บทที่ 28 เรือนเจียงหนาน
ตอนที่ 28 เรือนเจียงหนาน
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาถึงวันสุดท้ายที่เจียงป๋ายกับจางฉางเกิงต้องการแล้ว
เช้าวันนี้ในขณะที่เจียงป๋ายกำลังถือตำราวิจัยอยู่ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา ซูเจี๋ยโทรศัพท์เข้ามา
"ลูกพี่ วันนี้มีข่าวจากทางด้านจางฉางเกิงด้วย พวกเขาเชิญคุณชายจ้าวมาเป็นคนกลาง ผู้อาวุโสของท่านอาจารย์ฉันก็ออกไปที่ภูเขาแล้ว เพิ่งจะโทรมาศัพท์มาหาฉัน บอกว่าคืนนี้คุณชายจ้าวอยากจะเชิญนายไปทานข้าว"
"คุณชายจ้าว?"
ไม่ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่เจียงป๋ายได้ยินชื่อนี้ ทุกๆครั้งซูเจี๋ยจะพูดถึงด้วยความเคารพ
พูดตามตรงว่าจากที่รู้จักกับซูเจี๋ยมานาน ทั้งวันเขาจะพูดถึงคนอยู่สองคนด้วยน้ำเสียงแบบนี้ หนึ่งก็คือท่านอาจารย์ของเขา ยังมีอีกท่านหนึ่งนั่นก็คือคุณชายจ้าว
"ตอบรับพวกเขา แล้วเย็นนี้นายมารับฉันด้วย"
พูดตามความเป็นจริงแล้ว สำหรับเจียงป๋ายแล้วคุณชายจ้าวท่านนี้ ยังมีท่านอาจารย์ของซูเจี๋ยอีก ทั้งหมดน่าสงสัยมากและเขาก็คงไม่ได้วางแผนเพื่อให้จางฉางเกิงต้องตาย
จางเทียนอั๋งได้บทเรียนไปแล้ว ได้ยินจากซูเจี๋ยว่าเขาไปต่างประเทศเพื่อรักษาตัวเมื่อวานนี้ เกรงว่าจะลุกจากเตียงไม่ได้สักครึ่งปี เด็กคนนี้คงไม่คิดจะว่าจ้างหวานหยูอีกแล้วล่ะ ดังนั้นเจียงป๋ายจึงไม่ได้วางแผนจะทำอะไรเลย
หนึ่งวันผ่านไปโดยไม่ทันจะรู้ตัว หลินหวานหยูก็ยังคงไม่ปรากฎตัวต่อหน้าเจียงป๋ายเลย ในตอนเย็นนั้น เสี่ยวเทียนและซูเจี๋ยก็ขับรถมารับเจียงป๋าย ทั้งสามคนก็ขับรถมาถึงสโมสรชั้นนำของเทียนตู
"ซูเจี๋ย คุณชายจ้าวคนนี้เป็นคนแบบไหน?"
เจียงป๋ายที่นั่งอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในรถอดไม่ได้ที่จะพูดถึงสิ่งที่กำลังสงสัย
พูดถึงคุณชายจ้าวขึ้นมา ซูเจี๋ยที่ดูผ่อนคลายเล็กน้อยก็นั่งตัวตรง และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า "คุณชายจ้าวชื่อจ้าวอู๋จี๋ เป็นหนึ่งเดียวในทั่วทั้งเทียนตู!"
หากเปรียบเทียบง่ายๆก็คือนิ้วหัวแม่มือ แทบจะไม่ต้องพูดก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เทียนตูเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศจีน เป็นศูนย์กลางทางการเงิน มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่รู้ว่าที่นี่มีวีรบุรุษอยู่มากมายเท่าไหร่ มหาเศรษฐี ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองและนักธุรกิจ คนใหญ่คนโตที่เป็นคนจริงใจจริงๆนั้นมีอยู่แค่บางส่วน ซูเจี๋ยอธิบายให้เจียงป๋ายฟังทำให้เจียงป๋ายเข้าใจอย่างถูกต้อง
"แล้วยังไงต่อ?"
"คุณชายจ้าว จ้าวอู๋จี๋ ปีนี้ก็อายุสี่สิบสองแล้ว สิบปีก่อนเป็นที่รู้จักและยอมรับในฐานะพี่ชายคนหนึ่งในเทียนตู ทั่วทั้งเทียนตูไม่มีใครกล้าที่ประมือกับเขาหรอก พูดได้คำเดียวว่าแม้ว่าจางฉางเกิงจะเก่งแค่ไหนแต่ในสายตาของคุณชายจ้าวนั้นเป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น!
