AS ตอนที่ 8 - เมืองเมฆาแห่งอาณาจักรรุ่งอรุณ
ณ จวนหลักนิกายเมฆาล่อง
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีสันสดใสนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องโถง ที่หัวโต๊ะอีกฝั่งนั้น มีชายในชุดผ้าคลุมสีดำนั่งอยู่ กอปรกับดวงตาสีดำสนิทของเขา ทำให้เขาดูลึกลับไม่น้อย นอกจากนี้ ชายลึกลับที่นั่งอยู่กลับไม่ปล่อยออร่าออกมาเพียงนิด กล่าวได้ว่า หากไม่ตั้งใจมอง ก็คงไม่รู้ว่าชายคนนี้มีตัวตนอยู่
“โมล็อค สถานการณ์ที่พระราชวังเป็นอย่างไรบ้าง”
หญิงสาวในชุดสีสันสดใสเอ่ย น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวังคำตอบที่จะออกมาจากปากของชายชุดดำ
“ทุกอย่างก็ปกติดี เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้ พระราชาจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ด้วยการช่วยเหลือจากองค์ชายหนึ่ง ข้าทำได้เพียงบุกรุกเข้าไปเท่านั้น” โมล็อคตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนายหญิงเบลเทียน หรือข้าควรจะเรียกท่านว่านายหญิงคลาวด์ดีล่ะ”
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นกลายเป็นน่าเกลียด
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเรียกข้าด้วยชื่อทุเรศๆ แบบนั้นอีก”
โมล็อคหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไป
“นั่นสินะ อย่างไรก็ตาม ท่านแน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำตามแผนนี้ต่อ ถ้าท่านทำ โซเฟียลูกสาวท่านจะต้องกำพร้าพ่อนะ ท่านรู้ใช่ไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดจากโมล็อค หญิงสาวก็มีสีหน้าน่าเกลียด จนไม่เหลือความสวยงามอยู่แม้แต่น้อย
“ไอ้สารเลวนั่น ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วที่มันทิ้งให้ข้าตาย ข้าก็ไม่เคยนับมันเป็นสามีอีกเลย ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วยกันก็เพราะว่ามันจำเป็นเท่านั้น”
แววตาของเธอเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“การที่ข้าอยู่กับมัน ไม่ได้หมายความว่าข้าจะลืมว่ามันเคยทำอะไรลงไป! หึ! อีกไม่นานนักหรอก ข้าก็จะได้แก้แค้นมันให้สมใจ”
โมล็อคหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
-----------------------------------------------------------------
แสงแรกของตะวันสาดส่องเข้ามากระทบเปลือกตาของแดน ทำให้เขาที่หลับอยู่ค่อยๆ ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ แดนลุกขึ้นยืน อาบน้ำและแต่งตัวเพื่อไปกินอาหารเช้า
เหล่าคนรับใช้ที่เห็นแดนเดินมาต่างก็ยิ้มทักทายแดนเฉกเช่นปกติ
เมื่อแดนมาถึงห้องรับประทานอาหาร เขามองรอบๆ และขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยปากถามพ่อบ้าน
“ลุงจอร์จ ท่านพ่อไปไหนล่ะ ข้าไม่เห็นท่านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” จากนั้นแดนก็ค่อย ๆ เลื่อนเก้าอี้และนั่งลงที่โต๊ะ
“ช่วงนี้นายท่านต้องไปฝึกทหารน่ะขอรับ ท่านเลยออกจากจวนไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”
พ่อบ้านเอ่ยตอบพร้อมยื่นช้อนกับซ้อมให้แดน
“ฝึกทหาร? ทำไมท่านพ่อถึงรีบเช่นนี้ล่ะ หรือว่าสถานการณ์ที่ชายแดนมันแย่ลงงั้นเหรอ”
แดนพูดพลางหั่นเนื้อที่อยู่ในจาน จอร์จเงยหน้าขึ้นมามองแดน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
‘ปกติเห็นถามแต่เรื่องลูกสาวบ้านไหนสวยที่สุด หรือไม่ก็ผู้หญิงคนในในเมืองที่หน้าอกบึ้มที่สุด ทำไมวันนี้นายน้อยถึงหันมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้ล่ะเนี่ย...’
