บทที่ 9 กึ่งปรมาจารย์ถังจงหมิง
ตอนที่ 9 กึ่งปรมาจารย์ถังจงหมิง
"อาจารย์ฉันเหรอ เฮ้ย...ใช้ว่าพี่จะไม่รู้เรื่องระหว่างฉันกับอาจารย์ ท่านช่วยใครก็ไม่มีทางช่วยคนอย่างฉัน อีกอย่าง ตอนนี้ท่านก็ชอบอยู่อย่างสันโดษมาตั้งนานแล้ว พี่จะให้แกออกจากป่าเพื่อมาช่วยพี่ ยากกว่าให้ขึ้นสวรรค์อีก!"
ซูเจี๋ย อดไม่ได้ที่จะทำหน้าทำตาแล้วพูดขึ้น สำหรับอาจารย์ของเขา 'ฟู่หุยโม่' เขาแทบไม่อยากพูดถึงมากเท่าไหร่ ทว่าก็เดาได้ไม่ยาก อาจารย์ท่านนั้นของเขาใช่คนธรรมดาที่ไหน
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เจียงป๋ายเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมคนอย่างซูเจี๋ยถึงได้มีหน้ามีตามีอิทธิพลในเขตภาคตะวันออกไม่ใช่น้อย แม้กระทั่งยอดคนอย่างเถ้าแก่หม่าเขาก็ไม่กลัวเลยสักนิด ที่จริงก็มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังนี่เอง ถึงแม้จะฟังจากคำพูดแล้วผู้สนับสนุนจะไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่แค่เอาไว้กล่าวอ้างก็สุดยอดแล้ว
"เออ...งั้นนาย? "หลังจากที่เถ้าแก่หม่าได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
"ถึงอาจารย์ผมจะเชิญมาไม่ได้ แต่ศิษย์พี่ใหญ่ผมก็ยังพอไหวอยู่ ปรมาจารย์ระดับ 8 ตัวจริงเสียงจริง ไว้จัดการกับกึ่งปรมาจารย์อย่างมันได้สบาย "เถ้าแก่หม่ายังไม่ทันพูด ซูเจี๋ยก็พูดอธิบายเรียบร้อย ในระหว่างที่พูดนิ้วก็ชี้ไปทางที่จะไปนั่งอยู่
"จริงหรอ?" เถ้าแก่หม่ากึ่งเชื่อกึ่งสงสัยแล้วหันไปดูเจียงป๋าย สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาไม่รู้จักเจียงป๋าย แต่ก็โทษเขาไม่ได้ เพราะว่าเจียงป๋ายอายุอ่อนกว่ามาก เถ้าแก่หม่าเองสมัยหนุ่มๆก็เคยฝึก กว่าจะมีธุรกิจเหมือนทุกวันนี้ เขาก็ผ่านการตีรันฟันแทงมาไม่ใช่น้อย ถึงแม้ทุกวันนี้จะลาวงการแล้วก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นแค่พ่อค้านักธุรกิจที่ไม่รู้อะไรเลย
ปรมาจารย์ระดับ 8 อายุ 20 ต้นๆ?
หลอกกันแล้วมั้ง! จะเป็นไปได้ยังไง!
"ไม่เชื่อเหรอ? อย่าว่าแต่พี่ไม่เชื่อ ผมเองก่อนที่จะโดนพี่ใหญ่สั่งสอนก็ไม่เชื่อเหมือนกัน .." เผยรอยยิ้มอันขมขื่น ซูเจี๋ยพูดขึ้นอย่างขรึมๆ
หากก่อนหน้านี้มีใครมาบอกเขาว่าในโลกนี้มีปรมาจารย์ระดับ ชาติอายุ 20 ต้นๆ ซูเจี๋ยคนนี้จะไม่พูดพร่ำทำเพลง จะตบให้หน้าหันแล้วกระทืบเอามันให้ตายเลย
แต่ตอนนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้วล่ะ
"เออ ไม่ใช่ไม่ใช่, แค่ไม่รู้ว่าพวกคุณ....."
เถ้าแก่หม่าเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แวบแรกๆก็ดูออกว่าซูเจี๋ยไม่ได้พูดโกหก และดูไม่มีความกังวลเลยจริงๆ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องโดยทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้ เขารีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องทันที ระหว่างพูดก็เปิดโทรศัพท์ขึ้น สั่งให้ลูกน้องเอาไวน์อายุกว่า 15 ปีมาเสิร์ฟ
หลังจากชิมไวน์ไปแล้วเล็กน้อย ซูเจี๋ยค่อยๆเริ่มพูดกับ หม่าฉางหยางที่เขารออยู่นานอย่างไม่รีบร้อน "ลูกพี่หม่า เรื่องของท่าน ผมก็รู้มาบ้าง ช่วงระยะเวลานี้พี่ไปขอความช่วยเหลือคนอื่นมาแล้วตั้งมากมาย เสียเงินเสียทองไปไม่รู้เท่าไหร่ พวกลูกน้องของพี่แต่ละคนก็โดนจัดการซะราบคาบ เอาซะพี่จนมุมที่จะไปต่อ
เพราะอะไร..ผมไม่บอกพี่ก็น่าจะรู้ ตอนนี้พี่ใหญ่ผมจะเป็นคนออกหน้าให้ ช่วยพี่แก้ปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นการหักหน้าท่านเจ้าคุณเลยทีเดียว ฉะนั้นค่าความเสียหายในส่วนนี้พี่จะต้องคิดให้ดีๆ.."