วิธีการของคุณชายจ้าวนั้นเยี่ยมยอดมาก ปีนั้นที่เทียนตูเป็นอิสระแต่ละคนก็ให้คุณชายจ้าวเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย
วิธีการของคุณชายจ้าวนั้นน่าทึ่งมาก ไม่กี่ปีมานี้ ใครที่กล้าขัดใจเข ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหนก็ไม่น่าจะได้รับผลที่ดีหรอก หวังน่าหลานกษัตริย์แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มังกรตัวจริงแห่งตี้ตูหลี่ชิงตี้ เสือแห่งซินเจียงตอนใต้เฉิงเทียนกัง นอกเหนือจากตำนานที่ว่าซูฉางเชิงเองก็ไม่รู้ว่าเส้นทางที่มาเป็นอะไรนอกจากตามผู้อาวุโสในตระกูลออกมาต่อสู้ ถ้าครั้งไหนมือของเขามือต้องได้สัมผัสกับเลือดที่ไหลนองออกมา ทุกคนในเทียนตูต่างพูดถึงเขาและพูดถึงชื่อคุณชายจ้าวด้วยความเคารพ"
"อุตสาหกรรมของคุณชายจ้าวมีขนาดใหญ่มาก ทั่วทุกมุมโลก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อของผู้ที่ร่ำรวยแต่ก็เป็นมหาเศรษฐีไม่อันดับหนึ่งก็สองเลยล่ะ เท่าที่ฉันรู้มาฐานะทางสังคมของเขานั้นน่าจะติดอันดับหนึ่งในสิบของรายชื่อมหาเศรษฐีเลยนะ อำนาจกระจายไปทั่วในวงการนักการเมืองและนักธุรกิจหรืออาจจะพูดได้ว่าแค่เขาไอออกมาหนึ่งครั้งก็สะเทือนไปทั่วทั้งเทียนตู แต่หมายเลขหนึ่งของเทียนตูในทุกวันนี้กลับให้เขาแค่สามคะแนน"
ซูเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
จากสองสามคนที่เขาได้สัมผัส เจียงป๋ายก็ยังไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่ได้ยินคือ จักรพรรดิน่าหลานผู้ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นราชาแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลา 30 ปี ส่วนคนของเขาที่เหลือนั้นก็พอจะนึกออกว่าจะเป็นคนแบบไหน
ตัวละครดังกล่าวนั้นฟันหักอยู่ในมือของจ้าวอู๋จี๋ สูญเสียการกินไปแล้วก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปยังเทียนตูเลยแม้ครึ่งก้าว ความเก่งของคุณชายจ้าวท่านนี้จึงเป็นที่ประจักษ์
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เจียงป๋ายรู้สึกสนใจขึ้นมา และยังมีซูฉางเชิงที่ลึกลับอยู่อีกหนึ่งท่าน ทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าในเทียนตูนี้จะมีใครเอาชนะกับจ้าวอู๋จี๋ผู้นี้ได้อีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ออกจากเทียนตูไปแล้วเขาอาจจะชนะจ้าวอู๋จี๋ผู้นี้ก็ได้?
เหนือกว่าคนอื่นๆทั้งหมด
ไม่ทันรู้ตัว รถก็ขับเข้ามาในสวนสาธารณะแล้ว ผ่านป่าทึบไปปลายทางของเส้นทางที่ยาวนี้เป็นตึกใหญ่ที่สว่างสดใสปรากฏอยู่ตรงหน้าของเจียงป๋าย
อาคารเล็กๆในเจียงหนานโบราณถูกเชื่อมต่อเอาไว้เข้าด้วยกัน แสงไฟนีออนเหล่านั้นก็สาดส่องเข้ามา สะพานเล็กๆ น้ำที่ไหล ดูเก๋ไก๋และน่าประทับใจ
รถของเจียงป๋ายและพวกเขานั้นขับมาตรงนอกประตูที่ห่างออกมาร้อยกว่าเมตร ก็มีคนเข้ามาขวางไว้ แต่ก็ตกใจเมื่อเขานั้นถูกคนเรียกขึ้นมา หลีกทางให้ประตูใหญ่ถูกเปิดออก เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีคนสั่งมา คุณชายจ้าวท่านนี้เป็นคนที่มีความคิดประสิทธิภาพยอดเยี่ยมมาก
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสโมสร พวกเจียงป๋ายก็เดินมองไปรอบๆ
นอกเหนือจากอาคารหลักตรงกลางแล้ว ที่นี่ก็มีอาคารเล็กๆอีกกว่าสิบหลังและทุกๆหลังนั้นมีแสงไฟระยิบระยับเป็นประกาย ที่จอดรถขนาดใหญ่เต็มไปด้วยรถหรูหลายคันแม้แต่ชื่อเจียงป๋ายก็ไม่สามารถที่จะเรียกออกมาได้
ราคาเป็นล้านคุณต้องอายที่จะวางมันไว้ที่นี่ แน่นอนว่ามันเป็นค่าจอดรถแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ยกเว้นว่าจะมีตราเครื่องหมายพิเศษ
"เรือนเจียงหนานเป็นสโมสรชั้นนำของเทียนตูและยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมของคุณชายจ้าว คนที่จะสามารถมาที่นี่ได้นั้นก็จะต้องเป็นระดับแนวหน้านักการเมืองและนักธุรกิจ
ที่นี่รวมไปถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่รอบๆ เป็นอุตสาหกรรมของสโมสรทั้งหมด ด้านหน้าหันออกไปยังแม่น้ำใหญ่ ด้านหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่าน สภาพแวดล้อมสวยงามตระการตา
ระบบสมาชิกของที่นี่ต้องเป็นสมาชิกระดับพื้นฐานราคาเริ่มต้นก็ห้าล้านและต้องประเมินมูลค่า ไม่ได้แค่มีทรัพย์สินที่มากกว่าพันล้านถ้าหากอยากจะเป็นสมาชิกของที่นี่ ในปีนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรือนเจียงหนานนี้ที่มีบัตรสมาชิกอยู่กี่คน ในปีนั้นฉันเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งหรือคนอื่นพาฉันมา อะแฮ่มๆ......"
ลงจากรถมาแล้วเมื่อมองไปที่สะพานเล็กๆนั่น ซูเจี๋ยก็กระแอมออกมาว่า
"บอกสิว่าจะทำอะไร ถ้าหากนายต้องการหือมีข้อเสนอ ฉันจะให้นายภายในหนึ่งปีนี้"
เมื่อมองตาซูเจี๋ยแล้ว เจียงป๋ายก็หัวเราะหึๆออกมาพร้อมทั้งตบบ่าคนตรงหน้าที่พูดอยู่
ในระหว่างที่คุยกัน ก็มีชายคนหนึ่งเดินมา เป็นชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาธรรมดาๆ แต่มีความน่าทึ่งอยู่เดินมาตรงหน้าเจียงป๋าย และพูดออกมาด้วยความเคารพว่า "สวัสดีครับ คุณเจียง ผมคือหวังเป้า คุณชายจ้าวท่านอยู่ข้างในกำลังรอคุณอยู่เลยครับ เชิญคุณตามผมมา"
"คุณชายเป้า? จริงๆแล้วต้อนรับแบบเป็นกันเองก็ได้ครับ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะเรื่องของจางฉางเกิง วันนี้คุณชายจ้าวเป็นหน้าตาให้กับพี่ใหญ่ของฉัน"
ไม่รอให้เจียงป๋ายพูดต่อ ซูเจี๋ยก็หัวเราะฮ่าๆออกมา เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักคนตรงหน้า และตัดสินได้ไม่ยากเลยว่าตัวตนของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่า
ในความเป็นจริงแล้วอีกฝ่ายนั้นเพิ่งมาถึง เจียงป๋ายก็สังเกตเห็นถึงความพิเศษของอีกฝ่ายแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นระดับมืออาชีพและเขาไม่ได้อยู่ภายใต้ปรมาจารย์อย่างโจวซื่อหลง
มันเป็นเพียงแค่ศิลปะประจำชาติเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ ไม่ได้เห็นอย่างลึกซึ้ง เจียงป๋ายเพียงแค่ประมาณการคร่าวๆ
"ที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นเกียรติของผมที่ได้พบกับคุณเจียง การต่อสู้ก่อนหน้านี้คุณเจียงเป็นคนที่น่าชื่นชมมากครับ ผมเองไม่สามารถเทียบได้เลย ไม่กล้าแม้แต่จะประมือกับคุณเจียงเพียงแค่หวังว่ามีโอกาสที่จะได้สอบถามคุณเจียงเล็กน้อย" หวังเป้ากระซิบเบาๆๆ และพยักหน้าให้กับซูเจี๋ยที่อยู่ด้านหลังและพูดกับเจียงป๋ายอย่างสุภาพ
ด้วยท่าทางที่นอบน้อมมาก บางทีอาจเป็นเพราะบันทึกที่คลุมเครือของเจียงป๋ายจึงทิ้งร่องรอยไว้หนักเกินไป ทำให้เขาไม่กล้าที่จะดูแลได้บกพร่องแม้แต่นิดเดียว