GE239 พังทะลาย [ฟรี]
ผ่านไปหนึ่งวัน...
เมื่อฉู่เก้อเข้าใกล้ม่านพลัง 7 สี มันหยุดฝีเท้าไม่เคลื่อนไหว และสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนกำลังติดตามมันมา
ระหว่างทางที่ติดตาม หนิงฝานใช้ทั้งวิชาลับสัมผัสลวง และใช้ให้โอสถผันแปรที่ 4 ที่ช่วยกลบกลิ่นอายกับสตรีทั้งสองนางที่พามาด้วย
หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ ก็ไม่อาจสัมผัสถึงตัวตนของหนิงฝานได้!
นอกจากนี้ หนิงฝานยังเว้นระยะห่างจากฉู่เก้อถึงหมื่นลี้
ด้วยสัมผัสเทพกึ่งดวงจิตแรกเริ่มของหนิงฝาน เขาสามารถสัมผัสถึงสิ่งต่างๆได้ในระยะเพียง 3 พันลี้ แต่ด้วยเขาแอบใส่กลิ่นติดตามบางอย่างกับฉู่เก้อ ทำให้เขาตามมันในระยะห่างถึงหมื่นลี้ได้
นอกจากนี้ เขายังใช้โอสถผันแปรที่ 4 ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มระยะสัมผัสเทพให้ไกลถึงหมื่นลี้ ทำให้เขามีระยะสัมผัสเทพเหมือนผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณในช่วงเวลาสั้นๆ
โอสถทั้งหมดนั้น เขาได้มาจากสู่ลู่ฉานทั้งสิ้น
เมื่อฉู่เก้อมั่นใจว่าไม่มีใครติดตามมา มันก็นำหยกอสูรม่วงออกมา และเริ่มวางข่ายอาคม
ผ่านไปหนึ่งวันข่ายอาคมก็แล้วเสร็จ
ข่ายอาคมที่มันวางนั้นเป็นข่ายอาคมที่ใช้เปิดทางไปยังแดนสอง
มันเริ่มนำสมบัติหลายอย่าง นับรวมกันได้ 10 ชิ้นออกมา จากนั้นนำโลหิตสัตว์อสูรระดับราชา เทสร้างเป็นเส้นทางเชื่อมไปยังแดนสอง
เมื่อตระเตรียมโลหิตเสร็จ มันก็ถอยห่างออกจากข่ายอาคม มันก็นำบางสิ่งออกมา วางไว้ในตำแหน่งต่างๆโดยรอบ นอกจากนี้ ยังนำซากศพของสัตว์อสูรที่แห้งแล้ว วางไว้ในตำแหน่งประจำสี่ทิศของข่ายอาคม
ซากศพสัตว์อสูรที่มันนำออกมานั้น ล้วนเป็นซากสัตว์อสูรตัดวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งถูกรีดโลหิตออกจากร่างจนหมด
เมื่อเตรียมทุกสิ่งพร้อมสรรพ มันเริ่มถ่ายสัมผัสเทพเข้าไปในข่ายอาคม กระตุ้นการทำงานโดยมีศิลาอสูรม่วงเป็นแหล่งพลังงาน
จากนั้น มันนำคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมา นั่งคุกเข่า และอ่านสิ่งที่อยู่ภายในราวกับร่ายมนต์
ในระหว่างร่ายมนต์ มันเคาะบางสิ่งเป็นจังหวะ
เมื่อเคาะได้ 10 ครั้ง โลหิตอสูรก็ไหลเข้าสู่ซากศพของสัตว์อสูรที่ใช้ในพิธี
เมื่อเคาะได้ 100 ครั้ง โลหิตเริ่มไหลเข้าสู่ศพที่สอง
เมื่อเคาะได้พันครั้ง โลหิตเริ่มไหลเข้าสู่ศพที่ 3
และเมื่อเคาะได้หมื่นครั้ง โลหิตก็ไหลเข้าสู่ศพที่ 4
เมื่อโลหิตไหลเข้าสู่ซากศพทั้งหมด ศพเหล่านั้นก็เปล่งแสงเจ็ดสี
ซากศพเหล่านั้นเริ่มปริแตก
แต่จู่ๆ ข่ายอาคมกลับเริ่มสั่นไหว ราวกับยังขาดบางสิ่งไป
หนิงฝานเฝ้ามองเหตุการที่เกิดขึ้นพลางขมวดคิ้ว ในระหว่างพิธีการ หมอกสีขาวลอยออกมาจากซากอสูร หากหนิงฝานเข้าใจไม่ผิดหมอกนั่นสมควรเป็นปราณสวรรค์ที่ใช้จุดเพลิงสวรรค์
