บทที่ 27 สัญญาณเตือนภัย
ตอนที่ 27 สัญญาณเตือนภัย
ค้นหารายการทีวียอดนิยมและดูมาครึ่งคืนแล้ว เจียงป๋ายก็ทนต่ออารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ไม่ไหวแล้วหลับไป วันต่อมาเขาเริ่มต้นชีวิตที่เบื่อหน่ายนี้เหมือนเดิม สิ่งที่แตกต่างไปคือ หลินหวานหยูดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก วันนี้ก็ยังไม่ได้มาส่งอาหารให้กับเจียงป๋าย เลยทำให้เจียงป๋ายต้องไปมหาวิทยาลัยเทียนตูที่ไม่ได้ไปมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว และเป็นครั้งแรกที่ตัวเองเดินออกมาจากห้องสมุด เมื่อมาถึงประตูมหาวิทยาลัยก็มองหาร้านค้าเล็กๆ กินข้าวราดมันฝรั่งกับเนื้อวัว
บิดขี้เกียจไปมาหนึ่งที จากนั้นก็จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพ่นควันขาวๆออกมา ฮัมเพลงที่คุ้นเคยไปเรื่อยๆ เจียงป๋ายก็เดินเล่นไปที่ห้องสมุด แต่ก็หยุดอยู่ตรงประตูเนื่องจากใครคนหนึ่งทักขึ้นมา
"เธอคือเจียงป๋ายใช่ไหม?"
เมื่อเจียงป๋ายกำลังจะก้าวขึ้นบันไดมา หญิงสาวแววตาสดใสคนหนึ่งวิ่งลงมาจากรถคันหนึ่ง เครื่องแบบตำรวจชุดนั้น ผมสั้นๆสัมผัสได้ถึงความสามารถเล็กๆน้อยๆมีเครื่องแบบตำรวจขนาดใหญ่สวมทับร่างไว้อย่างภาคภูมิใจ
"ฉันหลิวรั่วหนานทีมนักสืบทั่วไปค่ะ"
ตำรวจสาวพูดออกมาพร้อมกับยื่นเอกสารมาตรงหน้าเจียงป๋าย
ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ชายสองคนลงมาจากรถ สูงวัยหนึ่งคนและเด็กหนุ่มหนึ่งคน ชายสูงวัยอายุน่าจะประมาณห้าสิบปี รูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์เล็กน้อย ผมสีดำที่มีอยู่น้อยบนศีรษะเผยให้เห็นศีรษะอันแวววาว และเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ดูๆแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบปี ไม่น่าจะห่างกับเจียงป๋ายมากนัก
ทันทีที่ทั้งสองคนลงมาจากรถก็จ้องมองมาทางเจียงป๋าย แม้ว่านัยน์ตามีความสับสนอยู่เล็กน้อยแต่ก็เผยให้เห็นความกลัวบางอย่างออกมาไม่มากก็น้อย
"สวัสดีครับ เจ้าหน้าที่หลิว ไม่ทราบว่ามาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?"
เจียงป๋ายมองไปที่ตำรวจสาวสวยน่ารักคนนั้น เลิกคิ้วขึ้น ถามทั้งๆที่ไม่ได้รับอนุญาต
ปฏิกิริยาแรกที่รู้สึกได้ก็คือคิดว่าจางฉางเกิงตาเฒ่าและเด็กหนุ่มนี้เรียกตำรวจมาเหรอ?
แต่อย่างไรก็ตามความคิดเหล่านี้ก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากว่าจางฉางเกิงต้องการจะจัดการกับตัวเองจริงๆแล้วล่ะก็ ถึงกับต้องพึ่งทั้งสามคนตรงหน้าเลยอย่างนั้นเหรอ?
ล้อกันเล่นน่า!
อย่างน้อยๆก็น่าจะมีหน่วยสวาท นำอาวุธหนักมา และล้อมที่นี่ไว้ไม่ใช่เหรอ?
ในที่สุดก็แสดงให้เห็น ชายสูงวัยคนนั้นกับเด็กหนุ่มก็มองเห็นผ่านสายตาตัวเอง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นตัวเขาเองไม่สามารถควบคุมเขาได้
"ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หวังว่าคุณจะกลับไปพร้อมกับเราเพื่อทำการให้ปากคำสอบสวนนะคะ"
หลิวรั่วหนานมองหน้าเจียงป๋ายและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มีสีสันปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยๆเลย มองดูอย่างสงบเยือกเย็น เจียงป๋ายเลิกคิ้วและยิ้มออกมาเล็กน้อย
"เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับคุณตำรวจ? ผมว่าคุณคงกำลังเข้าใจผิด เมื่อผมนอนอยู่บ้านตลอดทั้งวัน" เขายักไหล่ขึ้นเหมือนไม่แยแส ใบหน้าเจียงป๋ายดูใสซื่อ
"นอนอยู่บ้านอย่างนั้นเหรอ? ฉันอยากให้คุณกลับไปกับเราและพูดมันอีกครั้งเถอะ! เจียงป๋ายนี่คุณคิดว่าตำรวจเป็นคนโง่หรือไง? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานลือกันไปอย่างดุเดือด นี่คุณคิดว่าพวกเราไม่รู้เหรอ?
