ตอนที่แล้วบทที่ 29 การหาพันธมิตร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 รวยชั่วข้ามคืน

บทที่ 30 คุกเข่าให้กับลุงเจียงของเธอ!


ตอนที่ 30 คุกเข่าให้กับลุงเจียงของเธอ!

เจียงป๋ายไม่รู้และไม่สามารถรู้ได้เกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ ในตอนนี้เขาและซูเจี๋ยได้เดินตามหวังเป้าขึ้นไปยังศูนย์กลางของตึกสูง พอขึ้นลิฟต์ไปได้ครู่หนึ่งก็ถึงจุดสูงสุดของตึกสูงที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำ

เมื่อเข้าไปก็พบหญิงงามสิบกว่าคนที่สวมชุดกี่เพ้ายืนเรียงกัน พวกเธอต่างก็ทักทายและเดินนำทางพวกเขาไป

สักครู่ต่อมา ประตูห้องได้เปิดออก ห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยห้องเล็กๆอีก400-500ห้อง ในห้องต่างก็ถูกแกะสลักด้วยลายมังกรและนกฟีนิกซ์ มันสวยและงดงามมาก โดยเฉพาะข้างหลังของที่นั่งหลัก มังกรทั้งเก้านั้นคือหยกขนาดใหญ่ที่แกะสลักด้วยทองคำ และบนพื้นได้จัดวางล้อมรอบด้วยพรมเครื่องไม้สีแดงที่มีมูลค่ามหาศาล

ความรู้ของเจียงป๋ายในช่วงนี้ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาได้มองเห็นภาพวาดที่แขวนไว้บนผนังไกลๆนั้นแล้วเขาก็รู้เลยว่าทุกภาพล้วนเป็นผลงานจริง มีมูลค่ามากว่า10ล้าน และยังเป็นฝีมือของอาจารย์จิตรกรของจีนชื่อว่าป๋ายฉือ นับว่าเป็นสมบัติบนโลกใบนี้ที่มีมูลค่ามหาศาลและหายากมาก

เครื่องประดับบนโต๊ะที่ห่างออกไป เมื่อหยิบขึ้นมาดูแล้วล้วนเป็นเครื่องโบราณ กระเบื้องลายคราม เครื่องปั้นดินเผาสามสีที่มีอายุราวๆหลายร้อยปีมาแล้ว ทุกอย่างช่างน่าตื่นตาตื่นใจมาก

ไม่แปลกเลยที่เรือนเจียงหนานแห่งนี้จะเป็นที่นิยมมาก การนั่งอยู่คนเดียวใน ณ ที่นี้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถบ่งบอกถึงตัวตนของเราได้

ในห้องโถงอันงดงามแห่งนี้บนโซฟาทางซ้ายมีหลายคนกำลังนั่งอยู่

ชายชราผมขาวที่สวมชุดราชวงศ์ถังสีดำนั่งอยู่ตรงกลางพร้อมกับถือชาหอมแก้วหนึ่งที่เต็มไปด้วยไอร้อนพูดคุยอยู่กับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทที่ดูดีมีสไตล์

อีกคนหนึ่งคือจางฉางเกิงที่ทั้งรู้สึกโกรธและประหลาดใจ แค่นั่งลงบั้นท้ายก็ปาไปครึ่งหนึ่งของโซฟาแล้ว เขานั่งตัวตรงตั้งแต่หัวจรดเท้า สักประโยคก็ไม่พูดไม่จาอะไร เขาดูระมัดระวังแม้แต่เรื่องเล็กๆ และเห็นอะไรที่เป็นเรื่องเล็กก็คิดอนุมานไปได้ทั้งเรื่อง และไม่มีการหายใจแบบแกร่งกล้าเหมือนเดิมแม้แต่สักนิดเลย

เมื่อประตูใหญ่เปิดออก ผู้คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างก็ยืนขึ้นแม้แต่ชายวัยกลางคนที่สง่างามคนนั้นได้ประคองที่พิงเก้าอี้และยืนขึ้นอย่างช้าๆที่มีหญิงงามสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ทำให้เขาแต่เดิมเคยคิดว่าในตำนานที่เล่าขานกันมาว่าคุณชายจ้าวที่มีแรงอันทรงพลังกับในความคิดของเขานั้นมีช่องว่างอยู่มาก เห็นแบบนี้แล้วร่างกายของคุณชายจ้าวดูเหมือนอ่อนแอมาก

"ฉันขอแนะนำ ท่านนี้คือ...."