ดูเหมือนวิหารผนึกอสูรจะวางแผนไว้นานมากแล้ว
“โลหิตของอสูรระดับราชาไม่พอ! ทำให้ขาดเชื้อเพลิงในจากจุดเพลิงสวรรค์ ต้องโทษเจ้าซัวหมิงที่สังหารเงือกระดับราชาไปหลายตัวในคราวนั้น”
เมื่อครั้งอดีต ฉู่เก้อล่อเผ่าเงือกระดับราชามาได้ 12 ตัว แต่ถูกหนิงฝานสังหารไป 8 จึงเหลือเพียง 4 ตน… มันล่อเงือกระดับราชามาเพื่อสังหารเอาโลหิต เพื่อใช้ในการเปิดประตูไปยังแดนสองและโลกปีศาจ
“ช่างเถอะ ยังเอาก็พาอสูรตัดวิญญาณจากโลกอสูรมาก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที...”
เดี๋ยวมันค่อยไปตามสังหารสัตว์อสูรระดับราชาอีกครั้ง
เพลิงสวรรค์ก่อตัวเป็นหมอกสีแดงฉาน และหมอกก่อตัวเป็นประตูที่เชื่อมกับโลกอสูร ภาพของโลกอสูรฝั่งนั้น ฉายผ่านบานประตู
ทันใดนั้น กลิ่นอายของอสูรตัดวิญญาณ และอสูรดวงจิตแรกเริ่มหลายสายเริ่มใกล้ประตูเข้ามา
หนึ่งในกลิ่นอายเหล่านั้น มีกลิ่นอายของลี่ป่านอยู่ด้วย!
“น่าสนใจจริงๆ ที่มันไปจากแคว้นจิน ที่แท้ก็กลับไปโลกอสูร และตอนนี้ มันก็จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง... มันคงไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ในระหว่างที่มันข้ามมา ข้าจะทำลายประตูนั่น เหมือนกับวันที่มันทำลายข่ายอาคมเคลื่อนย้ายของข้า ปล่อยให้มันตายอยู่ในมิติ!”
แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา ความแค้นในวันนั้นเขายังไม่ลืม
หากไม่เพราะโชคยังดี คราวนั้นเขาคงตายไปแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่เขาปล่อยให้ฉู่เก้อวางข่ายอาคมจนเสร็จ
หนิงฝานกล่าวโดยที่ไม่สนใจสตรีสองนางข้างกาย ครั้งหนึ่งพวกนางเคยเป็นผู้รับใช้ของลี่ป่าน แต่ยามนี้พวกนางเป็นกระถางขัดเกลาของหนิงฝาน แม้พวกนางจะเสียใจที่หนิงฝานจะสังหารลี่ป่าน แต่พวกนางยังไม่กล้ากล่าวขัด
แต่ถึงอย่างนั้น หากลี่ป่านรู้ว่าพวกนางอยู่กับหนิงฝาน มันคงเลือกที่จะสังหารพวกนางทิ้ง
ดังนั้น หากให้ต้องเลือกฝ่าย พวกนางขอเลือกหนิงฝาน
ยามนี้ กลิ่นอายของอสูรจากอีกฝั่งของประตูกำลังใกล้เข้ามา
แต่เมื่อร่างของอสูรตัดวิญญาณตนหนึ่งพ้นออกมาจากประตูได้ครึ่งหนึ่ง หนิงฝานใช้สัมผัสกระบี่ลอบจู่โจมประตูมิติจากระยะไกล ทำให้ประตูถูกทำลายในทันที
เมื่อประตูถูกทำลาย มิติผันผวนและสลายไป ร่างของอสูรตัดวิญญาณถูกพลังมิติบดขยี้ เสียร้องโหยหวนดังขึ้นและเงียบหายไปแทบจะในทันที
แต่นั่นกลับทำให้หนิงฝานขมวดคิ้ว เพราะเสียงร้องนั่นไม่ใช่ลี่ป่าน แม้จะเป็นอสูรตัดวิญญาณเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ลี่ป่าน
ฉู่เก้อตกตะลึง
มันคิดว่าเป็นเพราะมันวางข่ายอาคมผิดพลาด ทำให้พลังมิติไม่เสถียร และทำให้อสูรตัดวิญญาณที่กำลังจะข้ามมาตาย!
เหตุใดเป็นเช่นนี้ หรือเป็นเพราะโลหิตปีศาจระดับราชาไม่พอ?
หากมันหารโลหิตอสูรระดับราชาได้ครบ 12 ตัว อาจไม่เกิดการณ์แบบนี้
“เป็นความผิดข้า… จบสิ้นแล้ว! ข้าทำพลาด นายท่านไม่ปล่อยข้าไว้แน่...”
แต่ในขณะที่ฉู่เก้อหวาดกลัวอยู่นั้น พลังมิติเบื้องหน้ามันกลับผันผวน อสูรตัดวิญญาณ 9 ตนปรากฏ สีหน้าโกรธแค้นอย่างที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีดวงจิตอสูรที่ทรงพลังอีก 1 ดวง เป็นตัวที่กำลังจะผ่านประตูมา แต่ร่างกายถูกพลังมิติบดขยี้ไปก่อน หากไม่เพราะมันมีดวงจิตที่แข็งแกร่ง มันคงถูกทำลายในมิติไปแล้ว!
“เจ้าเป็นคนที่นิกายผนึกอสูรสั่งให้มาวางข่ายอาคมใช่มั้ย? ทำไมปล่อยให้ประตูมิติถูกทำลาย!”
ดวงจิตดวงนั้นอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้เยาว์ในชุดคลุมสีเงิน ผมขาว สีหน้าเคร่งขรึม แต่ด้วยที่มันกำลังโกรธ ดวงตาจึงแดงฉาน
มันเอื้อมมือไปเบื้องหน้า ทำท่าคว้าจับ พลังที่รุนแรงบดขยี้ร่างของฉู่เก้อและดวงจิตของมันจนแหลกสลาย แต่ในชั่วพริบตานั้น ดวงที่ถูกทำลายไปกลับก่อตัวขึ้นใหม่
“หืม? นี่เจ้าถึงรู้วิชาฟื้นดวงจิต”
ผู้เยาว์ผมขาวอ้าปากดูดกลืนเอาดวงจิตของฉู่เก้อ หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้มันมีกี่ชีวิตก็ไม่พอ
“ช้าก่อน! ท่านหวางใจเย็นก่อน หากท่านฆ่ามัน ใครจะเป็นคนถ่ายทอดข้อความไปหานิกายผนึกอสูร” อสูรตัดวิญญาณขั้นต้นตนหนึ่งกล่าว
“ก็ได้! งั้นข้าจะไว้ชีวิตมัน! บอกมาว่าประตูมิติพังได้ยังไง!” ผู้เยาว์คนนั้นตะคอก
“เรียนนายท่าน เพราะโลหิตสัตวอสูรระดับราชาที่ข้ามีไม่พอ”
ผู้เยาว์คนนั้นคว้าดวงจิตของฉู่เก้อไว้
แม้ผู้เยาว์คนนั้นจะไร้กายเนื้อ พลังในระดับตัดวิญญาณขั้นสูงของมันลดระดับเพลือตัดวิญญาณขั้นกลาง แต่มันยังคงทรงพลังทมาก
ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นกลางคือผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของทะเลส่วนนอก ยิ่งมันเป็นคนเบื้องบน สมควรแข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญในระดับเดียวกันบนโลก ฉู่เก้อจึงไม่กล้ายั่วยุ
แต่ถึงอย่างนั้น ฉู่เก้อไม่รู้ว่าสาเหตุที่ประตูมิติพังทะลายเป็นเพราะหนิงฝาน
การพังของประตูมิติ ทำให้เหล่าอสูรดวงจิตแรกเริ่มหลายตัวต้องตาย เหลือรอดมาเพียงไม่กี่ตน
ฉู่เก้อทำภารกิจล้มเหลว มันไม่คู่ควรให้ไปขอรับรางวัล แค่ผู้เยาว์ผมขาวไม่สังหารมันก็ดีมากแล้ว
เป็นเพราะซัวหมิง หากมันไม่สังหารอสูรระดับราชาไปมากมายคราวนั้น คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้… ซัวหมิง… ซัวหมิง ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!
เป็นเพราะเจ้าข้าถึงเหลือเพียง 6 ชีวิต แบะในชีวิตที่เหลือนี้ ต้องสังหารซัวหมิงให้ได้
แต่เมื่อกล่าวว่าโลหิตสัตว์อสูรไม่พอ ผู้เยาว์คนนั้นกลับโกรธขึ้นกว่าเดิม และบดขยี้ดวงจิตของฉู่เก้อทิ้งอีกครั้ง จนยามนี้มันเหลือ 5 ชีวิต
“เจ้าบอกว่าที่ประตูมิติพังทะลาย เป็นเพราะมีโลหิตอสูรระดับราชาไม่พอ?!”
แล้วดวงจิตของฉู่เก้อก็ถูกบดขยี้อีกครั้ง จนเหลือ 4 ชีวิต
“อสูรระดับราชา! ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มอย่างเจ้ากลับหาโลหิตของพวกมันมาไม่พอ จนทำให้ร่างกายของข้าถูกทำลาย! สารเลว!”
*เพล้ง!*
ดวงจิตของฉู่เก้อถูกบดขยี้อีกครั้งจนเหลือเพียง 3 ชีวิต!
*เพล้ง!*
สองชีวิต
*เพล้ง*
หนึ่งชีวิต
“ยังไม่ตายอีกเหรอ? ฮึ่ม! ไว้กลับเมื่อไหร่ ไปบอกนายของเจ้าให้เตรียมศพอสูรตัดวิญญาณขั้นสูงเอาไว้ให้ข้าใช้สร้างร่างใหม่! รีบเตรียมทางผ่านเข้าแดนสอง ถ้าเจ้าผิดพลาดอีก ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
ไม่ว่าผู้เยาว์ผมขาวทำสิ่งใด คนอื่นๆก็ไม่กล้าขัด
ถ้ามันจะสังหารฉู่เก้อตาย ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวห้ามอีก
แม้ลี่ป่านเองก็ไม่กล้า เพราะลี่ป่านเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณขั้นต้น ในหมู่อสูรตัดวิญญาณที่มา มันแข็งแกร่งเป็นอันดับ 5 ส่วนอันดับ 1 ถึง 4 เป็นอสูรตัดวิญญาณขั้นกลาง โดยที่ผู้นำของพวกมัน คือ ‘หวางเซี่ยว’ อสูรตัดวิญญาณขั้นสูง หรือก็คือผู้เยาว์ผมขาว
“น่าสนใจ… ขนาดลี่ป่านยังไม่กล้าขัด ในหมู่พวกมัน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือหวางเซี่ยว ด้วยความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ มี 8 ส่วนที่สังหารมันได้ อีก 2 ส่วนตาย… แต่กับพวกตัดวิญญาณขั้นกลาง ข้าไม่มีโอกาสสังหารพวกมันได้สำเร็จ และมีโอกาสหลบหนีรอดเพียง 7 ใน 10 ส่วน หมายความว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน อีกอย่าง พวกมันก็ครอบครองเส้นลมปราณอสูรโบราณ ซึ่งทำให้พวกมันแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับผุ้ที่อ่อนแอที่สุด ของ 6 ผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลส่วนใน”
ฉู่เก้อไม่พอใจ ยามนี้ แม้มันจะเกลียดหนิงฝานขนาดไหนก็ไม่อาจแก้แค้นได้อีก
ฉู่เก้อเจ็ดชีวิต ฉายานี้ทำให้มันเป็นผู้ที่ทุกคนหวั่นเกรง หากมันได้บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ มันจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น
แต่ด้วยความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทำให้มันสูญเสียไปถึง 6 ชีวิต
“โชคร้ายยิ่งนัก...”
