GE250 ผนึกวิญญาณ [ฟรี]
เมืองทะเลทรายทางเหนือ แสงสีทองอาบไล้พื้นที่กว้างหลายพันลี้
หากผู้ที่แข็งแกร่งจะมองออกว่า แสงสีทองนั้นคือรถเพลิงทองคำที่รวดเร็วเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญกึ่งตัดวิญญาณ
มันมีเพลิงสีทองลุกโหมรอบคัน ดูงดงามและยิ่งใหญ่ ผู้ที่จะควบคุมมันได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด และต้องเป็นผู้ที่ควบคุมเพลิงได้เป็นอย่างดี
ซึ่งในเมืองทะเลทรายตอนนี้แห่งนี้ มีเพียงผู้เดียวที่สามารถขับรถคันนี้ได้ คือนักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 ประจำเมือง ลู่เฉิงได้สั่งการให้มันมาขับรถให้หนิงฝาน
“รถเพลิงทองคำนี่ดีจริงๆ”
หนิงฝานกล่าวชม การที่ตนได้ครอบครองโลหิตของเผ่าพันธุ์จักรพรรดิ ทำให้เหล่านายกองอสูรในความสำคัญ
ระหว่างทางที่รถเคลื่อนผ่าน อสูรที่มองต่างมองด้วยความชื่นชม
เมื่ออยู่หน้าผู้ที่ครอบครองโลหิตของเผ่าพันธุ์จักรพรรดิ หากไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน คงยากจะสงบใจ
“ท่านเป่ย… งานทดสอบเพื่อเป็นนายกองอสูรยังไม่เริ่ม ดูเหมือนเราจะมาเร็วเกินไป...”
หนิงฝานพยักหน้าให้คนขับและหันกลับไปมองข้างหลัง แววตาแปรเปลี่ยนเย็นชา
“ดูเหมือนจะีหลายคนที่ต้องการจับค่าไปแลกค่าหัว… โลหิตของเผ่าพันธุ์จักรพรรดิช่างเป็นที่ต้องการจริงๆ”
หนิงฝานเข้าไปในรถ
หากมองจากข้างนอก รถที่เพลิงทองคำมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มันมีลักษณะเป็นเหมือนรถม้า ข้างหน้ามีที่นั่งสำหรับคนขับ แต่เมื่อเข้าไปภายใน มันกลับกลายเป็นพระราชวังทองคำขนาดใหญ่ ที่มีห้องให้พักอาศัยมากมาย
รถเพลิงทองคำคือสมบัติที่อยู่อาศัย ลู่เฉิงเป็นผู้มอบให้หนิงฝานเพื่อเป็นของขวัญ
แม้จะเป็นสมบัติที่อยู่อาศัย แต่ด้วยพื้นที่ของมันมีจำกัด จึงใช้ในการพักอาศัยได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
สมบัติชิ้นนี้ ลู่ตู้เฉินเป็นผู้สร้าง หากเทียบความรอบรู้ บางทีลู่ตู้เฉินอาจเทียบได้กับตงสู่แห่งทะเลส่วนใน
หากหนิงฝานจำไม่ผิด รถเพลิงทองคำคันนี้ คล้ายกับรถศึกในลานสวรรค์โบราณ
“ลานสวรรค์โบราณ… ลู่ตู้เฉินอาจเคยไปลานสวรรค์โบราณ แม้ที่นี่ไม่ได้มีเส้นทางเชื่อมต่อ แต่สมควรเกี่ยวข้องกันสักทาง”
“ที่ลู่ตู้เฉินถึงกับฝากรถคันนี้กับลู่เฉิงมาให้ข้า สมควรมีบางสิ่งแอบแฝง...”