ในเวลาเดียวกันที่พวกเขาเดินผ่านเจียงป๋ายไป จ้าวอู๋จี๋ที่อยู่ทางนี้ก็ได้เดินผ่านมาและทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ชิดกัน หวังเป้าก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาทันทีและยิ้มเตรียมพร้อมที่จะแนะนำตัว

"สวัสดีครับ ผมชื่อจ้าวอู๋จี๋"

เสียงของจ้าวอู๋จี๋ที่รูปร่างเต็มไปด้วยความสง่างามก็พูดออกมา ไม่มีแม้แต่สักครึ่งของการวางตัวที่ดี การกระทำและประโยคสั้นๆก็ทำให้ผู้คนรู้สึกดีทวีคูณขึ้นและไว้วางใจ

"เจียงป๋าย"

เจียงป๋ายยิ้มพร้อมยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่าย มือของอีกฝ่ายนุ่มนวลราวกับไร้กระดูกที่ไม่เหมือนกับผู้ชาย ทั้งสองมือราวกับหญิงสาวที่ไม่ได้สัมผัสน้ำในฤดูใบไม้ผลิ

"ชื่อเสียงเรืองนามที่ได้ยินมานาน ผู้นี้คือท่านจอมยุทธช่ายเชิ่งฝอ ฉันคิดว่าคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าหัวหน้าของซูเจี๋ยนั้นเป็นหนึ่งในสามของจอมยุทธระดับชาติ"

จ้าวอู๋จี๋หัวเราะพร้อมพยักหน้าและยื่นมือออกไปครึ่งหนึ่ง เขาชี้นิ้วไปที่ชายชราคนข้างๆและพูดออกไป

ประโยคนั้นทำให้เจียงป๋ายตาลุกวาวขึ้นมาทันที

ท่านจอมยุทธ!

ท่านจอมยุทธแห่งชาติที่เป็นต้นฉบับที่แท้จริง!

เขาคือคนที่เก่งกาจและสุดยอดมาก!

ปัจจุบันความสำเร็จสูงสุดของจอมยุทธแห่งชาติกับการที่ตัวเองอาศัยการ์ดสงครามเทพเจ้านี้ก็ไม่สามารถรู้เลยว่าจะสุดยอดได้มากกว่ากี่เท่า

"ชื่อเสียงท่านอาจารย์ที่ได้ยินมานาน วันนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่งของเด็กน้อยอย่างข้าที่ได้เจอ"เจียงป๋ายรีบยกมือคำนับ

"ฮ่ะ ฮ่ะ คุณเจียงก็พูดเป็นเล่นไป ระดับนิดๆหน่อยๆที่ไม่ได้สูงอะไรของข้ามีอะไรให้ตัวเองภูมิใจเหรอ ตรงกันข้ามที่คุณเจียงยังเด็กมากและมันน่าทึ่งจริงๆ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนการต่อสู้ครั้งแรก เรื่องนี้ของคุณเจียงทำให้ข้าต้องชื่นชมคุณจริงๆที่ได้ไปถึงขั้นนั้น?"

ช่ายเชิ่งฝอยิ้มหัวเราะพร้อมโบกมือและพูดออกไป พอเขาพูดถึงเรื่องนี้ของเจียงป๋ายแล้ว เมื่อพูดถึงจุดจบเขาก็ดูเคร่งขรึม ดูมีความคาดหวังและมีสายตาที่จริงจังอย่างมาก

ที่จริงเขาตกลงว่าจะมาวันนี้ ประการแรกที่เขาตกลงว่าจะมาเพราะเขาเห็นแก่หน้าจ้าวอู๋จี๋ ประการที่สองมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติแหละที่จะต้องมาเพราะเขาต้องการที่จะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเจียงป๋าย

เรื่องนี้ต้องเดือดร้อนถึงเจียงป๋ายแน่ๆ

เขาคือจอมยุทธแห่งชาติที่แข็งแกร่งมากแต่กับช่ายเชิ่งฝอหนึ่งในสามปรมาจารย์ที่เหลืออยู่ เขาไม่กล้าที่จะประมาทด้วยเลย

ความโชคดีของเจียงป๋ายคือการที่เขาได้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าจะต้องได้เจอกับช่ายเชิ่งฝอและจ้าวอู๋จี๋ เขาจึงได้ฝึกกังฟูเตรียมไว้แล้ว แบบนี้จึงทำให้เขาไม่พูดหรือเปิดเผยอะไรกับช่ายเชิ่งฝอแต่อย่างใด

เขาเข้าใจสิ่งที่ช่ายเชิ่งฝอพูดมาทั้งหมดว่าอาณาจักรในตำนานที่ท่านจอมยุทธพูดถึง แต่เจียงป๋ายก็ยังไม่เข้าใจว่าที่นั่นเป็นยังไงได้แต่ยิ้มและพูดคลุมเครือว่า:"ก็เป็นแค่ทางผ่านแห่งความโชคดี ข้าได้ยินซูเจี๋ยพูดว่า 10ปีแล้วที่เขาไม่ได้ออกไปไหน ถ้าท่านเห็นด้วยที่จะล้มเลิกความคิดแบบนี้ของเขา จงใช้ตัวตนแบบคนธรรมดาเดินทางไปยังตอนเหนือในเวลานี้ซะ "

คำพูดของเจียงป๋ายดูเหมือนมีความนัยน์

ช่ายเชิ่งฝอดูเหมือนจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย

ทั้งสองมองหน้ากันและช่ายเชิ่งฝอทันใดนั้นก็ตกใจ เหมือนกับคิดอะไรอยู่บางอย่าง แล้วก็ยกมือคำนับเจียงป๋าย "10ปีที่ฉันไม่ได้ออกไปไหน ไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันโชคดีที่ได้เข้าเรียนในระดับจอมยุทธ แต่ความทะเยอทะยานนั้นมันเริ่มถดถอยลดน้อยลงแล้ว วันนี้ได้ยินคำพูดของคุณมันทำให้ฉันคิดได้ ฉันจะใช้ตัวตนแบบคนธรรมดาเดินทางไปยังตอนเหนือ สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไรฉันก็ขอบคุณคุณมากจริงๆ"

แท้จริงแล้วเขารู้ว่าทั้งหมดนี้เจียงป๋ายถูกบังคับไม่ให้พูดอะไร เลยต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

ช่ายเชิ่งฝอก็เดินออกไป จะสามารถทำได้หรือไม่ก็มีแค่ท้องฟ้าที่รู้ คำพูดที่เขาพูดออกมาก็ทำให้คนรอบข้างยากที่จะคาดเดาได้

หวังเป้าที่อยู่ข้างๆในสายตาเขาดูเหมือนมองเห็นความสำเร็จและอดไม่ได้ที่จะคาดหวัง

"ปรมาจารย์พูดพลางหัวเราะ ขอบคุณทำไมไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันเป็นเพียงแค่รุ่นน้องจะกล้าให้คุณพูดแบบนี้ได้ยังไงล่ะ"

เจียงป๋ายมีความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงทำให้คนรอบๆมีความรู้สึกที่ดีต่อเขามากขึ้น

การรักษาที่จะประพฤติดีต่อผู้อื่น ในช่วงหลายปีมานี้ก็ยากที่จะพบเจอเด็กแบบนี้แล้ว ไม่แปลกที่คนอายุน้อยจะมีทักษะแบบนี้

"ทำไมถึงไม่กล้าเป็นแบบนั้นล่ะ การเรียนรู้ไม่ได้แบ่งแยกอายุ ใครเรียนรู้ได้ก่อนคนนั้นก็คือคนที่มาก่อน คุณจะเป็นรุ่นน้องได้อย่างไรกันในเมื่อคุณโตกว่า วันนี้คนแก่อย่างฉันพูดด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง ต่อไปพวกเราจะร่วมมือกันได้อย่างไร ฉันและอู๋จี๋ไม่นึกถึงอายุและมาเป็นพี่น้องกัน เราสองก็มาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันดีมั้ย"

เขาโบกมือยกใหญ่ ช่ายเชิ่งฝอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

คำพูดนี้ทำให้คนรอบๆงุนงงอยู่นานและไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร

คุณชายก็80แล้ว เจียงป๋ายพึ่งจะเท่าไหร่เอง?

ให้เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันงั้นหรอ?

จะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง?

นอกจากคุณชายจ้าวแล้ว คนไหนในที่นี้บ้างที่ไม่นับเขาเป็นรุ่นน้อง?

พูดแบบนี้แล้วก็รีบส่งเสริมการแบ่งรุ่นของเจียงป๋ายให้แก่พวกเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกๆ

"อาจารย์!คุณทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน ฉัน...."

เจียงป๋ายมาไม่ทันที่จะพูดต่อต้าน ซูเจี๋ยที่อยู่ข้างๆก็ได้ลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่สูง

เขาเริ่มจะเข้าใจคนแก่แล้ว นิสัยของคนแก่นี่แปลกเหลือเกิน ยังคงล้าสมัย คุ้นเคยที่จะต้องเคารพบุคคลที่ให้การศึกษาแก่เรา นี่เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลง

ถ้าให้เจียงป๋ายมาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันจริงๆ แล้วต่อไปฉันเองควรทำยังไง?

มีกี่คนแล้วที่เป็นคุณปู่อายุน้อย?

แบบ....แบบนี้....แล้วจะทำให้ซูเจี๋ยรับได้ยังไง?

"นี่นาย ทำไมนายได้ดื้อรั้นอย่างนี้! นายมีส่วนจะพูดในที่นี้ด้วยหรอ รีบคุกเข่าแก่ลุงเจียงของนายซะ ต่อจากนี้การได้อยู่กับลุงของนายก็ถือว่าเป็นบุญของนายมากแล้ว! "

ซูเจี๋ยที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ก็ถูกช่ายเชิ่งฝอจ้องมองกลับไป หลังจากที่โบกไม้โบกมือก็ได้ใช้ตัวตนของเจียงป๋ายทำให้สงบลง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด