AS ตอนที่ 4 - เรียกร้องค่าเสียหาย
เช้าวันถัดมา แดนเดินออกจากห้องของเขาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขจากเหตุการณ์ที่เพิ่งพบมาเมื่อคืน ในขณะนั้นเอง แดนพลันได้ยินเสียงชายวัยกลางคนตะโกนลั่นขึ้นมา ทำให้เขาหยุดชะงักลงขณะก้าวเท้าเข้าห้องโถง ไม่นานเสียงโมโหของพ่อเขาก็ดังขึ้นตอบโต้ เสียงทั้งสองดังมาทางสวนหลังคฤหาสน์ แดนขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะมุ่งหน้าไปตามต้นเสียงเพื่อดูให้กระจ่าง
เมื่อแดนเดินทางมาถึงสวนหลังคฤหาสน์ เขาพบผู้นำตระกูลเบลเทียนและสองพี่น้องที่เพิ่งพบเมื่อวานกำลังจ้องหน้าพ่อของเขาด้วยแววตาตาเศร้า
“ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าลูกชายของเจ้ามันตัณหากลับขนาดไหน ข้าเพียงต้องการค่าทำขวัญให้กับลูกสาวข้าที่ถูกลูกชายเจ้าย่ำยีจิตใจก็เท่านั้น!”
ชายหนุ่มยืนบังหญิงสาว แดนสังเกตสายตาเย็นชาของชายหนุ่มที่จ้องมองมายังเขา มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยันดูถูก
“ถูกย่ำยีจิตใจ? เจ้ารู้บ้างไหมว่าบาดแผลที่ลูกชายข้าได้รับมันเจ็บปวดแสนสาหัสแค่ไหน! นี่หากว่าข้าไม่ใช้เงินกว่าสี่ส่วนของตระกูลไปกว้านซื้อยามารักษาเขา เขาก็คงไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้อีก!”
“แล้วไงล่ะ? ตอนนี้ลูกชายเจ้าก็ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ทว่าลูกสาวข้ายังคงถูกฝันร้ายที่ลูกชายเจ้าเป็นคนก่อตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืนวัน ถ้าจะต้องมีคนรับผิดชอบมันก็ต้องเป็นลูกชายเจ้าไม่ใช่หรือเซเลบัส!”
“ฝันร้ายบิดาเจ้าน่ะสิ นี่เจ้าล้อข้าเล่นอยู่รึไง!”
“เจ้าหาว่าข้าโกหกงั้นเหรอ!”
ทั้งสองยังคงโต้เถียงกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แถมความรุนแรงยังทวีเพิ่มขึ้น แดนส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดแทรกขึ้นมา
“ท่านพ่อ ไม่เป็นไรหรอก เพียงแค่เราจ่ายค่าทำขวัญให้พวกเขาก็จบเรื่องแล้วนี่”
เซเลบัสจ้องมองแดนที่พูดอกมาด้วยความสุขุมด้วยความแปลกใจ
ซาคาเรียสไม่คาดคิดมาก่อนว่าแดนจะเป็นคนตาขาวได้ขนาดนี้ เขาดูถูกแดนอยู่ในใจ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่เซเลบัสและกล่าว
“เจ้าต้องชดใช้ลูกสาวข้าด้วยโอสถระดับปฐพีชั้นสูงเป็นอย่างน้อย!”
เซเลบัสโกรธเมื่อได้ยินดังนั้นเขาขมวดคิ้วก่อนจะตะโกนกล่าว
“สารเลว! ฝันไปเถอะว่าข้าจะให้โอสถระดับปฐพีชั้นสูงแก่เจ้า!”
อย่างที่ทราบกันดีว่าระดับของโอสถนั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับมนุษย์ ระดับปฐพีและระดับสวรรค์ ลำพังแค่โอสถระดับมนุษย์ก็มีค่ามากแล้ว โอสถระดับปฐพีย่อมมีค่ามากกว่าหลายสิบเท่า
“ดี! ถ้าเจ้าไม่ยอมล่ะก็...”
ซาคาเรียสสะแหยะยิ้มในใจ สาเหตุที่เขาเรียกร้องโอสถระดับปฐพีขั้นสูงที่มีมูลค่ามหาศาลนั้น เพราะเขามั่นใจว่าเซเลบัสไม่มีทางที่จะมอบของล้ำค่าเช่นนั้นให้กับเขาอย่างแน่นอน
สายตาของเขาเปลี่ยนมามองที่แดน
“เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ? ถ้าเจ้ายอมให้ลูกชายของเจ้ามาเป็นบริวารที่ตระกูลของข้าสักเดือนนึง เจ้าจะว่าอย่างไร?”
“เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นเหรอ ซาคาเรียส!”
เซเลบัสไม่สามารถเก็บความโกรธและความละอายที่มีในใจไว้ได้จึงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างพลั้งตัว ซาคาเรียสได้แต่แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
“ดูถูก? ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกใครจะกล้าดูถูกท่านนายพลผู้เกรียงไกรกันล่ะ จริงไหม?”
สองพี่น้องที่ยืนสังเกตการณ์มาตลอดพวกเขาต่างก็จ้องมองแดนด้วยสายตาประสงค์ร้าย แดนเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของพ่อ โดยสายตาของเขาจ้องไปยังชายกหนุ่มเบื้องหลังซาคาเรียส ก่อนจะพูดว่า
“นายน้อยแห่งตระกูลเบลเทียน ไม่ทราบว่าเมื่อคืนเจ้าได้ทำความสะอาดร่างกายหรือเปล่า?”
สิ้นคำถามของแดนทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตัวแข็งทื่อ เซเลบัสไม่อาจระงับความโกรธที่ทวีขึ้นอย่างถึงขีดสุด เขาจึงหันไปตวาดใส่แดน
“นี่เจ้าพล่ามอะไรออกมาน่ะแดน! หากเจ้ากำลังทำให้พวกเราขายหน้า เจ้าก็กลับไปซะ!”
ชายหนุ่มจ้องมองมาที่แดนด้วยความสงสัย เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มนั้น แดนก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า
“นั่นมันไม่ดีเลยนะ เจ้าควรจะทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด ๆ หลังจากทำกิจกรรมที่เสียเหงื่อมาเยอะ ๆ เมื่อคืนน่ะ เอ...ที่ไหนนะ อ๋อ ที่ป่าแห่งความโดดเดี่ยวใช่มั้ยเอ่ย น-า-ย-น้-อ-ย?”
แดนจงใจลากเสียงให้ยาวขึ้นในท่อนสุดท้าย เขาจ้องมองไปที่สองพี่น้อยด้วยแววตาที่เป็นประกาย นอกจากนี้ เขายังหยิบหยกบันทึกภาพออกมาถือไว้อีกด้วย
สองพี่น้องต่างจ้องมองมาที่แดนด้วยความหวาดกลัว ซาคาเรียสที่สังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จึงหันไปถามลูกของเขา
“มันเกิดอะไรขึ้น? อะไรคือกิจกรรมที่เสียเหงื่อ? เจ้าปิดบังอะไรข้ารึเปล่าเอียน!”
“ท่านพ่อ... เรากลับกันเถอะ...”
เอียนพูดอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอัปยศอดสู่ หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังเขามีใบหน้าที่ซีดเผือก เธอยืนตัวสั่นในขณะที่จ้องไปที่หยกบันทึกภาพในมือของแดน ด้วยน้ำเสียงของแดนที่พูดออกมานั้น เธอมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าแดนรู้เรื่องเมื่อคืน มิหนำซ้ำยังแอบบันทึกภาพเอาไว้ด้วย
คิ้วของซาคาเรียสขมวดขึ้นทันทีเมื่อเห็นความลนลานที่อยู่ในจิตใจของลูกชายเขา เขาผงกหัวอย่างเข่งขรึม ก่อนที่จะใช้สายตาอันดุร้ายจ้องไปยังแดนและเซเลบัสที่ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก จากนั้น พวกเขาทั้งสามคนก็ได้จากไปอย่างรวดเร็ว