“เข้าไปเมืองหลวงก็คงรู้เอง… ถึงที่นั่นไม่เหมาะให้ยกระดับปราณ แต่ก็เหมาะกับการปรุงโอสถ”
หนิงฝานเดินเข้าวัง แต่ไม่ได้ตรงไปห้องปรุงโอสถทันที เขามุ่งไปศาลาที่ใช้เสริมความสามารถสมบัติก่อน
เผ่าปีศาจเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาเสริมความสามารถสมบัติให้กับเผ่าอสูร เรียกวิชานั้นว่า ‘วิชาสลักวิญญาณ’
ลู่ว่านเอ๋อร์เองก็ได้เรียนรู้วิชานั้นเหมือนกัน
แม้นางจะเป็นสตรี แต่นางเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญวิชาเสริมความสามารถสมบัติ และระดับวิชาของนางก็บรรลุระดับสูง
นางนับเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาเสริมความความสามารถสมบัติที่มีชื่อเสียง
แต่การที่นางอยากเดินทางออกเมือง ราวกับมีเหตุผลบางอย่าง
หนิงฝานผลักประตูเข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง ในนั้นมีลู่ว่านเอ๋อร์นั่งอยู่หน้ากระถางขนาดใหญ่ ภายในห้องดูสกปรก
ยามนี้นางกำลังตั้งใจควบคุมความร้อนในกระถาง ยามนี้ นางกำลังเสริมความสามารถให้สมบัติของหนิงฝาน หากเทียบกับในอดีตที่นางเคยทำ ยามนี้นางตั้งใจเป็นอย่างมาก
เมื่อนางรู้ตัวว่าหนิงฝานเข้ามา นางรีบเช็ดหน้าและลุกยืนอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยนางอยู่นั้นมานานหลายวัน พอลุกยืน ขาของนางจึงสั่นจนเกือบล้ม
หนิงฝานก้าวไปเบื้องหน้า เข้าประชิดตัวนางและประครองนางไว้
“เหนื่อยเจ้าแล้วว่านเอ๋อร์ ที่สภาพเจ้ามอมแมมขนาดนี้ก็เพราะข้า”
“อืม… ที่ข้าเป็นแบบนี้ก็เพราะตั้งใจเสริมความสามารถให้สมบัติของเจ้า...”
นางไม่ได้ขัดขืนที่หนิงฝานโอบประครอง นางเองก็จับหนิงฝานไปปล่อยเหมือนกัน
ในขณะที่นางกำลังจะเอื้อมมือหยิบผ้ามาเช็ดหน้า หนิงฝานกลับฉวยผ้าขึ้นมาก่อน
“ข้าช่วย”
หนิงฝานยิ้มพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน
นางหัวใจเต้นรัวและเร่งกล่าว
“เจ้าเป็นผู้ครอบครองโลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิ เจ้าจะมาเช็ดหน้าให้อสูรธรรมดาอย่างข้าได้ยังไง? หากผู้อาวุโสรู้เข้า เจ้าจะถูกลงโทษเอา...”
เผ่าอสูรมีการจัดลำดับขั้นที่คล้ายกับมนุษย์ แบ่งออกเป็นระดับต่างๆที่เหมือนกัน แต่ที่แตกต่างคือมีการนำระดับโลหิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นหมายความว่า เผ่าพันธุ์อสูรให้ความสำคัญยศศักดิ์มาก
หนิงฝานปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิได้ในการปลุกโลหิตครั้งที่ 2
หากได้ปลุกโลหิตครั้งที่ 3 โลหิตของหนิงฝานจะยกระดับไปอีกขั้น ลำดับชั้นของเขาก็จะสูงขึ้น
อสูรระดับหนิงฝาน ไม่ใช่ผู้ที่ว่านเอ๋อร์จะสมใกล้ชิด เพราะอาจเป็นการนำปัญหามาสู่ตนเองและหนิงฝาน
“มีอะไรต้องกลัว… ข้าเป็นถึงอสูรเผ่าพันธุ์จักรพรรดิ อีกอย่างผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์ข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่มีใครทำโทษข้าหรอก”
หนิงฝานยิ้ม
ในอดีตเผ่าฟู่ลี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียง แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ถูกล้างสังหารเผ่าพันธุ์
เหตผลเป็นเพราะอะไรนั้นหนิงฝานไม่รู้
เขารู้แค่เพียงว่าโลหิตของเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่นั้นแข็งแกร่ง เพราะแต่ในดินแดนวิญญาณอสูรเบื้องบน จะไม่มีเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่คอยหนุนหลังเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ
แม้ยามนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่คืออะไร แต่ด้วยการปลุกโลหิตระดับนั้นได้ สมควรเป็นถูกเลือกจากสวรรค์ จึงไม่มีอสูรตนใดกล้าช่วงชิงโลหิตของหนิงฝาน
เรื่องทั้งหมดนั่นลู่ว่านเอ๋อร์ไม่ทราบ ตอนนี้นางรู้สึกเพียงว่าหัวใจของนางเต้นรัว นางดูราวกับสาวน้อยแรกแย้มที่เพิ่งเคยสัมผัสกายบุรุษ
นางรู้แค่ว่า หนิงฝานที่ครอบครองโลหิตที่ทรงพลัง ในอนาคตก็จะยิ่งทรงพลัง จนกลายเป็นอสูรที่โดดเด่น
แต่ยิ่งขบคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย
หนิงฝานปล่อยนางและคืนผ้าเช็ดหน้าให้ เขาหันมองกระถางขนาดใหญ่ของนางที่ตั้งอยู
ดวงตาหนิงฝานเป็นประกาย เขามองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
หนิงฝานเห็นเพลิงที่รุนแรง เห็นอักขระมากมายถูกสลักไว้ภายเตา เพื่อเร่งและรักษาระดับของความร้อน
เดิมทีวิชาเสริมความสามารถอาวุธนั้นเป็นวิชาของเผ่าอสูร
แม้มนุษย์จะมีวิชาเสริมความสามารถให้สมบัติ แต่วิชานั้นย่อมไม่อาจเทียบได้กับวิชาของเผ่าพันธ์อสูร
“ลู่เป่ย เจ้าอยากเสริมความสามารถให้กับสมบัติชนิดไหน… ตอนนี้ข้าพอมีโลหะวิญญาณทั่วไปกับตัว โลหะวิญญาณระดับตัดวิญญาณก็พอมี”
ในอดีต นางจำได้ว่าลู่เป่ยมีหอกเป็นอาวุธคู่กาย แต่หอกนั่นก็เป็นเพียงสมบัติวิญญาณระดับสูง และใช้โลหะวิญญาณทั่วไปเสริมความสามารถ
หากหนิงฝานต้องการสิ่งใด นางทุ่มให้ได้ทุกสิ่ง
แต่ยามนี้ นางก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะหนิงฝานนำเอาแส้อัสนีของตนออกมา
“นี่มัน...” ดวงตานางเบิกกว้าง อัสนีที่แผ่ออกมาจากอาวุธทำให้นางหวาดกลัว
หากนางดูไม่ผิด แส้ของหนิงฝานสมควรเป็นสมบัติระดับสูงสุด
“เจ้ามีสมบัติดีๆแบบนี้ไม่เห็นบอกกันบ้าง ทำอย่างกับข้าเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”
แต่เมื่อนางมองแส้อัสนีของหนิงฝานอย่างละเอียด สีหน้านางแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
“นี่มัน… เอ็นมังกรอัสนีโบราณ! ลู่เป่ย เจ้าสังหารเผ่าพันธุ์โบราณเหรอ? แย่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา!”
นางเริ่มเป็นห่วงหนิงฝาน
เมื่อเห็นว่านางเป็นห่วงเป็นใย หนิงฝานก็รู้สึกอบอุ่น และลูบศีรษะนาง
“ข้าไม่ได้ฆ่ามันหรอก แค่ดึงเอาเอ็นของมันออกเท่านั้น… แต่ถึงต่อให้สังหารมันไป ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
นางมองหนิงฝานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“จำไว้นะ ว่าอย่าได้สังหารคนของเผ่าพันธุ์จักพรรดิ เพราะนั่นจะทำให้เจ้ากลายเป็นศัตรูของพวกมัน”
นางสงสัยว่าหนิงฝานไปดึงเส้นเอ็นมังกรมาจากไหน เพราะในดินแดรแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดปลุกโลหิตของมังกรอัสนีโบราณได้ เช่นนั้นแล้ว หนิงฝานไปเอามาจากไหน!
