะที่เขาเดินไปยังตำหนักที่พักของตน เขาต้องตกตะลึง เพราะมีทหารอสูรจำนวนมาก และสตรีที่เป็นผู้รับใช้จำนวนมากคอยต้อนรับ
ทั่วทุกหนแห่งในเขตตำหนัก มีต้นเหมยปลูกอยู่ทั่วทุกพื้นที่ราวกับรู้ว่าหนิงฝานชื่นชอบมัน
แต่ที่พิเศษคือบริเวณตำหนักส่วนตัวของหนิงฝานนั้น มีหิมะโปรยปรายเย็นฉ่ำ ราวกับรู้ว่าเขาชื่นชอบหิมะ
สองบ่าวอสูรดูจะใส่ใจเขามาก...
หนิงฝานจ้องมองดอกเหมยพลางยิ้ม มันทำให้เขาหวนนึกถึงเมืองฉีเหม่ยในแคว้นเยว่
ความอบอุ่นปกคลุมหัวใจ ความเหนื่อยล้าต่างๆหายสิ้น
แต่ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน เขาก็ต้องก้าวต่อไป
หากไม่ก้าวต่อไปก็ต้องเสียใจในภายหลัง แม้จะไม่มีที่ให้ยืนก็ต้องก้าวเดินต่อไป
“ได้เวลาไปพบลู่ตู้เฉินแล้ว มันต้องการให้ข้าร่วมมือสิ่งใด แต่หากลุล่วง… ข้าจะอยู่ที่นี่สักระยะเพื่อทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ!”
หนิงฝานเดินเข้าไปในตำนักของตน แต่เมื่อผ่านประตูเข้าไป เขาเห็นสตรีนางหนึ่งยืนมองขอบฟ้าไกลเพียงลำพัง นางคือว่านเอ๋อร์ที่มารอหนิงฝานเช่นนี้ทุกวัน
“ว่านเอ๋อร์...”
หนิงฝานเดินเข้าหานาง แต่เมื่อนางได้ยินและหันมา แววตาของนางกลับเผยถึงความขุ่นเคือง
“ฮึ่ม! ใครว่านเอ๋อร์?!”
หนิงฝานประหลาดใจ จิ้งจอกน้อยนางนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ลู่ว่านเอ๋อร์ในวันวาน
“เจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ!”
หนิงฝานเคลื่อนเข้าด้านหลังนางในพริบตา สองมือโอบกอดรอบเอวคอดกิ่วอย่างนุ่มนวล
นางอุทานด้วยความตกใจ ใบหน้าแดงก่ำ พยายามดิ้นสลัด แต่กลับถูกกอดแนบอกจนไม่อาจหลุดพ้น โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ นางจึงยังสบายใจ
“ปล่อยข้า! ไม่งั้นข้าจะตะโกนเรียกคนอื่นว่าเจ้าข่มเหงข้า!”
หากหนิงฝานปล่อยนางก็โง่แล้ว
เมื่อได้สัมผัสจ้องมองนางใกล้ๆ ใครเล่าจะปล่อยให้หลุดมือไป
“ดูเหมือนข้าจะทำให้เจ้าไม่พอใจจริงๆ… บอกข้าหน่อยเถอะว่าเจ้าไม่พอใจเรื่องอะไร?”
“ท่านพี่สนมอสูรบอกว่า… เจ้าไม่ใช่ลู่เป่ย เจ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์อสูรเรา… เจ้าโกหกข้า!”
นางเผยแววตาเศร้าโศกเสียใจ
“เจ้าไม่ใช่ลู่เป่ย… ข้าถามอาจารย์ ท่านบอกว่าเจ้าคือซัวหมิง… เป็นมนุษย์ที่มาจากโลกเบื้องนอก… แต่ข้าไม่เชื่อ!”
“แล้วถ้าข้าไม่ใช่ลู่เป่ย… เจ้าจะทำยังไง...” หนิงฝานกล่าวถามด้วยสายตาจริงจัง
“ข้าไม่รู้...” นางขบริมฝีปาก
“ถ้าข้าเป็นศัตรูของเผ่าลั่วหยุน ที่เข้ามาเพื่อลอบเข้าไปยังแดนสาม สังหารอสูรไร้ดัดแปลงที่หลับไหล เจ้าจะหันกระบี่ใส่ข้าหรือเปล่า...”
“ข้าไม่รู้...”
“หากข้าชอบเจ้า… เจ้าจะชอบข้าด้วยหรือเปล่า...” หนิงฝานยิ้ม
“ข้าไม่รู้… เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า”
ใบหน้านางแดงก่ำ
“เด็กโง่… ไปพบอาจารย์ของเจ้ากันเถอะ ข้าอยากรู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร...”
“เจ้าวางใจเถอะ ถึงข้าจะมีเจตนาไม่ดี ไม่ใช่เผ่าพันธุ์อสูร แต่ข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเผ่าลั่วหยุน และเพื่อเห็นแก่เจ้า ข้าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์”
“อีกอย่าง ข้าไม่ใช่ลู่เป่ย… ไม่ใช่ซัวหมิง… แต่ข้าคือหนิงฝาน”
หนิงฝานก้มมองว่านเอ๋อร์ ลูบสัมผัสและจ้องมองนางด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่หักหลังข้าถึงได้บอกชื่อจริงกับข้า… แต่ถึงเจ้าจะหักหลังข้าจริง ข้าก็จะไม่เกลียดเจ้า...”
“ข้าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ!” นางกล่าว
ดอกเหมย… สายลม… หิมะ…
ทำให้เขาหวนนึกถึงเมืองฉีเหม่ยในวันวาน
เจตนาสังหารที่อัดแน่นคลายไป จิตใจฟื้นฟูยกระดับ
ยามนี้ เขาเข้าใกล้ขอบเขตตัดวิญญาณมากขึ้นอีกก้าว
เขาเลือกที่จะโกหกนางได้ แต่เขาไม่ทำ เพราะเขาไม่อยากทำร้ายนาง...