Chapter 4: ดินแดนแห่งประตู การเปิดประตูสู่เส้นทางที่นำไปสู่ชีวิตและความตาย
Chapter 4: ดินแดนแห่งประตู การเปิดประตูสู่เส้นทางที่นำไปสู่ชีวิตและความตาย
วิชาการบ่มเพาะพลังปราณสรรพจริงเป็นวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเริ่มต้นที่ธรรมดามากในโลกศิลปะการต่อสู้ มันเป็นของฝ่ายธรรมดาทั่วไปอย่างเช่น สำนักห้าเสือและคฤหาสน์สายฟ้า มันปรากฏว่าวิชาดั้งเดิมของพวกเขา
วิชาการบ่มเพาะพลังปราณสรรพจริงถูกวางเป็นพื้นฐานในการช่วยรักษาสุขภาพและฝึกฝนร่างกาย มันยังพึ่งพาปริมาณปราณในร่างกายอย่างมากอีกด้วย ถ้ามันไม่มีพลังปราณแล้วละก็ ถ้าอย่างงั้นวิชาฝ่ามือและวิชาดาบจากโรงเรียนสรรพจริงก็คงไม่มีค่าใดๆ
ในช่วงเวลานั้น แฮปปี้ก็ยังอยู่รอบๆโรงเรียนสรรพจริง เขาก็ใช้เวลานับเดือนในการบ่มเพาะพลังปราณ นอกจากออกไปทำภารกิจง่ายๆบางภารกิจแล้ว เขาก็ใช้เวลาทั้งหมดในการบ่มเพาะพลังปราณ
ความแข็งแกร่งของปราณในแต่ละผู้คนนั้นแบ่งออกเป็นดินแดนปราณ แต่ละดินแดน
ในโลกศิลปะการต่อสู้ การจำแนกดินแดนปราณนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ในตอนเริ่มต้น ผู้เริ่มต้นก็จะไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่น้อย และมือใหม่ก็แค่มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างพวกเขาในด้านปราณนั้นไม่มาก และกำลังการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังต่ำ มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะล่าถอยแบบทุกส่วนบนร่างกายยังอยู่ครบ เมื่อพวกเขาสู้กับสัตว์ประหลาดธรรมดาทั่วไป
แต่เมื่อพวกเขาถึงดินแดนปราณแรก ดินแดนแห่งประตู....
แม้ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะพลังปราณเพียงแค่เล็กน้อยก็ตามที พวกเขาก็มีพลังปราณจำนวนหนึ่งในร่างกายแล้ว ดังนั้นคนในโลกศิลปะการต่อสู้จะพูดกับพวกเขาว่า “ได้เข้าร่วมประตูที่นำไปสู่ชีวิตและความตาย” ในเวลาอันสั้น มันจึงถูกเรียกว่า ดินแดนแห่งประตู มีเพียงคนที่เคยถึงมันมาก่อนเท่านั้นที่สามารถเป็นที่รู้จักกันในนาม คนเร่ร่อนที่เดินอยู่บนโลกศิลปะการต่อสู้
มันไม่ได้เป็นเรื่องยากที่จะเข้าดินแดนนี้
อย่างน้อย ในมุมมองของแฮปปี้แล้ว มันไม่ได้ยาก สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือนำพลังปราณแท้จริงของเขาไหลเวียนไปทั่วร่างกาย สามครั้งต่อวัน เพื่อขยายเส้นลมปราณ ดังนั้นจุดลมปราณของเขาจะแข็งแกร่งขึ้น และบริเวณตันเถียนก็จะถูกเติมเต็ม ไม่เกินสามเดือน เขาก็จะถึงดินแดนแห่งประตู
อย่างไรก็ตาม เวลาในการทำให้ปราณแท้จริงไหลเวียนทั่วร่างกายในรอบเดียวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างนาน มันใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมง มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำมันสำเร็จสามรอบได้ในครั้งเดียว ดังนั้นคนบางคนจึงเลือกที่จะใช้วิชาการบ่มเพาะพลังปราณในการนั่งสมาธิ เพื่อเพิ่มอัตราการฟื้นฟูของพวกเขา ตอนที่พวกเขาเหนื่อยล้า หลังจากการต่อสู้ หลังจากนั้น พวกเขาก็จะเริ่มตระหนักได้อย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาหาคำตอบพบ พวกเขาก็ค่อยๆสร้างพลังปราณอย่างช้าๆ ด้วยความอุตสาหะ
แต่มันก็เป็นความลับกับผู้เล่นไม่นาน หรือไม่อย่างงั้นแล้ว แฮปปี้ก็คงเลือกที่จะฝึกฝนมันจนไปถึงจุดสูงสุด เมื่อเขาเริ่มต้นรวบรวมพลังปราณจากตอนแรก เขาก็จะค่อยๆแสดงความสามารถของพลังปราณของเขา และกลายเป็นนักต่อสู้ที่ทรงพลังในจีน (ในโลกศิลปะการต่อสู้) ที่ซึ่งไม่มีใครเทียบได้
มันค่อนข้างน่าเบื่อในการหมุนเวียนปราณแท้ในร่างกาย แต่มันก็ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรก ในตอนเริ่มแรก เส้นลมปราณนั้นอ่อนแอ และแฮปปี้ก็ไม่ได้เร่งรีบและรุนแรง เมื่อเขาไหลเวียนปราณ ถ้าเขาเร่งรีบ ไม่เพียงแต่มันจะทำให้เส้นลมปราณของเขาเสียหายได้อย่างง่ายดายแล้ว มันอาจจะส่งผลย้อนกลับก็เป็นได้ มีผู้คนมากมายหลายคนได้รับผลกระทบไปจากมัน ซึ่งเป็นผลที่ว่าทำไม แฮปปี้จะต้องระมัดระวังตัวอย่างมากในการไหลเวียนพลังปราณของเขา!
เขาอาจจะมีประสบการณ์ในการใช้วิชาการบ่มเพาะพลังปราณหลายต่อหลายอย่าง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะประมาท เมื่อเขาใช้พวกมัน..
เมื่อเขานั่งลงเงียบๆและนั่งสมาธิเหมือนกับพระเฒ่า เขาก็บ่มเพาะพลังปราณได้ราวๆสิบนาที แม้ว่ามันจะเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง แต่เขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของปราณที่โผล่ขึ้นบริเวณจุดตันเถียน
แฮปปี้ก็เก็บความตื่นเต้นไว้และก็นำปราณแท้จำนวนเล็กน้อยไปตามเส้นลมปราณ ก่อนที่เขาจะค่อยๆผลักดันมันอย่างช้าๆ
คุณหญิงตระกูลมู่หลงก็ไม่ได้จากไปไหนและยืนดูจากที่ห่างไกลออกไป เมื่อเธอเห็นร่องรอยของปราณที่มองเห็นได้ยากด้วยตาเปล่าบนหัวของเด็กหนุ่ม เธอก็ยิ้มและเดินจากไป
แฮปปี้พึ่งจะหมุนเวียนลมปราณของเขาด้วยวิชาบ่มเพาะลมปราณสรรพจริง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง พลังปราณแท้ในจุดตันเถียนของเขาก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับ และมันก็ไม่ได้ใช้เวลานานและยากสักเท่าไหร่ ในการที่จะสังเกตเห็นมัน
แต่มันก็ยังไม่ได้มีค่าอะไร
ความแตกต่างระหว่างการมีปราณแท้บางส่วน กับไม่มีเลยอาจจะดูยอดเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ยังเป็นจำนวนที่ไม่สำคัญสักเท่าไหร่ เขายังอยู่ห่างไกลมาจากการเข้าสู่ดินแดนแห่งประตู
เขาก็เริ่มต้นรอบที่สองต่อ
ครั้งนี้ เนื่องจากว่าเขาคุ้นเคยกับเส้นลมปราณแล้ว เขาก็คุ้นเคยกับเส้นทางที่เขาควรจะพาไป ความเร็วของเขาจึงเร็วขึ้นเล็กน้อย และน้อยกว่ายี่สิบห้านาที เขาก็หมุนเวียนลมปราณรอบที่สองเสร็จ
แฮปปี้ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จในรอบเดียวและเขาก็เริ่มการหมุนเวียนรอบที่สามด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นกระแสพลังปราณแท้ที่สั้นกว่าครึ่งนิ้วก็ยึดจุดตันเถียนของเขาได้อย่างมั่นคง!
แฮปปี้ก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาไม่ได้เรื่องที่ว่า เขาได้รับพลังปราณแท้มานิดหน่อย แต่เหตุผลหลักก็คือความเร็วของการวิชาบ่มเพาะลมปราณสรรพจริงนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่รับได้
เขาลุกขึ้นมาจากพื้นดินด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมและเขาก็จับดาบสั้นด้วยท่าทางแปลกๆ เมื่อเขาประสบความสำเร็จเล็กน้อยแบบนี้ เขาก็เดินออกจากคฤหาสน์มู่หลง
‘เฮะเฮะ ฉันกำลังจะเริ่มต้นทำภารกิจแรกในโลกศิลปะการต่อสู้แล้ว!’
‘ป่าไผ่ม่วงตั้งอยู่ตะวันออกของชานเมืองกูซูสินะ เหมือนฉันจะได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้มาก่อน’ แฮปปี้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่สักพักหนึ่ง ในขณะที่เขาเดินออกจากเมืองไป
ไผ่ม่วงของจริง อยู่ตรงไหนสักแห่งบนทะเลจีนใต้ ลำต้นของมันบางและเป็นสีม่วงเข้ม มันก็สามารถที่จะทำเป็นเซียว (เครื่องดนตรีของจีน) ได้
เมื่อแฮปปี้มาถึงป่าไผ่ม่วง เขาก็พบว่ามันกำลังมีผู้เล่นจำนวนหนึ่งกำลังตามหาไผ่ม่วงอยู่...
มันมีผู้เล่นมือใหม่มากกว่าร้อยคนที่สวมชุดคนรับใช้กระจัดกระจายไปทั่วป่าไผ่ม่วง พวกเขาไม่รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มสาม ก็รวมกลุ่มห้าคนอยู่ด้านนอกของป่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปในสถานที่แห่งนี้
แฮปปี้ก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาทำอะไรกันอยู่ แล้วเขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่น่าดึงดูดในศาลาในป่า เธอก็มีนักดาบรับใช้และกำลังเล่นสีธเออร์ (คล้ายกับขิมของไทย) อยู่
ความคิดบางอย่างก็โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา และแฮปปี้ก็สะกิดคนข้างๆและถามคำถามบางอย่าง เขาก็พบว่ามันค่อนข้างมีร้านค้าขายเครื่องดนตรีจำนวนมากในเมืองกูซู ซึ่งให้ภารกิจมาภารกิจหนึ่ง ใครก็ตามที่รับภารกิจ จะต้องไปนำไม้ไผ่มาจากป่าไผ่ม่วง และคนที่ทำสำเร็จไม่เพียงได้ ครึ่งตำลึงเงิน แต่เจ้าของป่าไผ่ม่วงอาจจะชอบใจในพวกเขาและพาพวกเขาเข้าร่วมสำนักด้วยก็ได้
“เจ้าของป่าไผ่ม่วง?”
แฮปปี้มึนงงและความสงสัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เขาเล่นเกมโลกศิลปะการต่อสู้มาหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินสำนักนี้ในเกมมาก่อนเลยด้วยซ้ำไป หรือมันจะเป็นสำนักที่ไม่สำคัญและเล็กๆกัน?
แต่มันไม่น่าใช่อยู่ดีนะ!
ถ้าคุณหญิงของตระกูลมู่หลงขอเขาให้นำไผ่จากที่นี่ไปและภารกิจนี้ก็ถูกรวมอยู่ในรายชื่อเควสของตระกูลมู่หลง ถ้างั้นเจ้าของป่าไผ่ม่วงจะต้องไม่ใช่นักสู้ธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
“ไผ่จากป่าไผ่ม่วงเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ สามารถเอามันไปได้ตามที่ใจต้องการหรือเปล่า?”
เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงก่นด่าอย่างดูถูกก็ดังมาจากด้านในป่า ผู้เล่นที่แอบลอบเข้าไปในป่าและไปตัดลำต้นของไผ่ก็ถูกลมพายุพัดออกมาก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร เขาก็ล้มก้นจ้ำเบ้า หลังจากนั้นเขาก็กลิ้งจนหน้าเขาแนบพื้น! เขาก็กุมจมูกของเขาไว้แน่นและวิ่งหนีไปจากไปไกล ในขณะที่มีท่าทางที่น่าอนาถ
ผู้เล่นที่อยู่ในบริเวณนี้ต่างตกอยู่ในความเงียบสงัด!
มีเพียงแค่แฮปปี้คนเดียวที่ไม่ประหลาดใจ ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างมีความสุขด้วยซ้ำไป เขารู้ดีว่า มันมีอะไรบางอย่างในที่แห่งนี้
หญิงสาวที่มาพร้อมกับนักดาบรับใช้ก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาสาดวิญญาณ ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง มันก็หมายความว่าเควสที่คุณหญิงตระกูลมู่หลงมอบให้แฮปปี้นั้นเป็นเควสที่ยาก
ไม่ว่าเขาจะเข้าสายตาของตระกูลมู่หลงหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่ว่าเขาสามารถทำมันสำเร็จได้ไหม!
แต่แฮปปี้ก็ไม่เหมือนกับผู้เล่นคนอื่นในบริเวณนี้ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะใช้เล่ห์กลต่างๆในการได้รับไผ่ม่วง เล่ห์กลเหล่านี้มันไร้ประโยชน์ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลัง ที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนที่รู้วิชาสาดวิญญาณ ถ้าคนพวกนี้ยืนเฝ้าระวังแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ไผ่ม่วงไปแน่นอน
ถ้าแฮปปี้ต้องการที่จะจัดการกับผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาก็จะต้องใช้กฏของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้เช่นกัน!
แฮปปี้ก็จัดเสื้อของเขาและเดินฝ่าฝูงชนออกไป การย่างเท้าของเขาทั้งใจเย็นและเชื่องช้า เขาก็เดินตรงไปที่ศาลาในป่าไผ่พร้อมกับหลังที่ยืดตรง
“เจ้านายฉันอยู่ที่นี่ ถ้าคนนอกก้าวเข้ามา ถ้าฉันทำตัวหยาบคาย อย่าโทษฉันนะ!”
ก่อนที่แฮปปี้จะสามารถเข้าไปใกล้กับป่าไผ่ม่วงได้ ลมที่พัดรุนแรงก็พัดตรงมาที่ใบหน้าของเขาและก็ป้องกันไม่ให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้
แต่แฮปปี้ก็ไม่ตกใจ เขาก็กำหมัดลงบนฝ่ามือและทุกคนก็ระลึกถึงมารยาทในการเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ “ข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยคนนี้มีชื่อว่าแฮปปี้ครับ ข้าได้มาเยี่ยมป่าไผ่ม่วงตามคำสั่งของคุณหญิงของตระกูลข้าครับ เมื่อข้าเป็นตัวแทนของตระกูลหลง ได้โปรดให้ลำต้นของไผ่ม่วงกับข้าสามลำด้วยเถอะครับ ข้าขอขอบคุณอย่างลึกซึ้ง”
เขามีท่าทางสำรวม คำพูดชัดเจนและ ตระกูลมู่หลงอันลึกลับที่เป็นตระกูลชั้นสูงในโลกศิลปะการต่อสู้ก็ทำให้ผู้เล่นที่อยู่บริเวณนี้พูดกับตัวเอง
“ตระกูลมู่หลง?”
เจ้าของป่าไผ่ม่วงก็เริ่มดูสนใจ “สมกับเป็นตระกูลมู่หลงจริงๆ เจ้าเป็นแค่คนรับใช้บ้าน แต่เจ้าก็ยังมีทั้งความกล้าและมารยาท ยังไงก็ตาม ถ้าเจ้าต้องการไผ่ม่วงของข้า เจ้าจะต้องทำตามกฏของพวกเรา ถ้าเจ้าสามารถรับการโจมตีสามครั้ง จากนักดาบรับใช้ของข้าได้ เจ้าก็รับมันไป..”
แฮปปี้มีความสุขมาก ‘สามครั้ง? เอาเถอะ ฉันไม่กลัวหรอก เกี่ยวกับกฏนี้ ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ทำตามกฏมากกว่า!’
“ได้โปรดเสนอะแนะข้าด้วยครับ!”
ในขณะที่แฮปปี้ยังไม่ได้มีสกิลอะไร เขาก็มีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับเป้าหมายของภารกิจนี้ เขาก็ถกแขนเสื้อของเขาขึ้นและเปิดเผยการแสดงออกที่ใจเย็น ที่เหมือนกับสวรรค์จะหล่นทับเขาก็ไม่เป็นอะไร
โน้ต คนแปล :
10 ตำลึงเงิน = 1 ตำลึงทอง