บทที่ 10 บอกฉันถ้ามีเรื่องที่เขตเหนือ
ตอนที่ 10 บอกฉันถ้ามีเรื่องที่เขตเหนือ
มองเห็นท่าทางของถังจงหมิง เจียงป๋ายก็ไม่ยอมแพ้ เขาแอบหัวเราะเบาๆ เตรียมกระโจนต่อสู้ มือเขาตั้งการ์ดท่าทีสวยงามต่อหน้าถังจงหมิง ท่าทางอ่อนไหวแต่เต็มไปด้วยพลัง
ดั่งสุภาษิตที่กล่าวไว้ว่า: "ปรมาจารย์ระดับแปด ต่อให้เป็นเทวดาหรือผีก็ไม่กลัว"
การต่อสู้ด้วยมือของเจียงป๋ายร้ายกาจดั่งฟ้าฟาดพิฆาตมหาสมุทร
"อื้ม?" ถังจงหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
ในที่สุดปรมาจารย์จงก็ยอมตอบโต้ ท่าทีของเขาไม่ยอมแพ้ เมื่อเห็นสีหน้าของเจียงป๋ายที่เปลี่ยนไปเขาก็รีบออกท่าทางต่อสู้อย่างทันที ขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อท้าทายเจียงป๋าย
ฝีเท้าของเขาว่องไวดั่งสายลม ท่าทางที่กระตือรือร้นและรุนแรง
คนสองคนเปรียบเสมือนวานรที่ประจันหน้ากัน กระพริบตาใส่กันนับไม่ถ้วนทำให้คนที่ได้มองตาลายไปหมด
ถึงกับทำให้ลูกน้องทั้งเจ็ดแปดคนของหม่าเจียงและถังจงหมิงตกตะลึงพรึงเพริดไปหมด
ถึงแม้ว่าซูเจี๋ยจะเตรียมตัวมาแล้วแต่ก็ทำให้เขาถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ เพราะเขารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าทั้งสองคนนี้เก่งกาจกว่าเขายิ่งนัก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยสู้กับเจียงป๋าย แต่เขารู้สึกว่ายังอ่อนประสบการณ์ แต่ว่าตอนนี้เขาได้รับรู้ถึงประสบการณ์จริงแล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกโชคดีกับตัวเลือกที่เขาเคยเลือกไว้ เจียงป๋ายวัยรุ่นขนาดนี้แต่ร้ายกาจยิ่งนักแล้วในอนาคตเขาจะขนาดไหนกัน?
ถ้าหากรู้วิธีการต่อสู้นี้ไม่ว่าจะเจอศัตรูมากขนาดไหนก็ต้านทานไหว ปกติคนทั่วไปไม่ถือปืน ต่อให้จะมากี่ร้อยคนก็ทำได้แต่คุกเข่าขอร้อง
"เพี๊ยะๆ!"
นี่เป็นอีกครั้งที่เจียงป๋ายต้องต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่ง เขาทั้งสองต่างคนต่างถอยกันคนละก้าว เจียงป๋ายค่อยๆล้มลงพื้น ถังจงหมิงถอยหลังสองสามก้าว สีหน้าทั้งคู่ล้วนไม่สู้ดี ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่าข้อเท้าข้างขวาเริ่มเป็นแผล ขาทั้งขาสั่นเทา
เขตแดนนี้ศิลปะการต่อสู้เขามีอำนาจมากนัก พูดถึงคนสองคนที่คนหนึ่งเป็นถึงกึ่งปรมาจารย์ อีกคนเป็นถึงปรมาจารย์ ฝีมือทั้งคู่ล้วนไม่มีใครเทียบเทียมได้
" ปรมาจารย์ระดับ8? มือวางอันดับหนึ่ง! ปรมาจารย์ระดับ8มือดีคนหนึ่ง อายุก็ยังรุ่นๆเจอคู่แข่งแบบนี้ใช่เรื่องง่ายซะที่ไหน! "
ถังจงหมิงพูดข่มเจียงป๋ายพร้อมกับลงมืออีกครั้ง
เมื่อกี้ที่เขาลงมือไปก็เสียเปรียบแล้วแต่เขาก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อ เสียงคำรามเป็นเหตุทำให้ตกที่นั่งลำบาก?
ถังจงหมิงเป็นที่เลื่อมใสของที่นี่ ใครจะกล้ายอมเสียคนของตัวเอง!