จอร์จรีบทำสีหน้าให้ปกติ ด้วยความดีใจที่นายน้อยของเขากลับมาทำตัวดี เขาจึงยิ้มและพูดออกไปด้วยความเคารพ
“ช่วงนี้อาณาจักรรุ่งอรุณกับอาณาจักรศรัทธานิรันดร์ทำสงครามกันเนื้องจากเกิดความขัดแย้งกันนิดหน่อยขอรับนายน้อย แรก ๆ ก็เป็นเพียงแค่การปะทะกันเล็กน้อย แต่ช่วงหลังนี่ ทางอาณาจักรศรัทธานิรันดร์ได้ส่งทหารที่อยู่ในระดับจิตเทวะเข้ามาในสนามรบ การปะทะเลยรุนแรงขึ้น และความเสียงหายเลยมากขึ้นขอรับ”
“อืม...” แดนตอบและทานอาหารต่อโดยไม่ได้ถามถึงเรื่องของอาณาจักรอีก เพราะเขาเองก็มีปัญหาของตัวเองอีกมากให้ต้องจัดการ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ แดนก็เดินออกจากจวน เขาหาที่ลับตาคนก่อนจะใช้สกิลปลอมตัวเพื่อปิดบังรูปลักษณ์ที่แท้จริง จากนั้นแดนก็มุ่งหน้าเดินไปยังสลัม ที่ที่ชนชั้นล่างสุดของอาณาจักรอาศัยอยู่
อาณาจักรรุ่งอรุณนั้นถูกปกครองด้วยระบบชนชั้น ไล่จากชนชั้นสูง, ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง และระดับชั้นของผู้คนนั้นจะถูกกำหนดตั้งแต่วันที่เขาเกิดมา โดยจะใช้สถานะทางสังคมของพ่อแม่เป็นหลัก ถ้าโชคดี ชนชั้นล่างบางคนก็จะสามารถเติบโตและเข้าไปสร้างคุณงานความดีในกองทหารได้ หรือประสบความสำเร็จในการค้าจนมั่งคั่ง พวกเขาก็จะได้รับการเลื่อนชนชั้นไปเป็นชนชั้นที่สูงขึ้น แต่โอกาสที่จะเกิดเร่องแบบนี้ขึ้นนั้นก็มีน้อยมากๆ ทำให้ประชากรในสลัมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้มีการเกิดเหตุอาชญากรรมแทบจะไม่เว้นวัน เพราะเหตุนี้ เหล่าชนชั้นอื่นจึงหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคมกับคนชนชั้นล่าง ทำให้คนชนชั้นล่างเกลียดพวกคนชนชั้นที่สูงกว่าอย่างมาก และนี่จึงเป็นเหตุผลให้แดนต้องปลอมตัวเวลามาที่สลัม
เมื่อแดนมาถึงกำแพงแบ่งเขตระหว่างชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง กลิ่นเน่าเหม็นของอุจจาระและปัสสาวะก็โชยมาเตะจมูกแดนทันที แต่ด้วยความทรงจำของเจ้าของร่างคนเก่าที่เคยอาศัยอยู่ในสลัมเมื่อสมัยเด็กๆ จึงทำให้แดนเริ่มจะปรับตัวได้ เขารีบเรียกสติกลับคืนมา และค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในสลัม
ผู้คนต่างยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างและมองไปยังแดนด้วยความสนใจ แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าบุรุษที่เดินเข้ามานั้น ท่าทางจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร พวกเขาจึงเลิกสนใจและกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ
การมาสลัมของแดนครั้งนี้ เขาไม่ได้มาดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่เพียงอย่างเดียว แต่เขาตั้งใจมาหาคนที่เหมาะสมเพื่อจะเอาไปเลี้ยงดูอีกด้วย คนที่ขยันขันแข็ง และมาจากชนชั้นล่างสุดของสังคม
แดนเดินต่อประมาณ 5 นาทีก่อนที่เขาจะมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหารสตรีทฟูดแห่งหนึ่งที่มีกลิ่นของเนื้อทอดและผักต้มลอยออกมา ทันทีที่แดนเดินเข้าไปในร้าน หญิงสาวอายุ 20 กลางๆ ท่าทางใจดีก็เดินออกมาต้อนรับแดนด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีต้อนรับค่ะ”
“ขอปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้แก้วนึง”
แดนพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและเดินไปนั่งที่โต๊ะ ไม่กี่อึดใจ หญิงสาวคนเดิมก็เดินถืออาหารมาเสิร์ฟ
แดนมองที่น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ที่อยู่บนโต๊ะพลางคิดถึงชีวิตก่อนของเขา เขาดีใจเหลือเกินที่เมนูนี้มีอยู่ที่โลกนี้ด้วย
เมื่อแดนทานอาหารเสร็จ เขาจ่าย 2 ทองแดงให้แก่หญิงสาว แต่แดนยังไม่จากไปในทันที เขากลับนั่งอยู่เฉยๆ ถอนหายใจและผ่อนคลาย หญิงสาวเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรแดน เธอยังคงฮัมเพลงเบาๆ และรอต้อนรับลูกค้าคนต่อไป
สองชั่วโมงผ่านไป ในร้านอาหารก็ยังไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากแดน บรรยากาศยังเงียบสงบเช่นเดิมจนกระทั่งชั่วโมงถัดมา แดนยืนขึ้นและเดินออกไปที่หน้าร้าน หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงเดินตามแดนไป
“ขอบคุณมากๆ นะคะ ไว้วันหลังมาอีกนะคะ...”
ยังไม่ทันที่แดนจะก้าวออกจากร้าน เสียงไอของเด็กสาวก็ดังขึ้นข้างหลังแดน
“จูเลียท เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงสาวพูดก่อนจะรีบโน้มตัวไปดูอาการของเด็กหญิงวัย 9 ขวบที่ผอมจนหนังติดกระดูก ปากและผิวทั้งตัวของเธอมีสีขาวซีดอันเกิดมาจากการที่ไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
แดนหันกลับไปมองภาพตรงหน้า หญิงสาวมองไปที่หน้าเด็กน้อยอย่างหมดหวัง ที่ตาของเธอเริ่มมีน้ำตาคลอ
แดนเห็นดังนั้น เขาก็อดสงสารไม่ได้ แดนจึงเดินเข้าไปหาสองแม่ลูก จากนั้นเขาเอามือขวาของเขาวางบนหลังของเด็กน้อยเพื่อหยุดอาการไอ นี่เป็นเทคนิคที่เขาเคยร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยก่อน
ทันใดนั้น อาการไอของเด็กสาวก็หายไปและสีหน้าของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวผู้เป็นแม่เห็นเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอทำได้เพียงกล่าวขอบคุณชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น
แดนโบกมือพร้อมกล่าว
“อย่าใส่ใจเลย ข้าเพียงแต่สงสัยว่า... พ่อของเจ้าไปไหนล่ะเด็กน้อย”
เมื่อหญิงสาวได้ยินดังนั้น เธอก็มีสีหน้าที่หดหู่ลงทันที เธอพาลูกและแดนเข้าไปในร้าน ก่อนจะเริ่มพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับสามีเธอ
“สามีดิฉันตายในสงครามน่ะค่ะ”
คำพูดของเธอนั้น เรียบง่ายแต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง เพียงแค่ประโยคเดียวที่เธอพูดออกมา ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของคนชั้นล่างส่วนให้ ที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพื่ออาณาจักรกันอย่างว่าเล่น