"อันนี้ฉันรู้ดี หลังเสร็จเรื่องนี้ฉันจะตอบแทนอย่างดี ซูเจี๋ยนายดูนี้ สโมสรความบันเทิงระดับโลกนี้เป็นไง? ที่นี่มีซาวน่า อาบอบนวด คาราโอเกะ บาร์เหล้า ทุกอย่างครบวงจร เพื่อสถานบันเทิงแห่งนี้ สมัยนั้นฉันมีปัญหากับผู้คนมากมาย แค่เฉพาะค่าตกแต่งฉันทุ่มไปกว่า 30 ล้าน หลังจากหักต้นทุนกับค่าเช่าแล้ว ปีๆหนึ่งจะมีเงินเข้าบัญชีไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน หากสามารถจัดการเรื่องนี้จบ ฉันจะยกที่นี่ให้กับคุณเจียง"
เถ้าแก่หม่าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกัดฟันพูดถ้าทองคำแห่งนั้นที่จะมอบให้คนอื่น แม้ว่าจะมีมูลค่าพันล้าน ในใจเขาก็เจ็บปวดเช่นกัน
"ฮ่าๆๆเอาตามนี้เลย..." ซูเจี๋ยหัวเราะฮ่าๆๆแล้วตอบตกลงทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบเจียงป๋ายไม่พูดเลยสักคำ ปล่อยให้ซูเจี๋ยพูดโอ้อวดอยู่คนเดียวนี่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เจียงป๋ายรู้สึกชื่นชมในตัวเถ้าแก่หม่าคนนี้มาตลอด เขาเคยเป็นแบบไหน ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้น
รอพวกเขาสองคนพูดจบ เจียงายป๋ถึงเริ่มพูด " เรื่องนี้ฉันจัดการให้ได้ แต่ฉันมีข้อแม้ ฉันไปช่วยจัดการกับเจ้าพ่อมาเฟียคนนี้ได้แต่ในส่วนที่ลูกชายท่านควรรับผิดชอบก็ต้องไปรับผิดชอบ หากทางฝ่ายหญิงเขายินยอมพร้อมใจที่จะแต่งงานด้วยลูกท่านก็จะต้องตกแต่งให้เรียบร้อย หากเขาไม่ยอมก็ต้องขอโทษขอขมากันให้เรียบร้อย ถ้าไม่เช่นนั้นฉันจะไม่ยุ่งเรื่องนี้"
"นั่นมันธรรมดา มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว" เถ้าแก่หม่ารีบพยักหน้าตกลง.
ตลกละ เจ้าเด็กนั่นตอนนี้ตกใจแทบจะฉี่ราดกางเกงอยู่แล้ว เมื่อก่อนคิดว่าฝ่ายหญิงเป็นเด็กผู้หญิงในครอบครัวธรรมดาทั่วไป เลยคิดแค่เล่นๆ ตอนนี้รู้แล้วว่า ท่านลุงของเค้าเป็นบุคคลที่สุดยอดคนแค่ไหนในวงการ มีหรือที่ยังจะกล้าคิด อะไรอย่างนั้น
ขอขมาลาโทษนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!
ไปมีปัญหากับบุคคลระดับนี้ หากไม่ขอขมาลาโทษ ถึงแม้รอบนี้ทุกคนจะแยกย้ายกันไปแล้ว คนอย่างตาหม่าชาตินี้ก็คงต้องอยู่อย่างหวาดผวา
ถ้าหากสามารถแต่งงานกันได้ล่ะ?
มันคงเป็นอะไรที่สุดยอดมาก หากสามารถดองเป็นญาติกับสุดยอดคนได้ ต่อไปในอนาคตการใช้ชีวิตที่เทียนตู ไปที่ไหนก็คงจะมีแต่คนเคารพนับหน้าถือตา
มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยอม?
"ไปเถอะnเราไปพบท่านผู้นั้นกันท่านกึ่งปรมาจารย์"
หลังจากพยักหน้ารับ เจียงป๋ายลุกขึ้นเตรียมตัวเดินทาง โดยมีซูเจี๋ยกับหม่าฉางหยางตามติดอยู่ด้านหลัง ทั้ง 3 ขึ้นไปนั่งบนรถLand Rover โดยมีคนขับรถของหม่าฉางหยางเป็นคนขับ ตรงไปที่หมู่บ้านบนภูเขาที่ชานเมืองเทียนตู
หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงพวกเจียงป๋ายก็มาถึง แต่เมื่อพวกเขามาถึงก็มีชายวัยกลางคนอายุ 40 กว่าๆรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว โดยนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายกึ่งหลับตาในมือถือแก้วชาดื่มสบายๆ
ข้างๆเขามีชายร่างสูงใหญ่ท่าทางแข็งแรง7-8คนยืนมือไขว้หลังเป็นแถวอยู่ข้างๆ พวกเขารอพวกเจียงป๋ายอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ส่วนตัวที่มีสภาพแวดล้อมที่หรูหรามากๆ
"คุณถัง อย่างที่ผมได้เรียนให้คุณทราบ ครั้งนี้ผมเชิญยอดฝีมือมาอยู่ท่านนึง ผมหวังว่าคุณจะทำตามคำสัญญาของคุณ นอกจากนี้หากเรื่องนี้จบแล้ว ส่วนเรื่องของไอ้ลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของผมทางเราพร้อมจะรับผิดทุกอย่าง จะด่าจะตีจะทำโทษยังไงก็แล้วแต่ทางคุณ แต่ผมอยากจะขอความเมตตาให้มันสักหน่อย เพราะไม่ว่ายังไงผมก็มีลูกชายอยู่คนเดียว หากทางลูกสาวท่านยอม ผมขอรับประกันเลยว่าไอ้ลูกชายผมจะรักและซื่อสัตย์กับลูกสาวท่านคนเดียว จะไม่มีทางเกิดเรื่องอีก"
หม่าฉางหยางพอลงจากรถแล้วเห็นถังจงหมิง เท่านั้นล่ะก็รีบเดินไปหาทันที หลังจากก้มหัวทำความเคารพแล้ว ก็รีบพูดทันที โดยทำท่าทำทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวสุดๆ ไม่มีมาดของมหาเศรษฐีระดับพันล้านเหลืออยู่เลย
แต่นั่นก็ไม่โทษเขา ซูเจี๋ยพูดขึ้น เพราะสมุนของท่านเจ้าคุณอย่างถังจงหมิงก็ไม่ใช่คนธรรมดา หม่าฉางหยางถึงแม้จะมีเงินมีอำนาจอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าของบุคคลท่านนี้ ก็ยังถือว่าห่างไกลกันนัก
"ซูเจี๋ย? นายเหรอ? หากเป็นอาจารย์นายมา ฉันยังพอกลัวท่านอยู่บ้างแต่ถ้าเป็นนาย...ฮ่าๆๆ...."
ถังจงหมิงก็ถือว่ารู้จักซูเจี๋ย บ่งบอกได้ว่าซูเจี๋ยก็พอเป็นคนมีหน้ามีตาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าระหว่างที่พูด ถังจงหมิงแทบจะไม่ใส่ใจซูเจี๋ยเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ามีคนชื่อซูเจี๋ยอยู่ ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ว่าซูเจี๋ยก็พอใช้ได้อยู่
"คุณถัง ผมไม่กล้าประลองกับท่านหรอก วันนี้ที่มาคือพี่ใหญ่ผม.."
ซูเจี๋ยหัวเราะฮ่าๆๆ โดยไม่สนใจคำดูถูกของถังจงหมิ่งพร้อมกับชี้ไปที่เจียงป๋ายที่อยู่ข้างๆ เพื่อเป็นการแสดงให้รู้ว่าเจียงป๋ายเป็นพระเอกที่แท้จริง
"ห้ะ?เด็กจัง! หือ?"
ถังจงหมิงมองขึ้นๆลงๆสำรวจเจียงป๋าย ดูเป็นคนหนักแน่นและมีความแปลกประหลาด.
เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ มายาวนานกว่า 30 ปี ได้รับ ฉายานามกึ่งปรมาจารย์ กล้าพูดได้ว่าคนที่เขามองสามารถมองทุลุปรุโปร่งออก แต่ทว่าเขากลับดูเจียงป๋ายไม่ออก ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก
"เอาเป็นว่าไม่พูดมาก เชิญ !"เจียงป๋ายเองก็ไม่ยึกยัก ยกมือขึ้นมาเตรียมท่าทางพร้อม ทำการประลองกับถังจงหมิงทันที.
"หือ ปากดีใช่ย่อย! บ้าดีเดือดใช้ได้!"
ถังจงหมิงวางแก้วน้ำชาสีม่วงในมือลง ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ หัวเราะหึๆ พร้อมกับวางมาด ประมาณว่ารอให้เจียงป๋ายลงมือก่อน บางทีเขาอาจจะคิดว่าในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสกว่าเขา ควรจะออมมือสักนิด