มันนำร่างอสูรเงือกออกมา 2 ตนที่เก็บไว้เปิดประตูทางเข้าแดนสองออกมา
เพียงแต่เงือก 2 ตน จะให้โลหิตเพียงพอสำหรับเปิดประตูหรือ?
“ฮ่าฮ่า! อสูรระดับราชา 2 ตนสำหรับเปิดประตูสู่แดนสอง! มิน่าประตูถึงพัง! นี่เข้าทำแบบนี้เพื่อเปิดประตูให้ข้ามางั้นเหรอ?”
หวางเซี่ยวหัวเราะลั่น แต่น้ำเสียงของมันแฝงด้วยโทสะ มันอยากจะฆ่าฉู่เก้อทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ เพราะเท่าที่มันรู้ การจะเปิดประตูมิตินั้น อย่างน้อยต้องโลหิตอสูรระดับราชา 18 ตัว!
ซึ่งเรื่องนี้ นิกายผนึกอสูรไม่รู้
“บัดซบ! แดนหนึ่งน่าจะมีสัตว์อสูรตัดวิญญาณเทียมอยู่หลายตัว ไปล่าพวกมันมา บางทีอาจได้เจออสูรระดับราชา”
“ช้าก่อนท่านหวาง ไม่ต้องเสียเวลา” ลี่ป่านมีสัตว์อสูรระดับราชาอีกหลายตัว น่าจะได้โลหิตที่เพียงพอ
ลี่ป่านนำสัตว์อสูรระดับราชาออกมา 17 ตัว แต่สัตว์อสูรเหล่านี้คือผู้ติดตามของมัน
แม้สัตว์อสูรเหล่านี้คือผู้ติดตามของมัน แต่มันไม่ได้ใจอ่อนหรือเมตตา
“ท่านลี่ อสูรเหล่านี้คือผู้ติดตามของท่าน หากจะนำมาบูชายัญถือเป็นเรื่องไม่เหมาะ...” ผู้เยาว์คนหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้น
“ไม่เหมาะสม? ทำไมถึงไม่เหมาะสม! เหตุใดผู้เป็นนายถึงบูชายัญทาสไม่ได้”
ลี่ป่านใช้กรงเล็บตะปบไปยังทาสของมันทั้ง 17 ตนจนร่างแหลก
โลหิตสาดกระจายเต็มข่ายอาคม
เมื่อข่ายอาคมได้โลหิตเติมเต็ม มันจึงเปล่งแสงเจิดจ้า มันหันมองฉู่เก้อด้วยสายตาอาฆาต
“ถ้าครั้งนี้ประตูมิติยังมีปัญหา ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
“ไม่เป็นไรแน่ ได้โลหิตอสูรระดับราชาถึง 19 ตน สมควรเป็นแหล่งพลังงานที่เพียงพอ”
เมื่อข่ายอาคมเปล่งแสงเจิดจ้า ประตูก็ก่อตัวขึ้น
“เจ้าไปก่อน… แล้วข้าจากตายไปทีหลัง!” หวางเซี่ยวกล่าว
“ขอรับ”
แล้วทุกคนก็กลายเป็นลำแสงเข้าสู่แดนสอง
ด้วยที่ยามนี้ประตูมิติมีโลหิตอสูรระดับราชาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก ต่อให้หนิงฝานทำลายประตู พวกมันที่ผ่านเข้าไปสมควรไม่ได้รับผลกระทบ
เมื่อผ่านไปยังอีกฟาก ลี่ป่านก็กล่าวขึ้น
“เราปลอดภัยนายท่าน...”
