บทที่ 272 - ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (6) [04-02-2020]
บทที่ 272 - ถ้าอยากจะติดตามฉันล่ะก็นะ (6)”
"เอิลต้า"
[ว่าไงยูอิลฮาน มีอะไรหรอ?]
นำเสียงของเอิลต้าที่ตอบยูอิลฮานกลับมาดูสงบมากๆ ดูเหมือนว่ากลุ่มของเธอจะยังไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลก
"เธอบอกให้คังมิเรย์สร้างประตูมิติ ให้เธอกลับมาที่โลกก่อนได้ไหม?"
[ดูจะรีบมากเลยนะ ฉันเข้าใจแล้ว]
เอิลต้ามีข้อดีมากมายในตัวเธอ แต่ข้อดีที่ที่สุดเลยก็คือเธอเป็นคนที่ฉลาดและทำงานได้อย่างรวดเร็ว ยูอิลฮานได้ตัดสายเครื่องสื่อสารไปและมองไปรอบๆโลกก่อนที่จะปรบมือเพื่อรวมความสนใจของทุกคนเข้ามา
"อย่างที่พวกนายได้รู้กันก็คือมนุษยชาติของโลกนี้ได้กระจายไปต่างโลกต่างๆอยู่ พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาได้เมื่อไหน แต่ว่าฉันก็ไม่อาจจะให้พวกนายไปพักอยู่ในที่พักเดิมของพวกเขาได้ ยังไงก็ตามมีสถานที่มากมายที่ประชาชนได้ถูกกวาดล้างออกไปเพราะดันเจี้ยนหรือการโจมตีของฝู.มอนสเตอร์ เพราะแบบนี้ฉันก็เลยคิดว่าจะให้พวกนายไปเลือกที่พวกนั้นเพื่อใช้ชีวิตอยู่กัน"
"ขอบคุณที่เป็นห่วงพวกเรานะ"
"ฉันมีแผนการที่จะแก้ไขโลกใบนี้ในทันทีเพราะว่ามันมีข้อผิดพลาดที่ไม่น่าจะมีเกิดขึ้น เพราะงั้นฉันหวังว่าสมาชิกของกองกำลังปราบปรามจะช่วยคุณฮานโยรังได้นะ..."
"ได้ตามที่คุณขอเลย"
ในทันทีที่ได้ยินคำพูดของยูอิลฮาน พลตรียุนแดฮานได้หยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส ยูอิลฮานได้เคลื่อนย้ายป้อมปราการไปในที่เวเนซูเอลาในทันที
"ที่นี่คือ..."
"นี่คือที่เดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจ ฉันไม่อาจจะมาช่วยคนที่อยู่ที่นี่ได้ทันเวลา... นี่คือสิ่งหนึ่งที่ฉันยังคงเสียใจอยู่จนถึงตอนนี้"
"คุณยูอิลฮาน"
ทั้งหมดสามหมื่นคนได้ลงมาอยู่ที่นี่ ประชากรของเวเนซูเอล่าในอดีตนั้นมีถึง 30 ล้านคน แต่ว่าคนทั้งหมดนั้นได้ตายลงไปแล้ว เพราะแบบนีทำให้ที่แห่งนี้มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับคนสามหมื่นคน
"การต่อสู้กับมอนสเตอร์อาจจะยากเล็กน้อย แต่ว่าด้วยกองกำลังปราบปรามในปัจจุบันก็น่าจะรับมือได้นะ โอ้ จริงสิ"
ยูอิลฮานได้เอาอาร์ติแฟคระดับยูนีคที่มีอยู่เต็มคลังของแวนการ์ดออกมาแจกจายให้กับกองกำลังปราบปราม อุปกรณ์เดิมที่พวกเขาใช้อยู่ก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่าของพวกนั้นเปนของผลิตจำนวนมากทำให้คุณภาพมันจะด้อยกว่าปกติ เพราะแบบนี้ด้วยการเปลื่ยนอุปกรณ์สวมใส่ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า
"น่าทึ่งมาก"
"ใช้ของพวกนี้ได้ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปจัดการเก็บกวาดระแวกรอบๆให้ก่อน"