“แล้วอาณาจักรไม่ได้จ่ายเงินชดเชยให้พวกเจ้างั้นเหรอ”
แดนยกคิ้วขึ้น หญิงสาวส่ายหัวและตอบแดนกลับ
“จ่ายเจ้าค่ะ แต่มันยังไม่มากพอที่จะพาพวกเราจะย้ายออกจากสลัมได้”
จำนวนเงินที่ใช้สำหรับเปลี่ยนไปเป็นชนชั้นกลางก็คืออย่างน้อย 1 ล้านเงิน หรือ 1 แสนทอง
แดนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาหยิบเหรียญออกมาจากเสื้อคลุมแล้วยื่นให้หญิงสาวเยื้องหน้า
“พรุ่งนี้ไปหาข้าที่จวนตระกูลลองกินุสแล้วยื่นเหรียญให้พ่อบ้านที่ชื่อจอร์จ เขารู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ”
คำพูดของแดนดังก้องอยู่ในจิตใจของหญิงสาว เธอยื่นมือออกมารับเหรียญจากแดน พร้อมทั้งจ้องมองที่เหรียญในมือของเธอก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ หยดลงมา
เหรียญหยกที่อยู่ในมือเธอนี้อาจจะดูเรียบง่าย แต่ทว่าตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลลองกินุสที่อยู่บนเหรียญนั้นมีค่ามหาศาล ด้วยอำนาจของมัน ทำให้ผู้ถือครองสามารถเดินทางไปได้ทั่วทุกที่ในอาณาจักรโดยได้รับการยกเว้นจากพระราชวังหลวงนั่นเอง
เมื่อแดนกลับมาถึงจวนของตระกูล พ่อบ้านจอร์จก็เดินเข้ามาหาเขาทันที
“นายน้อยขอรับ นายท่านรอพบนายน้อยอยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”
แดนแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะผงกหัวให้จอร์จ และเดินไปยังห้องหนังสือเพื่อพบบิดา
เมื่อแดนเข้ามาในห้องหนังสือ แดนก็เห็นพ่อของเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด จ้องมองมาที่แดนพร้อมยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าก็เก่งเหมือนกันนะ เจอ 3 รุม 1 แบบนั้นแล้วยังรอดมาได้”
เซเลบัสพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แดนยิ้มแหย๋และมองไปที่พ่อของเขา
‘ทักษะการปกปิดกลิ่นอายของท่านพ่อยอดเยี่ยมมาก ถึงขนาดที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบได้...’
“ตาแก่! ถ้ารู้แล้วก็หยุดแกล้งกันซะที เข้าเรื่องได้แล้ว”
เมื่อเซเลบัสเห็นท่าทีของแดนก็หลุดขำออกมายกใหญ่ ทำให้แดนได้แต่มองบนกับความปัญญาอ่อนของพ่อเขา
“เจ้านี่หลอกคนอื่นเค้าไปทั่วเลยนะ”
ท่าทางของเซเลบัสเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาเอามือทั้งสองข้างประกบกันและพูดว่า
“เอาล่ะ... หยุดเรื่องล้อเล่นไว้เพียงเท่านี้ก่อน ในเมื่อเจ้าก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว... เจ้าสนใจจะเข้ากองทัพโลหิตเพลิงของข้าไหมล่ะ?”
สีหน้าของแดนเปลี่ยนเป็นจริงจัง จ้องมองพ่อของเขาอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ในเมื่ออยู่เฉยๆ มันก็ไม่มีอะไรให้ทำอ่ะนะ จะลองเข้าไปดูหน่อยก็ได้...”
แดนรู้ดีว่าวิธีเดียวที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเขาได้ก็คือประสบการณ์ในสนามรบจริงๆ การต่อสู้กันจริงๆ แบบเอาเป็นเอาตาย และเพื่อที่จะอยู่รอดในโลกใบนี้นั้น สิ่งเดียวที่แดนต้องการ นั่นก็คือความแข็งแกร่ง!