ฉู่เก้อผ่อนคลายที่ประตูไม่พังและเกิดปัญหา
แต่ยังมีสิ่งที่น่าเป็นกังวลอยู่อย่าง นั่นคือประตูมิติจะต้องไม่ปิดก่อนที่พวกมันจะกลับมาตัว
“ขออย่าได้โชคร้ายแบบนั้นอีก!” ฉู่เก้อกล่าวในใจ
หนิงฝานที่เฝ้ามองยังคงไม่เคลื่อนไหว
ประตูมิติไร้ข้อผิดพลาด และจะยังเปิดอยู่แบบนี้ไปอีกหลายวัน
หนิงฝานจะรอให้พวกมันจากไปไกล ค่อยจะลอบผ่านประตูเข้าไปยังแดนสอง
ในหมู่อสูรตัดวิญญาณที่มา มี 4 ตนที่แข็งแกร่งกว่าเขา อีกอย่าง แดนสองก็ค่อนข้างอันตราย แต่มันก็ช่วยให้เขายกระดับพลังได้
หนิงฝานก้มมองสตรีในอ้อมแขนทั้งสองนาง สีหน้าพวกนางยามนี้ไม่สู้ดี
ลี่ป่านสังหารทาสรับใช้อย่างเลือดเย็น ทำให้นางตัดใจจากลี่ป่านได้โดยสมบูรณ์
“นายท่านดีกว่าลี่ป่านมาก...” สีหน้าพวกนางแปรเปลี่ยนจริงจัง
แม้หนิงฝานจะมีกระถางขัดเกลาอยู่นับพัน แต่พวกนางทุกคนก็มีความเป็นอยู่ที่ดีอยู่ภายในแหวน
ต่อให้หนิงฝานเป็นอันตราย เขาก็ไม่ดึงพวกนางมาเกี่ยว ไม่เหมือนลี่ป่านที่ไม่เห็นคุณค่าชีวิตของผู้ติดตาม
แม้หนิงฝานจะเหี้ยมโหดกับศัตรู แต่กับคนของตน เขาใจดีด้วยเป็นอย่างมาก
อย่างน้อยๆการได้เป็นกระถางขัดเกลาของหนิงฝานก็ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่ง หนิงฝานจะสังหารพวกนาง
“ทำไมเจ้าถึงทำหน้าแบบนั้น หรือเพราะเห็นนายในอดีตของเจ้าแล้วอยากกลับไปหา?” หนิงฝานยิ้มพลางกล่าว
“ข้ามีท่านเป็นนายเพียงผู้เดียว”
“หืม?” หนิงฝานยิ้ม ดูราวกับยิ่งพวกนางได้พบลี่ป่าน ยิ่งนับถือหนิงฝานมากขึ้น และนั่นเป็นเรื่องดี
“พวกเจ้าเข้าไปในแหวนก่อน แดนสองอันตรายมาก ข้าอาจปกป้องพวกเจ้าไม่ได้...”
“ขอบคุณนายท่านที่เมตตา...” พวกนางมองหนิงฝานด้วยสายที่ซาบซึ้ง
“อืม...” เมื่อนำพวกนางเข้าแหวนแล้ว หนิงฝานก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้ประตูมิติอย่างช้าๆ
หนิงฝานรออยู่ใกล้ประตูอยู่ 1 วันเต็ม แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง!
นั่นคือการพังทะลายของโลกล่มสลาย! สาเหตุเกิดการการเปิดประตูมิติ!
เพียงแต่ส่วนที่ล่มสลายมีเพียงแดนหนึ่งเท่านั้น!
มิติเริ่มพังทะลาย ผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาเร่งกระตุ้นข่ายอาคมเคลื่อนย้ายกลับออกไปด้วยความหวาดกลัว
ภายนอก สู่ลู่ฉานสีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
“ดินแดนกำลังพังทะลาย!”
ใบหน้าสู่ฉุ่ยหลิงซีดขาวไร้โลหิต ดวงตาที่งดงามเผยความตระหนก
รายชื่อของผู้เชี่ยวชาญหลายคนบนจารึกสังหาร ทยอยเปลี่ยนเป็นสีเทา ซึ่งหมายความว่าคนเหล่านั้นได้ตายไป
“นายน้อยซัว ท่านเป็นยังไงบ้าง!”...