ยูอิลฮานได้ส่งอุปกรณ์สื่อสารให้กับฮานเยรังและยุนแดฮานคนล่ะอัน
"ติดต่อมาหาฉันได้ตลอดเลยนะถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น ฉันจะมาหาพวกเธอในทันที"
"...ขอบคุณมาก"
"มันอาจจะไม่ง่ายนักแต่ว่า... เราจะพยายาม"
"ตราบใดที่คุณอยู่ที่นี่เราก็จะไม่เป็นอะไรหรอก คุณยูอิลฮาน"
"นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะบอก... เฮ้อ"
ยูอิลฮานได้แต่ถอนหายใจออกมากับทัศนคติของฮานเยรัง
พวกเธอดูจะยังไม่รู้ถึงความหมายจริงๆของโลกระดับสูงสินะ ยูอิลฮานได้มีความคิดขึ้นมาครู่หนึ่งว่าควรจะปล่อยคนพวกนี้ไว้ที่กุนเดียดีหรือป่าวนะ
แต่ว่าในตอนนี้เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ? คนพวกนี้เป็นคนที่ตามเขามาก็เพราะว่าคนพวกนี้ทนกับสถานการณ์ในกุนเดียไม่ได้อีกต่อไปแล้ว บางทีเฮเรียน่าอาจจะพูดถูกก็ได้ มนุษยชาติก็แค่ดิ้นรนหนีให้พ้นจากสภาพเดิมจนไปสู่การทำลายตัวเอง
'....ถึงยังไงฉันก็ทิ้งคนพวกนี้ไม่ได้'
ระหว่างออกมาจากเวเนซูเอล่า ยูอิลฮานก็ได้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเล็กๆน้อยๆเอาไว้ อย่างแรกเขาได้จัดการกวาดล้างมอนสเตอร์ออกไปและติดตั้งกับดักมากมายและอาวุธอัตโนมัติที่สร้างขึ้นมาจากมอนเตอร์ที่เขาได้ฆ่าไป
ถ้าหากว่ามีมอนสเตอร์ที่เหนือกว่า 'ปกติ' อย่างพวกปีศาจประหลาดโผล่ขึ้นมา อุปกรณ์พวกนี้ก็จะทำงานอัตโนมัติและส่งสัญญาณไปถึงตัวยูอิลฮานอีกด้วย
หากโลกเขายังไม่ไปเป็นโลกระดับสูง นี่ก็น่าจะมากพอแล้วสำหรับป้องกันคนพวกนี้
[ใจดีจังเลยนะ]
"ถ้าฉันใจดีจริงๆ ฉันก็คงไม่มาพวกเขามาที่นี่หรอก"
ยูอิลฮานได้ส่งเสียงฮึกับคำแซวของเฮเรียน่าและมุ่งหน้าสู่เกาหลี สถานที่ที่ประตูมิติไปไคโรถูกเปิดขึ้น แต่แน่นอนว่าประตูมิตินี้หายไป แต่ยังไงที่นี่ก็ยังคงเป็นที่ดินของยูอิลฮานมาก่อน แถมยังเป็นที่ที่เขาได้ใช้มาสร้างเป็นป้อมปราการลอยฟ้าด้วย
[...สวยมาก]
"น่าประทับใจมาก"
ทะเลสาบได้เกิดขึ้นมาในที่ที่พื้นดินถูกยกตัวออกไป นอกไปจากนี้บนผิวน้ำก็มีแสงจางๆเรืองออกมา และก็มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาเป็นรูปร่างที่พิเศษโผล่ขึ้นมาเป็นเวลา - ทั้งหมดนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทะเลสาบนี่คือทะเลสาบที่เกิดขึ้นมาจากเวทมนต์
"ยูอิลฮาน ฉันมาถึงแล้ว... โอ้"
เมื่อเอิลต้าผ่านประตูมิติมาเธอก็ได้เห็นฉากๆนี้ หลังจากที่เธอได้เห็นสภาพปัจจุบันของโลก ได้เห็นพื้นดิน ท้องฟ้า และทะเลกำลังบิดเบี้ยวอยู่เธอก็สรุปขึ้นมาได้ทันที
โลกใบนี้กำลังเข้าสู่กระบวนการเปลื่ยนแปลงไปเป็นโลกระดับสูง และมันกำลังเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วอย่างมากอีกด้วย
"ไม่ใช่นายบอกว่ามันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักสองสามปีหรอกหรอ?"
"ใช่ ฉันเคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น"
"อืมม มันก็ไม่มีทางที่มนุษย์แบบนายจะคำนวนการแปลงสภาพได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังดีนะที่เรารู้ตัวก่อนที่จะสายเกินไป แล้วตอนนี้นายได้เตรียมอะไรเอาไว้แล้วใช่ไหม? เหตุผลที่นายเรียกฉันมาก็น่าจะเกี่ยวกับแผนนั้นด้วยสินะ"
"แน่นอนสิ"
ยูอิลฮานได้นึกไปถึงในตอนที่เขายืมพลังของพีทมาชุบชีวิตร่างของเฮเรียน่า และอธิบายแผนออกไป โดยพื้นฐานแล้วเวทย์ที่เขาคิดจะใช้กับโลกนี้ก็ไม่ได้ต่างกันนัก
"ฉันคิดที่จะชะลอเวลาของมิติเวลาบนโลกด้วยการยืมพลังจากแม่ ส่วนมานาแน่นอนจะต้องได้รับมาจากมานาที่เกิดมาจากตัวโลกเอง"
"อ่า..."
แม้ว่ายูอิลฮานจะเป็นคนที่่ชอบทำเรื่องบ้าๆแบบนี้เสมอ แต่ว่าเรื่องทำให้เอิลต้าไม่อาจจะตอบกลับไปได้เลย เธอทำได้แต่หันหน้าไปหาคิมเยซอล
"จากที่เขาพูดมันดูเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด...แล้วคุณคิดยังไงล่ะ คิมเยซอล? คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม?"
"ไม่ใช่ว่าลูกฉันบอกว่าทำได้หรอกหรอ ฉันเชื่อในลูกของฉัน"
[น่าสนใจจริงๆเลย ฉันอยากจะฟังให้ละเอียดกว่านี้อีกที่รัก]
"เยี่ยม ฉันจะอธิบายให้ฟังทีละขั้นตอนนะ"
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะได้คังมิเรย์มาช่วยด้วยเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เธอมีหน้าที่อื่นที่สำคัญต้องไปทำอยู่
ยูอิลฮานได้นั่งเรือบนทะเลสาบก่อนที่จะพายเรือไปตรงกลางพร้อมกับคนอื่นๆ
"ฉันจะสร้างวงเวทย์ตรงนี้"
"บนทะเลสาบเนี้ยนะ? แค่นี้จะพอหรอ?"
"ไม่หรอก ไม่พอแน่นอน ฉันจะใช้อาร์ติแฟคที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อวาดวงเวทย์ขึ้นทั่วโลก"
[สร้างวงเวทย์ขึ้นด้วยอาร์ติแฟคเนี้ยนะ?]
"ทั้งโลกด้วย!?"
หลังจากได้ยินแบบนี้เอิลต้าก็นึกได้ถึงบางอย่าง
"พระเจ้า วงเวทย์เอลฟ์โบราณในดาเรย์"
"ใช่แล้ว นี่คือเวอร์ชั่นอัพเกรดของวงเวทย์นั่น เพราะแบบนี้... คำพูดของคุณฮานเยรังพูดก็ไม่ได้ไกลไปจากความจริงนัก"
ยูอิลฮานกำลังคิดที่จะกลายมาเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้
เฮเรียน่าได้ฉีกยิ้มออกมาเมื่อสังเกตุเห็นถึงสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่
[ฟุฟุ ต่อให้ฉันไม่บอกที่รัก ที่รักก็ทำได้ดีเลยนี่ บางทีจิตใจเราอาจจะเชื่อมต่อกันแล้วก็ได้นะ น่ายินดีจังเลย]
"เธอนี่มัน..."