ได้ยินมาว่ามีคนตายหลายสิบคนเลย นี่มันเป็นคดีฆาตกรรมที่น่ากลัวมาก อย่าคิดว่าแค่คุณเก็บกวาดแล้วจะไม่มีใครรู้นะ กลับไปกับฉันและเล่าความจริงทั้งหมดเถอะ!" เสียงของหลิวรั่วหนานดังขึ้นเท่าทวีคูณ และพูดออกมาด้วยความโมโห
"นี่คุณมีหลักฐานกันหรือเปล่า? หรือจะพูดอีกอย่างว่า คุณเชื่อเหรอว่าคนๆเดียวจะจัดการกับคนสองร้อยกว่าคนได้?"
ทัศนคติของฝ่ายตรงข้ามไม่ดีเลย เจียงป๋ายก็ไม่เกรงใจแล้ว คำพูดที่พูดไปไม่มีน้ำเสียงของการหัวเราะล้อเล่นออกมา ตอบกลับไปอย่างเย็นชา
"นี่........."
ด้วยประโยคนี้ทำให้หลิวรั่วหนานเหมือนจะชะงักไป และพูดไม่ออก
พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ทีแรกที่เธอได้ยินข่าวนี้เธอยังรู้สึกเลยว่ามันไร้สาระ
คนคนนึงเนี่ยนะจะจัดการกับคนสองร้อยกว่าคนได้?
เล่นตลกอะไรเนี่ย!
มันไม่ใช่ละครทีวีนะ
เพียงแค่พูดต่อๆกันมาไม่กี่บรรทัด ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เชื่อนะ ก่อนที่เธอจะรีบมาหาเจียงป๋ายก็เพื่อจะได้พาตัวเจียงป๋ายไปสอบสวน โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นไม่มีหลักฐานอะไรเลย
แต่พูดกันตามตรงแล้ว ครั้งแรกที่เธอพบเจียงป๋าย ก็รู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความบอบบางอ่อนแอและแลดูเป็นพวกวิชาการ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนโหดร้ายทารุณอย่างที่พูดกัน มันเป็นแค่สัญชาตญาณความเป็นมืออาชีพในหน้าที่เท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เจียงป๋ายพูดออกมามันกลับทำให้เธอรู้สึกว่าเธอได้ทำอะไรผิดพลาดไป
แววตาอันสดใสของเจียงป๋ายฉายแววเป็นประกายออกมา แล้วก็มองไปยังทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าและพูดออกมาอย่างดุดันว่า "อีกอย่าง ถ้ามันเป็นความจริง คุณคิดว่าพวกคุณสามคนจะจับตัวฉันได้อย่างนั้นเหรอ? เมื่อวานนี้มีข่าวลือไปทั่วว่า ในจำนวนสองร้อยกว่าคนนั้นมีมือปืนอยู่ด้วยสิบกว่าคน แต่สุดท้ายมันก็ตายกันหมด!"
การแสดงออกมาของฝ่ายตรงข้ามนั้น เจียงป๋ายแทบจะมั่นใจว่าพวกเขานั้นไม่มีหลักฐานแน่นอน มันก็เป็นแค่ข่าวลือที่หญิงสาวคนนี้ได้ยินมาอีกทีเช่นกัน แต่ไม่ได้พิจารณาในสิ่งที่พูดถึง
"คุณ.......คุณจะทำอะไร?"
คำพูดของเจียงป๋ายทำให้หลิวรั่วหนานรู้สึกตกใจขึ้นมา จิตใต้สำนึกสั่งให้ถอยออกมาจากตรงหน้าเจียงป๋ายสองก้าว
สองคู่หูของเธอนั้นก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเด็กหนุ่มนั่นที่ซุกมือเข้าไปตรงซอกแขน เตรียมที่จะดึงปืนออกมา
"ฮ่า ฮ่า ไม่มีอะไร!" เสียงหัวเราะฮ่าฮ่า เจียงป๋ายหมุนตัวหันกลับไปแล้วก็เดิน โดยที่ไม่ได้สนใจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเลย
"ไอ้บ้า!"
จนกระทั่งเจียงป๋ายหายไปต่อหน้าพวกเขาทั้งสามคน หลิวรั่วหนานก็ตอบโต้ออกมา มือข้างหนึ่งทุบเข้ากับประตูรถ!
