GE249 สิ่งที่อยู่ในใจว่านเอ๋อร์ [ฟรี]
เผ่ารอยแยกพิภพได้ประกาศไปทั่วทั้งเพิ่มรางวัลค่าหัวของลู่เป่ยเป็น 100 ล้านหยกสวรรค์
“สังหารลู่เป่ยได้ 100 ล้านหยกสวรรค์!”
การตั้งค่าหัวสูงขนาดนี้แสดงให้เห็นว่า เผ่ารอยแยกพิภพมีความแค้นและให้ความสำคัญกับลู่เป่ยมากขนาดไหน และรางวัลจำนวนนี้ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงยังต้องหวั่นไหว
เผ้าลั่นหยุนเองก็เคลื่อนไหว นายกองระดับสูงอย่างลู่ตู้เฉิน สั่งการให้ลู่เฉิงคุ้มกันลู่เป่ยมายังเมืองหลวงเพื่อรับการทดสอบเป็นนายกองคนใหม่
ขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น สามารถปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิได้ สมแล้วที่ได้ค่าหัวถึง 100 ล้านหยกสวรรค์
ด้วยของล่อใจ เหล่าทหารอสูรจำนวนมากได้ลอบจู่โจมเมืองทะเลทรายตอนเหนือของเผ่าลั่วหยุน เพื่อต้องการลอบสังหารลู่เป่ย
หลังจากการปลุกโลหิตผ่านไปหนึ่งเดือน ยามนี้ ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่เป่ย
เผ่าลั่วหยุนต้องซ่อนตัวลู่เป่ยไว้แน่
แต่นั่นไม่เป็นความจริง เพราะตอนนี้ หนิงฝานเก็บตัวอยู่ในโลกหยวนเหยาของตน เพื่อทำให้ระดับใหม่ของปราณอสูรเสถียร
ข้างกายมีทหารศิลาและศพนางสวรรค์คอยคุ้มกันจากสาวน้อยนางหนึ่งที่ถูกกักขังไว้ในนี้ ก่อนหน้านี้ที่นางเห็นหนิงฝานเข้ามา นางตกตะลึงกับแรงกดดันของเขา
สตรีนางนั้นคือเยว่หลิงคง เป็นสตรีที่ที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในทะเลส่วนใน เป็นผู้ฝึกวิชาจันทร์กระจ่าง ทำให้นางคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง
แต่ยามนี้ ทะเลสติของนางพร้อมจะแตกสลายได้ตลอดเวลา นางต้องการบุรุษมาเป็นกระถางขัดเกลา เพื่อรักษาทะเลสติของนางไว้
และหนิงฝานคือตัวเลือกของนาง
“เด็กน้อย ข้าคิดอยู่นานนมจนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุป...” นางขบฟันกล่าว
“โทษทีนะ… ข้าไม่มีว่างมาเล่นกับเจ้า...”
หนิงฝานลุกยืน บิดกาย พลางยิ้มให้นาง
หนิงฝานไม่ได้เร่งร้อนเรื่องดูดซับพลังของนาง เพราะยิ่งทะเลสติของนางใกล้พังทะลาย ก็เป็นประโยชน์กับเขายามที่ต้องดูดซับพลังนาง
อีกอย่าง ยามนี้หนิงฝานได้กลายเป็นคนของแดนอสูรอย่างเต็มตัว จึงยังไม่จำเป็นต้องดูดซับพลังของนางยามนี้
“นี่เจ้า! ข้าอุตส่าห์เอ่ยปาก แต่เจ้ากลับกล้าปฏิเสธ!”
“งั้นก็ยอมเป็นกระถางขัดเกลาของข้า และยกเกาะมิติเทพให้ข้าสิ!” หนิงฝานกล่าว
“ฝันไปเถอะ! ข้าอุตส่าห์ให้เกียรติเจ้ามาเป็นกระถางขัดเกลาข้า… ถ้ากระถางขัดเกลาคู่กายข้าไม่ตาย ข้าคงไม่สนใจเด็กผอมกระหร่องเหมือนเจ้าหรอก!”
“ก็นะ… ถึงเจ้าจะเป็นเยว่หลิงคุนผู้ยิ่งใหญ่ แต่นั่นก็ในอดีต หากเรือนร่างเจ้าเหมือนในอดีตคราวนั้น ข้าอาจจะยอมร่วมรักกับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไป!”
“เจ้า!” นางโกรธมาก แต่นั่นกลับทำให้ทะเลสติของนางปั่นป่วน ปราณไม่อาจโคจร
ใบหน้านางซีดขาวไร้โลหิต ดูราวกับหนิงฝานจงใจพูดแบบนี้เพื่อให้นางโกรธ และเร่งการพังทะลายของทะเลสตินางให้เร็วขึ้น
นางไม่อยากเชื่อสายตาว่า การที่หนิงฝานหายตัวไปเพียงตัวครึ่งปี จะทำให้แรงกดดันของเขาเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ได้
ปราณอสูร… หนิงฝานมีปราณอสูร เขาคือเผ่าพันธุ์อสูรที่มีปราณมากกว่า 7000 เกราะ ซึ่งนางเชื่อว่า หนิงฝานต้องมีปราณอสูรมากกว่า 7000 แน่
การที่ปราณอสูรจะบรรลุระดับนี้ได้ในครึ่งปี เป็นเรื่องที่เกินจริง!
และปราณอสูรที่ยกระดับมา ก็มาพร้อมกับโลหิตอสูรที่ถูกปลุก!
ในทะเลส่วนในมีขุมกำลังหลายแห่งที่เป็นของเผ่าพันธุ์อสูร อย่างเช่นวังผนึกอสูร นางเคยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมัน นางมั่นใจว่าต่อให้เป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลส่วนใน ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงระดับโลหิตของหนิงฝานได้
นางไม่รู้ว่าหนิงฝานมีโลหิตระดับใด แต่รู้เพียงว่า ต่อให้อสูรกึ่งไร้ดัดแปลงมายืนข้างกายหนิงฝาน แรงกดดันของมันยังไม่อาจเทียบชั้นหนิงฝานได้
และนอกจากปราณอสูร แรงกดดันที่ไม่ได้เกิดจากปราณ ยังเป็นแรงกดดันในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง
การที่ยังไม่บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ แต่มีแรงกดดันระดับนี้ได้ นับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
และแรงกดดันเท่านี้ หนิงฝานก็สามารถทำอันตรายผู้เชี่ยวชาญบางคนได้แล้ว
“ปราณปีศาจ… เด็กนี่เคยสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ!”
นางขมวดคิ้ว กำหมัดแน่น
การที่สังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ก็หมายความว่าสามารถจัดการกับนางได้...
หนิงฝานกำลังรอให้นางทนไม่ไหว เมื่อถึงยามนั้น ไม่ว่าหนิงฝานจะขออะไร นางก็จะให้ทั้งหมด
“ฮึ่ม! อายุกระดูกแค่นี่แต่กลับร้ายกาจนัก...”
นางรู้ว่าไม่อาจยั่วยุหนิงฝาน จึงเร่งสงบอารมณ์ และนั่งสมาธิ
“สมแล้วที่เจ้าเคยเป็นผู้เก่งกล้า การจะทำให้คนอย่างเจ้ากลัวคงเป็นเรื่องยาก… หากเจ้าได้ขัดเกลาผสาน ข้าอาจจะได้ปราณจากเจ้าส่วนหนึ่ง แต่เจ้าจะฟื้นฟูระดับพลัง บางทีอาจบรรลุตัดวิญญาณขั้นกลาง ไม่ก็ขั้นสูง! เมื่อถึงอย่างนั้นเจ้าคงไม่อยู่ในอาณัติข้า… ข้าต้องรอให้ทะเลสติของเจ้าพังทะลาย...”
หนิงฝานลูบศีรษะศพนางสวรรค์ แววตาเผยความเศร้าโศก เขาห่วงใยนางแต่ก็ทิ้งนางไว้ลำพังหลายเดือน อีกอย่าง เขาไม่อาจหักใจสังหารเซียวหวน แม้เซียวหวนจะมีดวงจิตของศพนางสวรรค์สถิตอยู่
“ข้าขอโทษ… เจ้าคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน แต่ข้ามีคนที่อยากให้เจ้าได้พบ”
“...” ศพนางสวรรค์เผยแววตาโศกเศร้า
“นางมีนามว่ามู่เซียวหวน นางต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับเจ้าได้แน่”
หนิงฝานนำมู่เซียวหวนออกมาจากแหวน
เมื่อพวกนางสองคนได้พบกัน ความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยปรากฏโดยไม่ทราบที่มา คล้ายกับครั้งที่จื่อเฮ่อได้พบกับซื่อหวูเสีย และพวกนางก็สนิทกันมาก
“พวกเจ้าจงดูแลกันนะ...”