อีกอย่าง ลู่เป่ยแข็งแกร่งพอที่จะดึงเส้นเอ็นมังกรออกมาได้แล้วเหรอ?
นางรับแส้มาจากมือหนิงฝานก่อนจะอุทาน “ดาราโบราณ… นี่มันอาวุธเทพโบราณ!”
ความฝันของนางคือได้เสริมความสามารถให้กับอาวุธเทพโบราณ
อาวุธล้ำค่าขนาดนี้ ไม่มีที่ใดในแดนสองมีคนครอบครอง
นางเขย่งปลายเท้า ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆหนิงฝาน จนเมื่อยามที่สัมผัสลมหายใจของกันได้ นางจองเข้าไปในดวงตาหนิงฝาน และรู้ว่าเขาไม่ได้พยายามจะปิดบัง
นางไม่เข้าใจ...
ยามนี้ นางที่ถือแส้ไว้ในมืออยากจะสัมผัสมัน แต่ในยามนั้นเอง หนิงฝานก็กล่าวถามบางอย่าง
“ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการเสริมความสามารถให้สมบัติ เจ้าคิดยังไงกับแส้สังหารเทพในมือ?”
“แส้สังหารเทพ… เป็นอาวุธที่ไม่ธรรมดา วิธีการหลอมสร้างไร้ที่ติจนทำให้ข้าอับอาย ข้าอยากจะพบผู้ที่สร้างมันจริงๆ...” นางกล่าว
“งั้นเหรอ...”
หนิงฝานตกตะลึง
หนิงฝานแค่หลอมสร้างอาวุธไปตามความทรงจำขงอจักรพรรดิสวรรค์ ซึ่งอย่างน้อย ระดับความสามารถน่าจะเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญวิชาเสริมความสามารถให้สมบัติในขอบเขตไร้ดัดแปลง
นั่นจึงทำให้นางกล่าวชมออกมาจากใจ
“ว่าแต่… ทำไมเจ้าถึงไม่ผนึกวิญญาณเพื่อยกระดับอาวุธเจ้า...”
“ผนึกวิญญาณ?” หนิงฝานประหลาดใจ
“เจ้าลองเขาหอกเก่าๆของเจ้าออกมาดูสิ” นางยิ้มพลางกล่าว
หนิงฝานนำหอกของลู่เป่ยออกมาและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
แม้มันจะดูเหมือนหอกเก่าๆธรรมดา แต่เมื่อดูดีๆก็จะเห็นความพิเศษ
หากเป็นคนทั่วไปจะมองจะคิดว่าหอกเล่มนี้เป็นหอกเก่าๆ แต่หากเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องการหลอมสร้างจะมองเห็น
“นี่เหรอ?”
หนิงฝานโคจรปราณไว้ที่ปลายนิ้วและถ่ายเข้าไปในหอก
หอกเก่าๆเริ่มเปล่งแสง อักษรเผ่าอสูร 3 ตัวปรากฏขึ้นช้าๆ
หนิงฝานเคยเห็นอักษรทั้ง 3 นั้น วายุ… แหลมคม… รวดเร็ว!
ตัวอักษรเหล่านั้นทำให้หอกทรงพลังขึ้น
“นี่เหรอผนึกวิญญาณ?” หนิงฝานกล่าว
หนิงฝานประหลาดใจว่าเหตุใดอักษรเพียง 3 ตัวถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงไปมากขนานี้
แต่ตอนนี้หนิงฝานเริ่มเข้าใจ เพราะอักษรอสูรแต่ละตัวมีพลังเป็นของตน
หากหนิงฝานสลักอักษรเข้าไปหลายตัว อาวุธคงจะทรงพลังขึ้นมา
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหาตำแหน่งที่ลงผนึกไปเจอ… ทักษะการหลอมสร้างของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ”
นางประหลาดกับความสามารถของหนิงฝาน แต่เขากลับไม่รู้จักวิชาผนึกวิญญาณ
แต่หากเขาไม่มีทักษะการหลอมสร้างที่ไม่ธรมดา เหตุใดเขามองออกว่าตำแหน่งที่ผนึกวิญญาณอสูรที่ไหน
เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ หนิงฝานเป็นตัวตนที่ลึกลับ...