"ทำอย่างไรดีครับพี่รั่วหนาน? ที่จางฉางเกิงบอกมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ลูกชายของเขาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีไม่กี่คนที่อยู่อยู่ภายใต้อำนาจเขาและเจียงป๋ายเองก็ไม่ยอมรับด้วย พวกเราเองก็ไม่มีหลักฐานนและอีกอย่าง......" ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆหลิวรั่วหนานเข้ามากระซิบ
"แล้วอีกอย่างอะไร?" หลิวรั่วหนานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นๆ
"และ ถ้าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง พวกเราสามคนก็ทำอะไรเขาไม่ได้เลย!
ฉันคิดว่า 80% ของเรื่องนี้นั้นไม่จริง คนคนเดียวจะจัดการคนกว่าสองร้อยคน และยังมีมือปืนอยู่ด้วยอีกสิบกว่าคนเนี่ยนะ? มันจะเป็นไปได้ยังไง"
ถ้าหาก......ถ้าหากเป็นเรื่องจริง ฉันคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าพวกเราไม่สร้างปัญหาขึ้นมา เมื่อกี้นี้ฉันคิดว่าเขานั้นต้องการจะลงมือฆ่าพวกเราแล้วซะอีก กลัวจนเหงื่อเย็นๆนั้นผุดขึ้นมา เกือบจะชักปืนออกมาแล้วเชียว"
ชายหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา และมองไปยังใบหน้าของหลิวรั่วหนานที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกระซิบเสียงเบาๆ
ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าตำรวจที่น่ารักสวยงามจะมีอารมณ์แบบนี้ได้ยังไงกัน ปกติในแต่ละวันก็ไม่ได้พูดกับใครเลย และใบหน้าเย็นชาไปทั่วหน้ามีอารมณ์ร้อนจนน่ากลัวจริงๆ
คิดถึงเมื่อตอนที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้สอบสวนคดีอาญา เธอรีบไปที่แนวหน้าของเธอเพื่อสร้างรายได้เล็กน้อยกับทีมของเธอ จนตอนนี้เธอแทบอยากจะตบหน้าตัวเอง
"นี่นายกลัว! มีอะไรที่จะต้องกลัว! ฟ้าดินแห่งนี้ยังเป็นอาณาเขตของประชาชน! ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร! กล้าก่ออาชญากรรมขึ้นมา ฉันหลิวรั่วหนานคนนี้จะจับเขาเอง! เฉียนเสี่ยวห้าว ถ้านายกลัวจะออกไปก็ได้นะ ไม่ต้องตามฉันมา!"
หลิวรั่วหนานเพิ่งถูกเจียงป๋ายเปลี่ยนจิตใจกะทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการฆ่า รู้สึกเหมือนเสียหน้าไป ตอนนี้เฉียนเสี่ยวห้าวพูดขึ้นมาแบบนี้อีก เธอจึงโกรธมากขึ้นไปอีก
"แค่ก แค่ก รั่วหนาน ฉันว่าให้มันจบแบบนี้เถอะ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เธอเองก็เห็นแล้ว เจ้าเด็กนั่นมันไม่มีศีลธรรม จากประสบการณ์ของฉันที่มีมาหลายปี ถึงแม้ว่าข่าวลือข้างนอกนั่นจะไม่เป็นความจริง แต่เจียงป๋ายคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน คงจะทำให้พวกเราทั้งสามคนลงไปกองอยู่ที่พื้นได้ไม่กี่นาทีแน่
"คุณลุงลวี่ของเธอนั้นฉันยังเหลือเวลาอีกสามเดือนก่อนที่จะเกษียณ เธอควรจะสงสารฉันบ้างสิ หลังจากสามเดือนนี้เธออยากทำอะไรก็ทำเลยตามที่เธอต้องการ ตอนนี้พวกเราสามคน ถ้าเธอไม่หนักแน่นพอ เขาคงต้องฆ่าเสี่ยวห้าวและเราทั้งคู่ไปด้วยกันเลย"
ชายวัยกลางคนที่ไม่เคยพูดอะไรเลยกลับมาพูดในเวลาแบบนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของหลิวรั่วหนาน!
"เหอะ คนขี้ขลาดทั้งสองคน!"
ทั้งสองได้ยินคำพูดนี้จากรั่วหลาน สีหน้าท่าทางของหลิวรั่วหนานนั้นเย็นชายิ่งกว่าน้ำค้างแข็ง เธอขึ้นรถโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำและเหยียบคันเร่งออกไป และทิ้งทั้งสองคนไว้ด้านหลัง ได้แต่มองหน้ากันไปมา ทำอะไรไม่ถูก