ต่อให้กัดฟันสู้ก็คงไม่แพ้ขนาดนี้!
"ฮ่าๆ" เจียงป๋ายไม่พูดอะไรมาก เขาต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายของเขา เขาถูกต่อยที่หัว แต่ว่าเขาก็เตะสวนไปที่ขาซ้ายของถังจงหมิง
"อะไรนะ! ปรมาจารย์ฮัวจิ้น!"
สีหน้าของถังจงหมิงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ท่าทางเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว ไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกเจียงป๋ายก็โจมตีจนกระเด็นออกไป
เพียงไม่กี่วินาทีเจียงป๋ายก็กระโจนใช้"ท่าเถี่ยชานข้าว" แต่ว่าจุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่ถังจงหมิง แต่คือกองพุ่มไม้ที่อยู่ตรงเท้าของถังเจียงหมิงประมาณ30-40ต้น
"หั้ยหยา!"
หลังสิ้นสุดเสียงนั้น ต้นไม้ที่มีอยู่30-40กว่าต้นก็ถูดกวาดเรียบ ก่อนที่ถังจงหมิงจะร่วงหล่นลงพื้น เล่นเอาทุกคนมองด้วยสายตาที่น่าฉงน
โดยเฉพาะซูเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะหดคอหนี หน้าตาหวาดกลัวมองไปที่เจียงป๋ายแล้วพูดอย่างพึมพำว่า: "ไอหยา เด็กคนนี้ เล่นเอาซะฉันกลัวหัวหดไปหมด"
"พี่ใหญ่.....พี่ใหญ่......"
คนของถังจงหมิงรีบกันช่วยพยุงตัวเขาขึ้นมา ท่ามกลางคนสองคนที่กำลังพยุงเขาขึ้นมา เจียงไปมองดูและรีบกระโจนเข้าหา ไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาก็จัดการกับทั้งคู่ไป
"ไสหัวไป!"
ถังจงหมิงพึ่งลุกขึ้นได้จากพื้นไม่ทันได้ตั้งตัวเขาก็ถูกถีบเข้าอย่างแรงที่มือทั้งสองข้าง จนทำให้ได้ยินถึงเสียงกระดูกที่ดังลั่น ไม่ต้องดูก็รู้ว่าแขนทั้งสองข้างของเขาน่าจะใช้การไม่ได้อีกแล้ว
"น่าละอายเสียจริง! ฉันถังจงหมิงสู้คนอื่นไม่ไหว พวกแกถึงกับชักปืน? พวกแกทำเหมือนกับไม่ใช่คนของฉัน คนที่ละอายที่สุดคือคนของพี่หวัง! หลังจากวันนี้ไปถ้าคนเขาลือกันว่าลูกน้องพี่หวังสู้คนไม่ได้ก็ควักปืน? นี่มันเป็นเรื่องตลกยิ่งนัก!"ถังจงหมิงตวาด
เขาพึ่งจะคิดได้ทีหลัง รีบเข้าไปคารวะเจียงป๋าย "ท่าทางจะสู้ไม่ไหว ฉันถูกสั่งสอนมาอย่างผิดๆ วันนี้คนของฉันทำผิดไปแล้ว จะลงโทษยังไงก็รีบบอก ฉันถังจงหมิงรู้แล้ว ฉันแค่เห็นว่าพวกมันอยู่กับฉันมานาน ถ้าไม่พอใจอะไรฉันถังจงหมิงจะช่วยจัดการพวกมันเอง!!"
"ไม่เป็นไร.....ถือซะว่าเรื่องเมื่อกี้เป็นเรื่องผิดพลาด ไม่ต้องจริงจัง วันนี้มาจัดการปัญหาไม่ใช่เหรอ ยังจะมาหาเรื่องอะไรอีก? ฉันเจียงไป๋ ถือซะว่าคบเป็นมิตรสหายก็แล้วกัน"
เจียงป๋ายหัวเราะ ไม่ใส่ใจอะไร ถือซะว่าเรื่องที่พึ่งจัดการไปเมื่อกี้เป็นบนลงโทษ ถึงแม้ว่าในใจของเจียงป๋ายจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ว่าที่ถังจงหมิงทำไปถือว่าดีที่สุดแล้ว ถ้ายังเอาเรื่องต่อไปก็จะใจแคบเกินไปแล้ว
"ได้ งั้นวันนี้ฉันก็ถือว่ามีน้องเจียงเพิ่มเป็นเพื่อนอีกคนแล้ว วันหลังถ้ามีเรื่องที่เขตเหนือก็ให้ฉันจัดการได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เรื่องของฉันกับหม่าฉางหยางก็ถือว่าจบไป! ลาก่อน!"
ได้ยินเจียงป๋ายพูดแบบนี้ถังจงหมิงถึงกับคารวะ และกลายเป็นหนึ่งในลูกน้องของเจียงไป๋ จากนั้นเขาได้พยักหน้าแล้วเดินจากไป!
เรื่องนี้ก็จบสิ้นไป
ที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้พ่ายแพ้เพราะเขารู้กิตติศัพท์อันเลื่องลือของเจียงป๋าย ถังจงหมิงหวาดกลัวฝีมือของเจียงป๋ายและความคิดของเขาก็คือการได้คบค้าสมาคมกับเจียงป๋าย
ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ระดับประเทศที่เด็กขนาดนี้ ฝีมืออันน่าเกรงขามถ้ามีโอกาสได้ไปสู้กับน่าหลานหวังก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ว่าฝีมือการต่อสู้เมื่อกี้ถึงกับทำให้เขาหน้าซีด ทำให้เขาจัดการไม่ถูกกับมือสองข้างที่ใช้การไม่ได้ ถึงแม้ว่าเจียงป๋ายไม่ถือสาอะไร แต่เขากลับรู้สึกภายในใจยังคงค้างคา ดังนั้นได้แต่พูดแค่นี้แล้วเดินจากไป
แน่นอนว่าคนอย่างฉันรับปากแล้วไม่คืนคำ คำที่เขาพึ่งพูดไปไม่ใช่เรื่องเล่น ถ้าเจียงป๋ายมีปัญหาที่เขตเหนือจริงๆเขาจะไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเลย
"คุณเจียงวางใจเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะสั่งให้คนเตรียมของไว้ให้ พรุ่งนี้ตอนเช้าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน สโมสรใหญ่หลังจากนี้จะกลายเป็นขอบคุณ"
หลังจากที่ถังจงหมิงจากไป หม่าฉางหยางกลับมาหาและบอกกับเจียงไป
เขาคิดถูกแล้ว คนอย่างเจียงป๋ายสนิทสนมด้วยแล้วไม่ผิดหวัง
เมื่อกี้เล่นเอาเขาถึงกับมือใช้การไม่ได้ คนอย่างถังเจียงหมิงเป็นคนสู้ไม่ถอย ลองเทียบดูแล้วถึงแม้เขาจะรวย มีลูกน้องเยอะ แต่ว่าเทียบฝีมือกันแล้วเทียบไม่ติดจริงๆ คบกับคนแบบนี้ไม่สามารถเอาเปรียบได้ ถ้าบังคับให้เขาทำอะไร ใครจะกล้าร่วมมือด้วย?
นอกจากไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วถึงได้โง่ทำแบบนั้น
"ติ๊งต่อง! ยินดีด้วย คุณชกชนะซูเจี๋ย กึ่งปรมาจารย์ถังจงหมิง หม่าฉางหยางกลุ่มโจรบ่อนพนัน ได้รับคะแนนเกียรติยศ100,300,150 รวมทั้งหมด550คะแนน ยังขาดอีก1550คะแนน ความสัมพันธ์แตกต่างกันขึ้นอยู่กับด่านนั้นๆ ความหวาดกลัวทำให้เขาผลิตคะแนนเกียรติยศที่ต่างกัน เช่นทุกวันตอนที่มีซูเจี๋ยอยู่สามารถเพิ่มคะแนนได้นิดหน่อย ลูกน้องโจร23คน ทุกวันสามารถเพิ่มคะแนน0.23คะแนน มีผลระยะยาว"
ข้อความนี้แสดงให้เห็นเกินความคาดหมาย
เจียงป๋ายได้รับคะแนนมากมาย ซึ่งมากกว่าคืนๆหนึ่งที่เขาต้องเขียนหนังสือตลอด1เดือน ยิ่งไปกว่านั้นมีคูปองกินอาหารระยะยาวจากซูเจี๋ย นี่ทำให้เจียงป๋ายมีความสุขอย่างมาก ถึงแม้ว่าทุกวันจะได้คะแนนเพิ่มนิดหน่อยแต่ว่ามีผลระยะยาวนี่!
สำหรับเรื่องลูกน้อง.....
เอ่อ ช่างมันเถอะ จริงๆพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร