GE246 ปลุกโลหิต [ฟรี]
“ได้ยินเรื่องเผ่ารอยแยกพิภพหรือยัง?”
“ใครบ้างจะไม่รู้ นายกองลู่เฉิงนำกองทหารหนึ่งแสนบุกถล่มทัพของนางกองที่ประจำอยู่รอบนอกจนแตกพ่าย!”
“เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าในสงครามนั้น มีคนผู้หนึ่งบุกทำลายกองทัพที่ฝีมือดีที่สุดของเผ่ารอยแยกพิภพ 15,000 นายเพียงลำพัง จนทำให้เผ่ารอยแยกพิภพเสียขวัญกำลังใจมาก”
“ข้าไม่เคยได้ยิน… รีบๆเล่ามาเลย”
“คนผู้นั้นชื่อลู่เป่ย เป็นผู้บุกทำลายกองทัพชั้นยอดเพียงลำพัง จนยามนี้เผ่ารอยแยกได้ตั้งค่าหัวของมันไว้ 30 ล้านหยกสวรรค์… หยกสวรรค์มากขนาดนั้น ข้าเอาไปทำอะไรได้มากมาย”
“ลู่เป่ย… ฟังดูคุ้นๆ”
“จะไม่คุ้นได้ยังไง… ก็เจ้าลู่เป่ยจอมเสเพลในเมืองทะเลทรายตอนเหนือไง… แค่เดือนเดียว เจ้านั่นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กระทั่งขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของร้านอาหารนั่นได้!”
“ร้านหยกกระจ่างนั่นหน่ะเหรอ? มันทำได้ยังไง? เจ้าลู่เป่ยไม่มีทางทำแบบนั้นได้ เจ้าตัวน่าอับอายแห่งเมือทะเลทรายทางเหนือจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง?”
ผู้คนในเมืองทะเลทรายตอนเหนือพูดคุย
ผู้เยาว์ในอาภรณ์ขาวเดินจูงมือสตรีนางหนึ่ง ผ่านถนนที่พลุกพร่านไปด้วยผู้คนที่กำลังพูดคุยกัน โดยไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
แต่เมื่อคนเหล่านั้นเห็นผู้เยาว์อาภรณ์ขาว คนที่จดจำได้ล้วนตกใจราวกับเห็นผี และเร่งเปิดทางให้เดิน
“นั่นไงลู่เป่ย! นายกองน้อยลู่แห่งเผ่าลั่วหยุน!”
“อย่าพูดเสียงดัง...”
หนิงฝานไม่ใส่ใจผู้คนพูดคุย
ผ่านมาครึ่งเดือนหลังจากเหตุการณ์สังหารที่บริเวณรอยต่อของเผ่า หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หนิงฝานมักจะเดินทางไปยังหอคอยอสูร เพื่อศึกษาอักษรของเผ่าอสูรอยู่เป็นประจำทุกวัน
อักษรอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก แต่อักษรแต่ละตัว คือรากฐานของข่ายอาคม
อักษรแต่ละตัวมีความหมายและมีความต่างกันอย่างชัดเจน
เมื่อนำมาเรียงร้อย อักษรเหล่านั้นจะดูคล้ายเคล็ดความหรือบทสวด
ด้วยความฉลาดของหนิงฝาน เขาศึกษาเข้าใจ 200 ตัวอักษรอสูรได้ในครึ่งเดือน ซึ่งอักษรเหล่านั้น เป็นอักษรอสูรทั้งหมดที่เมืองทะเลทรายตอนเหนือมี
แม้อักษรจำนวน 200 ตัวจะดูมาก แต่มันทำให้หนิงฝานอ่านข้อความบนระฆังทะเลตะวันออกเข้าใจเพียง 3 ใน 10 ส่วนของทั้งหมดเท่านั้น
“เมืองทะเลทรายตอนเหนือเป็นเมืองชายขอบของเขตแดนเผ่า มีสงครามอยู่แทบทุกวัน จึงมีอักษรภาษาอสูรไม่มากนัก หากข้าอยากเรียนมากกว่านี้ ข้าต้องไปเมืองลั่วหยุน ที่นั่นมีนายกองลู่ตู้เฉินปกครอง ข่าวลือว่ามันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตัวอักษรอสูร จนสามารถสลักจารึกอสูรได้… ถ้าข้าอยากเข้าใจตัวอักษรอสูรมากกว่านี้ ข้าต้องไปที่นั่น และที่นั่นก็อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าแดนสามมากนัก ถือเป็นโอกาสที่ข้าจะได้สอบถามลู่ตู้เฉินด้วย”
หนิงฝานกล่าวในใจ เพราะต่อให้กล่าวออกมาจริง เซียวหวนเองคงไม่เข้าใจ
ยามนี้นางกำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย พลางจ้องมองหนิงฝานด้วยสนใจ
“นายท่าน ท่านจะไปที่ไหนเหรอ?”
“ไปหาลู่เฉิง มันสัญญากับข้าว่าจะพาไปปลุกโลหิตวันนี้...”
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา นอกจากหนิงฝานจะทำความเข้าใจกับอักษรอสูรได้ ยามนี้ ก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ปลุกโลหิตแล้ว
สิ่งที่สำคัญสำหรับอสูรคือธรรมชาติ ดวงตะวัน และจันทรา… เมื่อทั้งหมดผสมรวมเป็นร่างกาย เลือดเนื้อ และเส้นลมปราณ เมื่อนั้นอสูรก็จะถือกำเนิน
อสูรในขอบเขตประสานวิญญาณสามารถเปลี่ยนร่างเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรได้
เมื่อพวกมันบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ พวกมันสามารถเลือกได้ว่าจะคงอยู่ในร่างอสูร หรือจะเลือกอยู่ในร่างมนุษย์ และนั่นคือยามที่ต้องปลุกโลหิตครั้งแรก
เมื่ออสูรบ่มเพาะตนไปจนถึงขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด พวกมันจะเข้ารับการปลุกโลหิตครั้งที่สองเพื่อทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม
เมื่อพวกมันบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ อสูรในร่างมนุษย์จะถูกขนานนามว่านายกองอสูร อสูรที่ยังคงร่างอสูรจะเป็นอสูรตัดวิญญาณ
ในขอบเขตตัดวิญญาณนั้น อสูรจะมีการโลหิตครั้งที่ 3
การปลุกโลหิตในครั้งนี้เรียกว่าการปลุกโลหิตที่แท้จริง เป็นการดึงเอาความพิเศษของอสูรออกมา อสูรนั้นมีหลายเผ่าพันธุ์ อสูรวิหค อสูรพิภพ อสูรทะเล และอีกมากมาย...
การปลุกโลหิตครั้งที่ 2 ที่หนิงฝานกำลังจะเผชิญนั้น เรียกอีกอย่างว่าการวิวัฒนาการ ทำให้อสูรวิหคทั่วไปกลายเป็นเหยี่ยว นกกระเรียน พิราบ นกกระสา ค้างคาว และอื่นๆอีกหลายชนิด
นอกจากนี้ยังมีโลหิตอสูรอีกชนิดที่หายาก นั่นคือลูกผสมข้ามเผ่าพันธุ์ เช่นอสูรพิภพมีลูกกับอสูรวิหค จะทำให้ได้ลูกโลหิตผสม
และที่หาได้ยากที่สุด คืออสูรที่มีเส้นลมปราณอสูรโบราณ อย่างวิหคทมิฬ หงส์เพลิง และกาทองคำ อสูรวิหคทั้งสามชนิดนี้ เป็นอสูรที่ครอบครองเส้นลมปราณโบราณ และมีโลหิตโบราณที่แท้จริง
หากอสูรเหล่านั้นสามารถยกระดับจนไปยังแดนสวรรค์ของอสูรได้ พวกมันก็จะได้พบกับเหล่าอสูรโบราณที่ทรงพลัง...
การปลุกโลหิตในครั้งที่ 2 นี้ แม้จะกระตุ้นโลหิตอสูรโบราณในกายได้บ้าง แต่มันยังเบามากจนแทบไม่อาจสัมผัสถึง
ต้องปลุกโลหิตครั้งที่ 3 จึงกระตุ้นโลหิตที่แท้จริงออกมาได้
แววตาหนิงฝานหนักแน่น ในการปลุกโลหิตครั้งที่ 2 นี้ อย่างน้อยๆต้องปลุกโลหิตที่แท้จริงออกมาให้ได้
บริเวณพื้นที่หวงห้ามทางตะวันออกของเมือง...
สถานที่แห่งนั้นมีไข่ใบยักษ์สีดำตั้งอยู่ มันให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ไข่นั่นคือไข่ของนายกองอสูร ในนั้นมีนายกองอสูรหลับไหลอยู่ แม้หนิงจะได้อ่านมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นใกล้ๆ
“ไข่นายกองอสูร...”
แต่เมื่อหนิงฝานเดินเข้าไปใกล้ๆ น้ำเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น
“ช้าก่อน! นับจากวันนี้ไป บ่อโลหิตอสูรจะอยู่ในปกครองของนายกอง หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็รีบๆไปได้แล้ว!”
อสูรดวงจิตแรกเริ่ม 12 ตนในชุดเกราะปรากฏตัว พวกมันมุ่งหน้ามาหาหนิงฝาน ยืนขวางทางด้วยแววตามุ่งร้าย
แต่เมื่อพวกมันเห็นใบหน้าหนิงฝานชัดๆ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง และเร่งป้องมือให้ทันที
“ข้ากับพวกเสียมารยาทไปแล้ว นางกองน้อยลู่โปรดให้อภัย!”
พวกมันเร่งป้องมือคารวะ
พวกมันเป็นทหาร คำสั่งของผู้เป็นนายย่อมถือเป็นคำขาด พวกมันมีตาหามีแววไม่ แต่เมื่อเห็นว่าหนิงฝานไม่กล่าวอะไร พวกมันก็ผ่อนคลาย
“เตรียมบ่อโลหิตเรียบร้อยหรือยัง?”
“ท่านวางใจได้ พวกข้าเตรียมโลหิตไว้พร้อมสรรพ ในรัศมีรอบหมื่นจ้างก็ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ แต่หากนายท่านไม่พอใจ พวกข้าจะส่งคนออกไปหาโลหิตอสูรมาเพิ่ม!”
“ไม่ต้องหรอก… พาข้าเข้าไปได้แล้ว”
หนิงฝานลูบศีรษะเซียวหวนและนำนางเข้าไปไว้ในแหวน ก่อนจะติดตามทหารเหล่านั้นไป
ภายในไข่ขนาดยักษ์ มีทหารในชุดเกราะดำยืนคุ้มกันเป็นจำนวนมาก เพราะลู่เฉิงสั่งการมา ว่าการปลุกโลหิตในครั้งนี้สำคัญมาก
เมื่อเดินตามเส้นทางไปจนสุด ก็พบกำแพงหยกขวางกั้น
ใกลๆกำแพงหยกนั้น ลู่ว่านเอ๋อร์และลู่เฉิงรออยู่
“นายกองน้อยลู่ เรื่องที่รอยต่อของเผ่า ชัยชนะที่เราได้มาต้องยกความดีความชอบให้เจ้า… ฉะนั้นวันนี้ ข้าจะเป็นผู้คุ้มกันการปลุกโลหิตให้เจ้าด้วยตนเอง หากใครกล้าคิดร้าย ข้าจะฆ่ามันทันที!”
ลู่เฉิงหมายถึงฮั่วเฉินและลู่ซ่งหยุน
เมื่อได้ยินคำกล่าวของลู่เฉิง ฮั่วเฉินที่อยู่ไม่ไกลสั่นสะท้านไม่กล้ามอง
แต่ลู่ซ่งหยุนผู้เป็นบิดาของฮั่วเฉินเพียงป้องมือและฝืนยิ้ม
มันไม่เคยคิดร้ายกับลู่เป่ย ไม่เคยขัดขวางการปลุกโลหิต แม้มันจะอธิบายกับลู่เฉิง ลู่เฉิงก็ไม่เชื่อมัน
“ท่านลู่วางใจ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ท่านเองก็ต้องตั้งใจด้วย”
หากเกิดการปลุกโลหิตของหนิงฝานเกิดข้อผิดพลาด ลู่ซ่งหยุนอาจต้องจบชีวิต
“อืม… ข้ารู้ว่าการปลุกโลหิตสำคัญ ข้าจะตั้งใจอย่างเต็มที่”
“ดีแล้ว...”
แววตาของลู่ซ่งหยุนแปรเปลี่ยน เพราะลู่เป่ยในยามนี้ ไม่ใช่ลู่เป่ยที่มันรู้จัก
ในหมู่ทหารอสูร 700 นาย มีลู่เป่ยเพียงคนเดียวที่ปลุกโลหิตไม่สำเร็จ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะลู่เป่ยไม่ตั้งใจ แต่ผู้ที่ต้องรับคำด่าทอกลับกลายเป็นลู่ซ่งหยุน หากไม่เพราะตระกูลลู่ยอมยื่นมือช่วย ลู่เป่ยคงไม่มีวันบรรลุดวงจิตแรกเริ่ม
แต่ยามนี้ ลู่ซ่งหยุนกลับเชื่อว่าลู่เป่ยตรงหน้าจะปลุกโลหิตได้ลุล่วงราบรื่น
ที่สำคัญ มันได้สัมผัสกลิ่นอายโลหิตที่ทรงพลังจากร่างของลู่เป่ย
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหนิงฝานดูดซับโลหิตของอสูรดวงจิตแรกเริ่มนับแสน และอสูรจัดวิญญาณเทียมอีกนับพันที่สังหารไป
“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด… โลหิตที่ทรงพลังขนาดนี้ สมควรเกิดการดูดซับโลหิตอสูรตัดวิญญาณเทียมนับพัน… เป็นไปได้ยังไง...” ลู่ซ่งหยุนคิดในใจ
“เชิญท่านลู่เดินไปหากำแพง สัมผัสโลหิตของท่านกับกำแพง แล้วกำแพงจะช่วยท่านตรวจสอบระดับโลหิตของท่าน”
หนิงฝานหันมองกำแพงสูงกว่าพันจ้าง บนกำแพงมีชื่อมากมายถูกสลักเอาไว้ รวมถึงระดับโลหิตของเจ้าของชื่อ
หนิงฝานเดินไปหากำแพง นำโลหิตของตนสัมผัสกำแพง
ชื่อลู่เป่ยปรากฏ เป็นโลหิตของเผ่าวิหค ระดับ 17
หนิงฝานไม่เข้าใจวิธีคิดระดับของโลหิตอสูร แต่ดูดซับโลหิตของอสูรเป็นจำนวนมากของเขา ก็ทำให้โลหิตของเขาเข้มข้นขึ้น
“ระดับ 17… ไม่ธรรมดา คราวนี้เชิญท่านลงไปแช่ตัวในสะโลหิตอสูร ดูดซับเอาปราณที่อยู่ภายในโลหิตเหล่านั้น เมื่อระดับโลหิตบรรลุถึง 25 เมื่อไหร่ ท่านก็จะปลุกโลหิตได้”
หากโลหิตบรรลุถึงระดับ 25 จะสามารถปลุกโลหิตได้
หากโลหิตบรรลุระดับ 60 ก็สามารถปลุกโลหิตในแบบโลหิตผสมได้
แต่หากโลหิตบรรลุระดับ 100 จะสามารถปลุกโลหิตในแบบโลหิตอสูรโบราณได้
ลู่ซ่งหยุนมั่นใจว่าโลหิตอสูรของหนิงฝานจะบรรลุระดับ 25
“หวังว่าโลหิตของมันจะบรรลุระดับ 25 ไม่งั้น นายกองลู่เฉิงคงคิดว่าข้ากลั่นแกล้งมัน” ลู่ซ่งหยุนถอนหายใจ