บทที่ 24 จ้าวอู๋จี๋
ตอนที่ 24 จ้าวอู๋จี๋
พอคำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากของซูเจี๋ย วันนั้นทั้งวันก็ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว
ทางด้านจางฉางเกิงเองก็ไม่ได้เพิกเฉยแต่อย่างใด เขารีบระดมไพร่พลได้ประมาณสองร้อยกว่าคน ทุกคนต่างก็ผ่านการสงครามมาอย่างโชกโชน และยังเชิญเหล่าจอมยุทธยอดฝีมือที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอีกสิบกว่าคน ช่วงบ่ายๆพวกนักกังฟูก็เริ่มทยอยมารวมตัวกันที่คฤหาสน์ของจางฉางเกิง จนพอตกเย็น กองกำลังของรถม้าที่ใหญ่โตมโหฬารกว่าสิบคันก็เข้ามาในเขตชานเมือง
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าจางฉางเกิงนั้นทำเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเสียได้ ข่าวคราวของเจียงป๋ายแค่ช่วงเวลาสั้นๆในตอนบ่ายก็ถูกสอบถามจนได้เรื่องที่ชัดเจนขึ้น ได้ยินว่าเขาเป็นนักสู้ที่เก่งกาจ คนเดียวก็สามารถสู้กับคนถึงสิบคนได้ กั้วเจียงหลงที่มาจากทางเหนือก็ถูกให้กลับไป ได้ยินว่ามีความเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มอยู่บ้างเหมือนกัน
แต่ยังไงซะ เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนนึง ต่อให้เก่งการต่อสู้ หรือต่อให้ร้ายกาจมากแค่ไหน ก็ไม่คุ้มพอทีจะต้องใช้กองกำลังพลตั้งมากมายขนาดนี้หรอก!
หลายคนต่างก็คิดว่าที่จางฉางเกิงทำนั้นไม่ต่างจากการขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเสียได้
"คุณชายจ้าว ตาเฒ่าจางฉางเกิงคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว เขาระดมพลมาสองร้อยกว่าคน ยี่สิบกว่าคนในนั้นมีนักโทษที่ต้องคดีด้วย พวกนั้นเองต่างก็พกอาวุธไว้ครบมือ ยังมีพวกจอมยุทธยอดฝีมืออยู่อีกสิบสองคน ได้ยินมาว่าหัวหน้าพรรคหงฉวนอย่างโจวชื่อหลงเองก็ได้รับเชิญด้วย ตอนนี้พวกเขาเร่งพากำลังพลออกไปกันแล้ว ท่านคิดว่าที่เขาทำแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน?"
"ฉันได้ยินมาแล้วล่ะ เจ้าเด็กที่ชื่อเจียงป๋ายน่ะ ถึงอายุจะยังน้อยแต่ก็เก่งกาจไม่เบา อย่างน้อยๆฝีมือของเขาก็ได้ครึ่งของหัวหน้าเลย ครั้งก่อนเข้าก็จัดการสุนัขรับใช้ของน่าหลานไป แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่คุ้มพอที่จะต้องมาทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้หรอก!"
ศูนย์กลางหลักของเทียนตู ที่ในสวนสีเขียวมรกตนั้น ท่ามกลางพื้นที่เพาะปลูกนานาพันธุ์ที่ห้อมล้อมไปด้วยสวน มีชายกลางคนคนหนึ่งที่สวมแว่นตาและเป็นที่เคารพที่สุดในตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้พับตัวยาว เขาหรี่ตาลงมองชายผู้ฉลาดเฉลียวที่บนเก้าอี้พับ ที่กำลังค่อยๆลิ้มรสของไวน์ในแก้วที่เขาถือไว้พลางก็พูดไป
ห่างออกไปสิบก้าวนั้นมีป้อมปราการคอยรักษาความปลอดภัย มันเต็มไปด้วยชายผู้บึกบึนในชุดสูทสีดำยืนเรียงรายกันอยู่ คอยอารักขาอยู่ทุกทิศทางอย่างแน่นหนา
"ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้ตาเฒ่าจางฉางเกิงดูจะอยู่ไม่สงบเลยนะ เขาคงจะเชือดไก่ให้ลิงดู ครั้งนี้ก็แค่หาข้ออ้างจะอวดวางกล้ามเท่านั้นเอง รู้สึกว่าร่างกายฉันตอนนี้นับวันก็ยิ่งแย่ลง พอคิดๆดูแล้ว รอฉันตายไป พูดไม่ได้เลยว่าเขาคงยังอยากจะหุบธุรกิจของบ้านฉันไว้"
ชายผู้หลักแหลมอายุน่าจะประมาณสี่สิบกว่าได้แล้ว แต่ภายนอกยังคงดูหนุ่มแน่น ถือเป็นชายแก่ที่หล่อได้มาตรฐานเลย บนตัวเขาสวมชุดคลุมจีนตัวยาว เขาจิบไวน์ไปเล็กน้อย พลันคนข้างๆก็ค่อยๆช่วยพยุงเขายืนขึ้นมาอย่างเบามือ เขาเดินไปด้านหน้า พลางก็เดินไปพลางพูดไป
เขาเพิ่งจะอายุได้สี่สิบเท่านั้นเอง แต่ท่าทางการเดินของเขากลับดูต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย ถึงจะให้คนคอยช่วยพยุง แต่ก็ยังต้องใช้ไม้เท้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน ดูแล้วสุขภาพกลับไม่ค่อยดีนัก
"ช่างกล้านัก! ผมจะรีบไปจัดการเขาให้ครับ" ชายกลางคนข้างๆนั้นพอได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันที พลันก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธๆ
"ฮ่าๆ เธอเนี่ยนะ... ยังจะโวยวายอีก หลายปีแล้วนะ อารมณ์โกรธของเธอยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย"
เรื่องของฉัน ฉันรู้ตัวดี เวลาของฉันก็เหลือไม่มากแล้ว แต่ขอเพียงฉันยังมีชีวิตอยู่ได้วันนึง เขาก็อย่าหวังจะทำอะไรได้เลย
ตาเฒ่าจางคนนี้เองก็อายุมากแล้ว คงจะสับสนอะไรแน่ เขาคิดว่าหลายปีนี้ที่เขาทำความดีความชอบแล้วจะได้เป็นคนใหญ่คนโตจริงๆน่ะหรอ? จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยู่ในสายตาอยู่ดี
สามปีก่อน เรื่องของหลี่ชิงตี้เมื่อครั้งนั้น เขาคิดจริงๆหรอว่าเป็นผลงานของเขา?
ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวอู๋จี๋ ตอนนั้นหลี่ชิงตี้คงจะจัดการกับตระกูลเขาไปแล้ว เบื้องหลังของเขาระดับถือว่าไม่ต่ำเลย แต่พอได้ร่วมมือกับหลี่ชิงตี๋แล้วก็ยังถือว่าแย่อยู่นิดหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น... ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานและที่เทียนตูเองก็เต็มไปด้วยมังกรยอดฝีมือตั้งมากมายล้นหลาม เขาจะไปหยุดใครได้ไหวอีกล่ะ?
มีแต่ความมักใหญ่ใฝ่สูง น่าเสียดายที่ไม่มีวิสัยทัศน์เท่าไหร่ สุดท้ายเลยทำการใหญ่อะไรไม่ได้เลย เกี่ยวกับเขาแล้ว แต่ที่ฉันกังวลก็คือเจ้าเสือที่ทางใต้ตัวนั้น เขาเพ่งมองฉันไม่ใช่แค่วันสองวัน ตอนฉันอยู่ เขายังกล้ามาตอแยอยู่หลายต่อหลายครั้ง ถ้าฉันไม่ได้อยู่แล้วจริงๆ เจ้าเสือตัวนั้นคงได้ออกมากินคนแน่ๆ!"
เขาโบกมือ จ้าวอู๋จี๋ที่อยู่เบื้องหน้าผู้ถูกเรียกว่าคุณชายจ้าวก็หัวเราะร่าขึ้นมา แค่พอพูดถึงหลังจากนั้น ก็รู้สึกสง่าขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว
"นี่..."
พอพูดถึงเสือตัวนั้น คนวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ในสายตานั้นฉายแววหวาดกลัวอยู่น้อยๆ
คนๆนั้นไม่ใช่คนที่จะเจรจาด้วยได้ ฉายาเสือแห่งหนานเจียนไม่ได้มาเปล่าๆ เหมือนที่ลุงจ้าวว่า เด็กคนนั้นถึงจะอายุยังน้อย แต่จริงๆแล้วกลับรู้วิธีใช้ประโยชน์จากคนด้วย!