เมื่อกล่าวจบ หนิงฝานก็ออกจากโลกหยวนเหยาไป
หนิงฝานปรากฏตัวยังห้องนอนของตน แต่บนเตียง มีสตรีในอาภรณ์ม่วงนางหนึ่งกำลังนิทรา
“นางช่างใจกล้า ถึงกลับกล้ามานอนบนเตียงข้า ใครรู้เข้าคงมองเจ้าไม่ดี...”
หนิงฝานนำผ้าห่มผืนบางห่มคลุมให้นาง ส่วนตนนั่งขัดสมาธิข้างเตียง
ดวงตาข้างซ้ายที่แปรเปลี่ยนจากดาราแห่งป่า มาเป็นดาราอสูร ทำให้ดวงตาของเขาเป็นสีดำเข้ม ความสามารถพิเศษที่ได้มากับดวงตาก็มีหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดเป็นความสามารถของเผ่าฟู่ลี่
หนึ่งในนั้นคือความสามารถในการมองข่ายอาคมลวงตาหรือวิชาอำพรางได้ทะลุปรุโปร่ง
ยามนี้ ปราณอสูรของหนิงฝานบรรลุ 7455 เกราะ หากจะให้ยกระดับอีกคงเป็นเรื่องยาก เว้นแต่จะหาหญ้าเพลิงฟ้ามาเสริมการดูดซับโลหิตสีทองที่ได้มา
หากปราณอสูรบรรลุ 10,000 เกราะ หนิงฝานก็จะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ
“หากจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ ข้าต้องเตรียมโอสถ… กว่าจะได้ไปเมืองลั่วหยุนคงยกระดับปราณได้ยาก อีกอย่าง ข้ายังต้องปรุงโอสถคืนโฉมให้บ่าวของข้าเพื่อเป็นรางวัลที่พวกนางพาข้ามาแดนอสูร… ส่วนโอสถที่ใช้ทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณสำหรับเผ่าอสูร ข้าก็เพิ่งบังเอิญได้ตำรับมา 2 ชนิด แต่โอสถที่ใช้ทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณของมนุษย์อีก 2 ชนิดที่ข้าได้ตำรับมา ก็ใช้กับกับเผ่าพันธุ์อสูรได้ แค่ฤทธิ์ของมันจะลดลงครึ่งหนึ่ง”
“ถ้าบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณแล้ว วิชาอสูรที่เคยใช้ก็จะใช้ไม่ได้อีก คงทำได้เพียงทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้มาจากเผ่าฟู่ลี่… ‘วิชากลืนเงา’ วิชาที่เน้นไปที่การหลบหนีและภาพลวงตา ด้วยปราณของข้าระดับนี้ ผสานกับวิชากลืนเงา ข้าจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเท่ากับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ”
ตาซ้ายหนิงฝานเปล่งประกาย เขามองเห็นชายชราคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่นอกประตูห้อง และชายชราผู้นั้นคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น
แต่เมื่อมันสัมผัสได้ว่าหนิงฝานมองเห็น มันเร่งเคลื่อนย้ายพริบตาหนีห่างออกไปเป็นหมื่นลี้
“จะหนีเหรอ!”
หนิงฝานเย้ยหยันก่อนที่ร่างกายจะกลายเป็นควันสีม่วง เคลื่อนย้ายพริบตาติดตามชายชราคนนั้นไป!
แม้หนิงฝานจะรวดเร็ว แต่ก็เทียบได้แค่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น
ชายชราคนนั้นตกตะลึง มันคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานที่ยังไม่บรรลุตัดวิญญาณจะรวดเร็วขนาดไล่ตามมันทัน มันจึงเคลื่อนย้ายพริบตาหนีออกไปอีก
ทั้งสองไล่ล่ากันอย่างต่อเนื่องกระทั่งเป็นระยะทางกว่าแสนลี้ ชายชราคนนั้นหยุดพักอยู่ยอดเขาแห่งหนึ่งและหันกลับมามองหนิงฝานที่อยู่ด้านหลัง
มันประหลาดใจที่หนิงฝานตามความเร็วมันได้ทัน
มันรอให้หนิงฝานเข้าใกล้ แต่หนิงฝานกลับเว้นระยะห่าง
“นึกว่าใคร… ที่แท้ก็นายกองจิงหยุนแห่งเผ่าเพลิง...”
เมฆเคลื่อนผ่าน แสงจันทร์สาดส่อง เผยให้เห็นบุรุษในชุดเกราะ
หนิงฝานเคยเห็นมันจากความทรงจำของลู่เป่ย
มันเคยเป็นผู้อุปถัมภ์ลู่เป่ยในสมัยก่อน
หนิงฝานมองวิชาอำพรางของมันออก ทั้งยังตามความเร็วของมันได้ทัน ยามนี้ มันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงจากหนิงฝาย… สมแล้วที่ปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์จักรพรรดิได้ ช่างทรงพลังนัก
จิงหยุนรู้จักลู่เป่ยเป็นอย่างดี และลู่เป่ยเบื้องหน้า ไม่เหมือนกับที่มันรู้จัก
“เจ้าไม่ใช่ลู่เป่ยสินะ...”
“ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร...” หนิงฝานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายกับจิงหยุนว่าตนเองเป็นใคร
เขาเพียงต้องการแสดงออก 2 สิ่ง นั่นคือแสดงออกว่าตนเองเป็นอสูร และแสดงออกว่าตนเองภักดีต่อเผ่าลั่วหยุน
นั่นหมายความว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แม้จะนายกองลู่ตู้เฉินจะรู้ว่าเขาไม่ใช่ลู่เป่ย แต่มันสมควรเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
“ฮ่าฮ่า… ข้าคงกล่าววาจาไร้สาระไป เช่นนั้นเชิญน้องลู่เป่ยเข้าที่นี่ก่อน ข้ามีธุระสำคัญจะพูดคุย....”
หนิงฝานเย้ยหยัน “ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบแล้ว ข้ารู้ว่าที่นั่นมีอสูรดวงจิตแรกเริ่มนับร้อย ทั้งยังมีข่ายอาคมตัดวิญญาณระดับสูง… ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น!”
“ฮ่าฮ่า… น้องลู่เข้าใจผิดไปแล้ว...”
จิงหยุนประหลาดใจ มันคาดไม่ถึงว่าลู่เป่ยจะมองข่ายอาคมอำพรางออก
ดูเหมือนลู่เป่ยจะไม่ได้จัดการง่ายๆเหมือนอย่างที่มันคิด
ตั้งแต่เรื่องที่ลู่เป่ยปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์อสูรจักรพรรดิได้ นายกองของเผ่าเพลิงก็คิดวางแผนช่วงชิง
หนิงฝานตามหาโลหิตอสูรไร้ดัดแปลง นายกองอสูรเองก็ตามล่าโลหิตของเขาเหมือนกัน
“ข้าอยากให้เจ้าได้ดูแผ่นหยกนี้ หากเจ้าอ่านข้อความที่อยู่ภายในและทำมันให้ลุล่วงได้ เจ้าจะสามารถเข้าร่วมกับเผ่าเพลิงเราได้อีกครั้ง! และได้รางวัลมากมาย!” จิงหยุนส่งแผ่นหยกที่ลุกโหมด้วยเพลิงไปหาหนิงฝาน
เพลิงที่ลุกโหมอยู่นั้นทรงพลังเทียบเท่าการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ แต่หนิงฝานเพียงสะบัดมือ เพลิงก็ดับไป
หนิงฝานรับแผ่นหยกมาแต่ไม่ได้อ่านข้อความสิ่งที่อยู่ภายใน
“ข้าต้องการหญ้าเพลิงฟ้าหมื่นปี 100 ต้น!”
“ย่อมได้… แต่เจ้าสมควรอ่านข้อความก่อน หากเจ้าทำสิ่งที่อยู่ในนั้นได้สำเร็จ ข้าจะนำสิ่งที่เจ้าต้องการมาให้...”
“ข้าจะดูเมื่อไหร่ก็เรื่องของข้า… ลาก่อน...” เงาร่างของหนิงฝานหายไปอย่างไร้ร่องรอบ
เมื่อหนิงฝานจากไป สีหน้าจิงหยุนแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง อสูรดวงจิตแรกเริ่มหลายตนปรากฏตัว
“เด็กนั่นระวังตัวมาก ทั้งยังเย่อหยิ่งไม่ธรรมดา… มันลืมเลือนว่าในอดีตมันเคารพข้ามากขนาดไหน แต่ยามนี้ถึงกลับกล้าเมิณเฉยต่อคำสั่งข้า กล่าวขอสิ่งที่ต้องการตามใจ… สิ่งนั้นล้ำค่ามากกว่าหญ้าเพลิงฟ้าหมื่นปีร้อยต้นเสียอีก ช่างเถอะ… พวกเราถอยก่อน ที่นี่เป็นเขตแดนของเผ่ารอยแยกพิภพและเผ่าลั่วหยุน ถ้าโดนเห็นเข้าจะแย่”
ภายในตำหนักในเมืองทะเลทรายทางเหนือ… หนิงฝานมองแผ่นหยกด้วยสีหน้าเย้ยหยัน เขานำกระบี่แยกสวรรค์ออกมา และฟาดฟันแผ่นหยกทิ้ง
เมื่อแผ่นหยกถูกฟันขาด เส้นแสงสีแดงสายหนึ่งพยายามจะพุ่งเข้าหาหนิงฝาน แต่มันถูกกระบี่แยกสวรรค์เผาไปก่อน
เส้นแสงสีแดงเมื่อครู่เทียบได้กับการจู่โจมของอสูรตัดวิญญาณขั้นสูง แต่ไม่ได้มีไว้สังหารหนิงฝาน มันเข้าจู่โจมเพียงเพื่อหวังประทับผนึกอสูรไว้ในดวงจิตหนิงฝาน
แต่นั่นไม่เป็นผล เพราะหนิงฝานที่ปลุกโลหิตเผ่าพันธุ์จักพรรดิได้นั้น ย่อมมองออก
ในเมื่ออีกฝ่ายมีเจตนาร้าย ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องญาติดีกับมัน
พวกมันดูแคลนหนิงฝานเกินไป… หากคิดจะจับตัวเขาด้วยวิธีนี้ยังอ่อนด้อยเกินไป
แผ่นหยกที่ถูกฟันขาดค่อยๆเปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่ทำให้หนิงฝานสนใจ มันคือหนังสัตว์ที่มีบางสิ่งสลักไว้…
สิ่งที่สลักไว้คือ เส้นทางที่จะไปเยือนโลกมนุษย์ทั้ง 9!
“น่าสนใจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะส่งทางผ่านไปยังโลกมนุษย์ทั้ง 9 มาให้ข้า”
“ลู่เจี่ยเฟิน… มันคงมั่นใจมากว่าวิชาผนึกของมันจะใช้กับข้าได้ผล แต่มันไม่ได้ผล อีกอย่าง การที่มันกล้าใช้วิชาผนึกกับข้า มันคงเชื่อว่าหากข้าต้องวิชา เหล่านายกองแห่เผ่าลั่วหยุนคงมองไม่ออก… แผนของมันไม่มีทางสำเร็จ!” หนิงฝานกล่าวกับตนเอง
เขาเก็บแผ่นหนังที่ได้มาแล้วกลับเข้าไปในห้อง และเฝ้ารอให้ว่าเอ๋อร์ตื่น
รุ่งเช้ามาเยือน หนิงฝานเดินไปเปิดหน้าต่าง แสงสาดส่องจนทำให้นางงัวเงียตื่น
นางขยี้ตาพลางดันตัวลุกนั่ง จากนั้นบิดยืดกายอย่างเกียจคร้าน เผยให้เห็นเรือนร่างที่งดงงาม
แต่เมื่อนางสังเกตุเห็นว่าหนิงฝานกำลังมองตนอยู่ นางสะดุ้งตกใจจนแทบกรีดร้อง
“ลู่เป่ย!! เจ้ามันไร้ยางอาย!”
“ถ้าข้าไร้ยางอาย ป่านนี้คงจูบเจ้า ทำอะไรต่อมิอะไรกับเจ้าไปมากมาย… แม่นางว่านเอ๋อร์ เมื่อยามที่เจ้าปลดอาภรณ์ให้ข้า ข้าไม่เห็นอาย แต่ยามข้าที่เฝ้ามองเจ้าเพียงเท่านี้ ก็โดนเจ้าตำหนิด่าทอ ข้าว่ามันไม่ยุติธรรม...”
“เจ้า… ฮ่าฮ่า!” นางที่ทำท่าจะโกธ แต่กลับหัวเราะออกมา นางรู้สึกขบขันหนิงฝาน
“ที่แม่นางมานอนรอข้าที่นี่ คงมีเรื่องจะพูดคุยกับข้า”
“อืม… ท่านพี่บอกว่านายกองลู่ตู้เฉินเรียกตัวเจ้า เพื่อเข้ารับการทดสอบเป็นนายกองคนใหม่ ข้าเลยคิดว่า...”
จริงๆแล้วนางอยากไปด้วย แต่กลัวว่าหนิงฝานจะปฏิเสธ นางไม่ได้เข้าเมืองหลวงนานแล้ว เหตุเพราะพี่ชายของนางต้องคุ้มกันรอบนอกของเผ่า เท่าที่ดูพี่ชายของนางคงต้องเฝ้าคุ้มกันที่ตลอดไป นั่นทำให้นางอยากออกไปจากที่นี่
สร้อยหยินหยางสั่นไหว ทำให้หนิงฝานรู้ในสิ่งที่นางกำลังคิด
การที่พานางร่วมเดินทางไปด้วย ถือเป็นการตอบแทนนางที่มอบโอสถให้
“ได้ยินว่าแม่นางว่านเอ๋อร์เป็นผู้เชี่ยวชาญการเสริมความสามารถให้สมบัติ?” หนิงฝานเปลี่ยนเรื่อง
“อืม… วิชาเสริมความสามารถให้สมบัติของข้า บรรลุถึงสมบัติระดับพิภพแล้ว วิชานี้ข้าได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ ถึงอาจารย์ข้าไม่ใช่นายกองที่แข็งแกร่งที่สุดใน แต่ท่านเป็นผู้รอบรู้ ไม่ว่าจะเป็นการปรุงโอสถหรือเสริมความสามารถสมบัติ ล้วนบรรลุชั้นสูง”
เมื่อพูดถึงเรื่องวิชาเสริมความสามารถสมบัติ นางก็ลืมเรื่องที่จะขอติดตามหนิงฝานไป
“ข้ามีสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่งอยากขอให้ว่านเอ๋อร์เสริมความสามารถให้ และเพื่อเป็นการตอบแทน ไม่รู้ว่าเจ้าจะร่วมเดินทางไปเมืองหลวงกับข้าได้หรือเปล่า? ข้าจะพูดกับพี่ชายเจ้าให้ และจะทิ้งผู้คุ้มกันเมืองไว้ ถ้าเผ่ารอยพิภพกล้าบุก พวกมันได้เจอดีแน่!”
“ข้าอยากไป! ไม่! ข้าหมายถึงข้าจะเสริมความสามารถสมบัติเจ้าให้”
นางหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นรัว
ลู่เป่ยเรียกชื่อนางด้วย!...
แม้บุรุษจะทุ่มเทฝึกฝนจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง เป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่สุดท้าย สิ่งที่บุรุษหวาดกลัวที่สุดคือสตรี กลัวว่าจะหลงเสน่ห์พวกนางและสูญเสียทุกสิ่ง
ยิ่งความรู้สึกที่มีให้พวกนาง ยิ่งเป็นอันตรายต่อการยกระดับจิตใจ
แต่หนิงฝานไม่กลัว เพราะเขาไม่คิดจะละทิ้งมัน
เขาเลือกที่จะเป็นปีศาจเพื่อคงไว้ซึ่งความรู้สึก หากไร้ซึ่งความรู้สึก ก็ไม่ควรค่าเป็นผู้ฝึกตน
ปีศาจในขอบเขตตัดวิญญาณ และมนุษย์ในขอบเขตตัดวิญญาณ มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือความรู้สึก
การที่ต้องรับการทดสอบจิตใจ เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายหวาดกลัว แต่หนิงฝานไม่นับเป็นอันใด
“นางเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาเสริมความสามารถสมบัติ… นางสมควรช่วยเสริมความสามารถในการดูดซับพลังสวรรค์ให้กับแส้ของข้าได้”
“ที่สำคัญ ข้ายังต้องยกระดับกระบี่แยกสวรรค์…”