"แม่เข้าใจแล้ว แต่ว่านี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ ตั้งสมาธิหน่อย"
ยูอิลฮานไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องของเวทย์มิติเวลาเลย เพราะแบบนี้ระหว่างการสร้างวงเวทย์เขาจำเป็นได้รับการช่วยเหลือจากคิมเยซอล
"สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลวเลย ในทะเลสาบมีมานาอยู่จำนวนมาก"
[โอ้]
เมื่อยูอิลฮานสะบัดมือของเขา ผิวน้ำทะเลสาบก็ได้พุ่งขึ้นตามการนำของเขาและได้แข็งตัวเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอันละเอียดอ่อน
นี่คือรูปปั้นทูตสวรรค์ที่สวยงามที่มีปีกสี่ข้างข้างอยู่ นี่คือรูปปั้นของเลียร่าในตอนที่เธอเป็นทูตสวรรค์คลาส 6 คิมเยซอลสงสัยมากว่าลูกของเธอใช้เทคนิคเวทย์อะไร แต่แล้วพอเธอมองดูลูกของเธอดีๆ เธอก็พบว่ายูอิลฮานต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
"นี่ลูกเปลื่ยนเกราะเมื่อไหร่กันน่ะ?"
"นี่เป็นเกราะกระดูกทรราชเยือกแข็ง มันเป็นเพราะที่จะทำให้ผมใช้น้ำและทำให้น้ำกลายมาเป็นน้ำแข็งได้ ผมจะสร้างอาร์ติแฟคขึ้นจากการสกัดออฟชั่นของเกราะนี้นี่แหละ"
[นี่มันประณีตมาก แล้วที่รักทำรูปปั้นให้ฉันด้วยไม่ได้หรอ?]
ยูอิลฮานได้สบัดมืออีกครั้งหนึงทำให้รูปปั้นน้ำแข็งกลับไปเป็นน้ำอีกครั้งก่อนที่จะตกลงไปในทะเลสาบ
"เพราะแบบนี้ฉันก็เลยอยากจะได้คนอื่นมาช่วย มันเป็นไปได้ไหมที่จะเปลื่ยนความสามารถของแม่ให้กลายมาเป็นวงเวทย์"
"แค่แม่คนเดียวมันยากมากเลยล่ะ"
[ฉันจะลองดูนะที่รัก นี่มันน่าสนใจมาก]
"ฉันก็จะช่วยเหมือนกัน โชคดีที่ฉันก็เชี่ยวชาญในเรื่องวงเวทย์เหมือนกัน"
"โอเค ถ้างั้นก็ฝากทั้งสามคนด้วยนะ"
ยูอิลฮานได้ถอดเกราะของเขาออกมา และหยิบเอาหินพลังเวทย์คลาส 5 ออกมาเพื่อสกัดออฟชั่นที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำจากชุดเกราะกระดูกนี้ ชุดเกราะตัวนี้ได้กลายมาเป็นฝุ่นสลายไปตามสายลมในทันทีที่ถูกดึงออฟชั่นออกไป
"ฉันจะทำให้ทะเลสาบนี่กลายมาเป็นอาร์ติแฟค"
[ที่รักทำลายอาร์ติแฟคระดับตำนานไปง่ายๆแบบนี้เลย...]
"สิ่งที่ฉันต้องการคือความสามารถในการควบคุมน้ำนี่ ไม่ใช่ตัวเกราะ"
พอมาถึงจุดนี้ยูอิลฮานก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อขึ้น เขาได้โยนหินพลังเวทย์ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงลงไปในน้ำอย่างไม่ลังเลใดๆ แม้แต่เฮเรียน่าเองกยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยกับสิ่งที่เขาทำ
[ที่รัก... คุณไม่ได้เป็นอะไรนะ?]
"ฉันต้องใช้สมาธิ อย่ามากวนฉันสิ"
ยูอิลฮานได้หลับตาลงไปและวางมือลงไปบนผิวน้พอย่างช้าๆ สิ่งที่เขากำลังพยายามทำอยู่ในตอนนี้นั้นง่ายดายมากๆ
เขากำลังใช้หินพลังเวทย์เป็นพื้นฐานควบคุมทั้งทะเลสาบนี้ รวมน้ำในทะเลสาบทั้งหมดให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันและเอนชานท์วิญญาณเข้าไปในน้ำนั้น!
พูดง่ายๆเลยก็คือเขากำลังจะสร้างโกเลมน้ำ แน่นอนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมเวทย์ ความสามารถหัตถกรรมมานาและเอนชานท์วิญญาณที่ได้ไปถึงจุดสูงสุด
'เปิดใช้งานหัตถกรรมมานากับเอนชานท์วิญญาณพร้อมๆกัน แล้วก็หาจิตวิญญาณที่เหมาะสม... ใช่แล้ว นายเหมาะที่สุดแล้ว'
[นี่แกเอาจริง...?]
เสียงที่ตอนกลับมานั้นทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยคำสาป แต่ยังไงก็ตามยูอิลฮานที่มีประสบการณ์กับการต่อสู้มานับไม่ถ้วนแล้วมองว่านี่มันน่ารักมาก
'ใช่แล้ว ฉันเอาจริง ถ้าเป็นเรื่องการปกป้องโลก นายน่าจะดีที่สุดแล้ว'
[ฉันอยากจะฉีกนายให้เป็นชิ้นๆจริงๆ]
'ถ้านายคิดว่าฉันไม่คิดจะระวังนายงั้นนายก็คิดผิดแล้ว นายก็น่าจะรู้จากการได้ดูจากภายในตัวฉันมาตลอดนี่นา ต้องให้ฉันพูดให้นายเข้าใจง่ายๆอีกงั้นหรอ?'
ยูอิลฮานได้พูดต่อไปอย่างไม่สนใจเสียงตะโกนหรือเสียงคำรามของจิตวิญญาณเลย มันราวกับว่าเสียงพวกนี้ไม่มีวันส่งมาถึงเขา
'ตราบใดที่ฉันไม่อนุญาติ นายก็จะทำอะไรไม่ได้ แล้วก็ถ้านายไม่ยอมรับ ฉันก็แค่ไปหาคนอื่น แล้วก็นะถ้านั่นมันเป็นผลทำให้พลังป้องกันของโลกอ่อนแอลงมา นายก็จะได้เจอแต่กับความสิ้นหวังแล้วก็คำสาปอย่างที่นายชอบทำมาเสมอไงล่ะ ไม่สิ จริงๆแล้วฉันก็คงแค่เอานายไปเป็นอาหารให้กับจิตวิญญาณดวงอื่นนั่นแหละนะ'
[นายนี่มันไม่มีความสามารถในการข่มขู่เลยสักนิด หรือว่าบางทีนายก็ไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะยอมหรือไม่ก็ตาม]
'นายก็รู้ดีนี่นา แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ?'
[ฉัน... ต้องการอิสระ]
'นายตายไปแล้วนะ นายไม่ได้เป็นตัวนายอีกต่อไปแล้ว แล้วก็เรื่องที่นายคิดในตอนที่มีชีวิตอยู่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวนายในตอนนี้แล้วนะ'
[แต่ถึงแบบนั้น ฉัน... ก็ต้องการอิสระ]
'ถ้างั้นก็ดีมาก การเจรจาสิ้นสุดแค่นี้'
[ยังไงก็ตาม]
จิตวิญญาณได้ยื้อยูอิลฮานเอาไว้
[ถ้าฉันสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ในร่างใหม่ ถ้าฉันสามารถจะหลุดพ้นสภาพแบบนี้ไปได้... ฉันก็จะยอมทำตามคำพูดของนายไปซักระยะหนึ่ง]
'นายนี่ไม่เก่งเรื่องการเจรจาเลยสักนิด'
[ฉันเฝ้าดูนายมาตลอด ถ้าฉันไม่เชี่ยวชาญในด้านการเจรจา ถ้างั้นนั่นมันก็เป็นความผิดของนาย]
'หา นี่มาโทษฉันงั้นหรอ? เอาเถอะ ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลย'
ยูอิลฮานได้เปิดใช้สกิลปกครองที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขาและฉีกยิ้มออกมา เขาได้ประกาศชื่อที่อยู่ในหัวเขาออกมา
"เจตจำนงแห่งความโกลาหลกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันซะ"
[...ฉันยอมรับ]
ผู้โดดเดี่ยวที่สุดและผู้โหดร้ายที่สุดได้จับมือกันแล้ว