"เอาล่ะๆ ไม่พูดถึงเขาแล้ว เสือร้ายแห่งเมืองใต้พูดคำไหนคำนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีศัตรู พวกทางด้านเซียงเจียง คนหน้าไม่อายอย่างเลิ้งเชิงเชิงเองช่วงสองปีมานี้ก็หักเขี้ยวเขาไปได้มากโข เขาเลยต้องปล่อยให้มาวางกองกำลังที่นี่ ต้องคอยระวังอันตรายจากด้านหลังก่อนถึงจะดี แต่เจ้าคนไร้ยางอายนั่นก็ไม่ใช่คนที่จะเจรจาด้วยได้เหมือนกัน มีเรื่อง มีเรื่องแน่ๆ... นอกจากนี้ยังมีมังกรแห่งเมืองหลวงจักรวรรดิที่เคยสูญเสียไปเมื่อครั้งก่อนอย่างหลี่ชิงตี้อีก... ฮะๆๆ พอฉันตายไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงไม่ใช่เรื่องของฉันอีกแล้ว"
ลุงจ้าวหัวเราะร่าออกมา พลางก็พูดไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
พอพูดจบ ก็ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ คนข้างๆนั้นจึงกำชับไปว่า "หัวหน้าของซูเจี๋ยกับผมเองก็เคยมีเหตุมีผลกันอยู่ ปีนั้นผมติดหนี้พวกชายแก่คนนั้นอยู่ ซูเจี๋ยเองก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของเขา คุณบอกจางฉางเกิงเถอะ ว่าเด็กหนุ่มเจียงป๋ายน่ะผมไม่ว่าอะไรหรอก แต่ไว้ชีวิตซูเจี๋ยไว้คนเถอะ บอกว่าผมขอ
เด็กหนุ่มที่ชื่อเจียงป๋ายนั่นก็เหนือความคาดหมายของผมอยู่มาก นึกไม่ถึงว่าจะกล้าท้าทายกับจางฉางเกิง แล้วยังจะพูดออกมาแบบนั้นอีก นับว่าใจกล้าอยู่ไม่น้อยเลย น่าเสียดายถึงความกล้าจะน่ายกย่อง แต่ยังฉลาดไม่พอ ผมเดาว่ามันคงจะยากไปสักหน่อยที่จะผ่านไปได้ ถ้าเขาสามารถผ่านด่านนี้ไปได้จริงๆล่ะก็ ผมคงจะต้องมองเขาใหม่แล้วล่ะ พอถึงตอนนั้นแล้วไม่เพียงแค่จะถูกจับตามอง ไม่แน่ว่าอีกหลายปีให้หลังเขาอาจจะกลายเป็นยอดฝีมือคนสำคัญคนนึงเลยก็ได้"
พอพูดไปแบบนั้นแล้ว ก็ไม่ได้สนใจคนข้างกายอีก ก่อนหันตัวจากไป
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ชานเมืองเทียนตูในสวนสวยของหมู่บ้านนั้น ผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมยาวทั้งหนวดเคราและเส้นผมต่างก็มีสีขาวก็ได้รับข่าวคราวการตอบโต้ แต่เขาก็เพียงแค่ตัวสั่นๆ มือเบาๆนั้นโบกสะบัดให้คนออกไป หลังจากนั้นเขาก็หยัดตัวขึ้นยืน ก่อนจะเริ่มรดน้ำดอกไม้ด้วยตัวของเขาเอง
แล้วสักพักเขาก็พึมพำกับตัวเองขึ้นมาว่า "ซูเจี๋ย ทางที่เธอเลือกเดินเอง หวังว่าจะไม่เลือกเดินผิดนะ"
แต่ทั้งหมดนี้พวกเจียงป๋ายไม่มีทางรู้แน่ๆ
ช่วงบ่ายๆพวกของซูเจี๋ยก็พักทานอาหารดื่มน้ำกันตามอัธยาศัย ตามที่เจียงป๋ายกำชับเขาไว้ว่า ใครที่จากไปก็ไปแต่เขาจะไม่มีวันหยุด
แต่ก็นึกไม่ถึงว่าพวกลูกน้องที่ตามซูเจี๋ยมาเองก็เป็นพวกไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน เลิ้งเชิงเชิงคนนึงแหละที่จะไม่ไปไหน แต่ก็ทำให้เจียงป๋ายรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเจียงป๋ายเองก็ไม่ได้จะสงสัยอะไร เขาให้คนไปทำเหล้าทำเนื้อมาเสิร์ฟ และทุกคนต่างก็นั่งลงรับประทานกันอย่างไม่ได้สนใจอะไรมาก แทบจะลืมสิ้นซึ่งภยันอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่
ส่วนทางด้านจางเทียนอั๋งผู้น่าสงสารเอง แขนขาทั้งสี่ถูกทำร้ายจนหล่นกองอยู่บนพื้น ตลอดบ่ายเขาเอาแต่ร้องอวดครวญอย่างเจ็บปวด เป็นเพราะอวัยวะภายในของเขาที่ได้รับบาดเจ็บทำให้เขาไอออกมาเป็นเลือดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งน่าเศร้าน่าอับอาย ล้วนไร้ซึ้งความเย่อหยิ่งและความมั่นใจที่เคยมีอยู่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า มีเพียงความหวาดกลัวที่ฝังลึกในใจ ด้วยกลัวว่าพวกเจียงป๋ายจะมาสู้กันจนถึงกะต้องตกตายกันไปข้าง และคงจะได้มาตามล่าหัวของเขาแน่ๆ
โดยไม่ทันรู้ตัว โคมไฟต่างก็ฉายแสง ที่ในโรงงานร้างด้านชานเมือง กองไฟถูกจุดขึ้นมา สว่างวาบไปทั่วท้องฟ้าอันว่างเปล่า ทำให้พื้นที่ว่างเปล่าผืนใหญ่นั้นสว่างจ้าขึ้นมา
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงร้องของรถเร็วก็ดังลอยมา รถแต่ละคันนั้นเรียงรายกันมาเรื่อยๆจนดูเหมือนกับมังกรตัวยาว พลันเหล่าชายฉกรรจ์ผู้แข็งแรงต่างก็กรูกันลงมาจากบนรถราวกับน้ำที่ทะลักล้นออกมา...