ตอนที่ 203 สังหารเจ้าอย่างไรเล่า (ฟรี)
โลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปไม่หยุด หลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยามกาสามารถดูดกลืนสภาวะชีวิตบริสุทธิ์จากโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายานับพันชั่งเข้าไปจนหมดสิ้น
เมื่อหลงเฉินเข้าตรวจสอบโลหิตภายในร่างกายก็พบว่าหยาดโลหิตเหล่านั้นมีความหมดจดอย่างแท้จริง จึงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาสามารถฝึกยุทธ์ในขั้นต่อไปได้แล้ว
“ต้องรีบตีเหล็กตอนที่ยังร้อนอยู่”
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่งแล้วไหลเวียนพลังลมปราณภายในจุดดารากักวายุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจก็ทำให้พลังทั้งหมดปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย
“โครมโครมโครม”
หยาดโลหิตภายในร่างกายซัดผ่านเส้นลมปราณประดุจคลื่นมหาสมุทรกรรโชกแรงจนเกิดเป็นเสียงดังตูมตามขึ้นมาเป็นสาย ภายในหยาดโลหิตแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลกำลังเดือดพล่านไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังชักนำพลังชีวิตอันแสนบริสุทธิ์เข้าไปเติมเต็มทุกส่วนของร่างกายอย่างหนักหน่วง
“ตูม”
พลังสภาวะภายในร่างกายของหลงเฉินปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง บรรยากาศกดดันกระจายตัวออกไปโดยรอบกว่าร้อยจั่ง ศิลาน้อยใหญ่แตกระเบิด ฝุ่นละอองปลิวว่อนไปทั่ว
“ฮาฮา ในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่แปดได้แล้ว”
หลงเฉินส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยอาการลิงโลด พลันก็ออกแรงหมัดเหวี่ยงไปมา อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันน่าหวาดกลัวกำลังพุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายไม่หยุด ให้ความรู้สึกอัดแน่นราวกับว่าหากไม่ปลดปล่อยออกมาคงจะต้องแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างแน่นอน
“หมัดทลายวายุ”
หลงเฉินตะโกนเสียงดังพร้อมกับพุ่งคมหมัดไปที่ศิลาก้อนใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าสายตา เมื่อศิลาก้อนนั้นต้องกับกำปั้นสะท้านก็ได้แหลกละเอียดจนกลายเป็นผุยผงไปในพริบตาเดียว
“พลังภายในกายเนื้อก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว” หลงเฉินจ้องไปที่กำปั้นของตัวเองด้วยอาการแตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ใดออกมาเลยก็ยังทำให้เขาปลดปล่อยพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้ เพราะมีการหนุนเสริมที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเคล็ดกายานวดาราอยู่ ทว่าน่าเสียดายที่ความเร็วในการทะลวงพลังในแต่ละขึ้นนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าผู้อื่นหลายเท่าตัว
“ดูเหมือนว่าการเพิ่มพูนระดับของเคล็ดกายานวดาราคงจะเป็นพลังของกายเนื้อทั้งหมด เช่นนั้นก็คงจะไม่ต้องไปเสาะหาทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งอันใดอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อพลังกายเป็นเส้นทางสู่การเป็นราชัน”
หลังจากที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่แปดสำเร็จแล้ว หลงเฉินก็พบว่าพลังภายในร่างกายของเขาได้ไหลเวียนไปมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงครู่เดียวก็สามารถปะทุพลังอันมหาศาลขึ้นมาได้มากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว
ในขณะนี้เขามีทักษะยุทธ์ที่ไร้เทียมทานอยู่ภายในตัว อีกทั้งยังเป็นพลังการโจมตีอันน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ทว่าร่างกายของเขานั้นกลับยังมีขีดจำกัดอยู่ และต่อให้มีทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็เรียกได้ว่าเปล่าประโยชน์อย่างแท้จริง ซึ่งก็คล้ายกับเบิกสวรรค์ที่แม้ว่าจะสามารถใช้ออกได้ ทว่าก็ยังได้รับผลกระทบต่อร่างกายอย่างหนักหน่วง
ในวันนี้หลงเฉินก็สามารถฝึกยุทธ์ได้ตรงตามที่ตั้งเป้าเอาไว้แล้ว และไม่ได้ครุ่นคิดที่จะไขว่คว้ากาทักษะยุทธ์สายกำลังภายในที่แข็งแกร่งชนิดอื่นอีกต่อไป สู้ทุ่มเทกำลังและเวลาทั้งหมดให้กับการเพิ่มพูนพลังที่มีให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเสียยังจะดีกว่า
หลังจากที่ทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นที่แปดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็กลับไปพักผ่อนถึงหนึ่งวันเต็มๆ พลันก็ทำการปรับสมดุลของพลังอันมหาศาลภายในร่างกายให้เหมาะสม ส่วนในวันที่สองก็ได้เสาะหาเป้าหมายใหม่อีกครั้งหนึ่ง
หลงเฉินไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลยแม้แต่น้อยที่เลือกมายังดินแดนรกร้างศิลาวายแห่งนี้ เพราะทุกหนแห่งภายในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์มายาระดับสามที่แข็งแกร่งอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเขาก็จำเป็นที่จะต้องเลือกสรรระดับของสัตว์มายาอย่างละเอียดถ้วน ก่อนอื่นก็ต้องเลือกต่อกรกับสัตว์มายาชนิดมีขนเพราะมีพลังป้องกันร่างกายที่ต่ำกว่าสัตว์มายาชนิดเปลือกแข็ง
นั่นก็เป็นเพราะลูกศรอาบพิษของเขาไม่อาจทำลายการป้องกันของสัตว์มายาชนิดเปลือกแข็งได้ อีกทั้งพวกมันยังมีสภาวะต้านทานต่อฤทธิ์ของพิษที่สูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญก็คือสัตว์มายาประเภทนี้เป็นสัตว์เลือดเย็นจึงมีโลหิตบริสุทธิ์น้อยกว่าสัตว์มายาประเภทอื่น ฉะนั้นหากลงมือไปก็แทบจะไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย
หลงเฉินใช้พลังแห่งจิตวิญญาณที่แกร่งกล้าเข้าตรวจสอบการคงอยู่ของสัตว์มายาที่อยู่บริเวณโดยรอบ แล้วค่อยตระเตรียมกับดักและวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเอาไว้ก่อน
ถึงแม้ว่าในขณะนี้เขาจะเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่แปดได้แล้ว อีกทั้งยังมีกายเนื้อที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทว่าภายในจิตใจของเขาก็ยังมีความหวาดหวั่นต่อสัตว์มายาระดับสามขั้นกลางอยู่ดี
เพราะนี่ไม่ใช่การละเล่นชนิดหนึ่ง หากได้ใจมากเกินไปก็มีแต่จะต้องนำชีวิตเข้าแลกเท่านั้น และถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีความหาญกล้ามากอย่างถึงที่สุด ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงในสถานที่อันแสนจะโหดร้ายแห่งนี้อย่างแน่นอน
และนับตั้งแต่ที่หลงเฉินเข้ามาที่ดินแดนรกร้างศิลาวาย เขาก็ได้ทำลายบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นของสถานที่แห่งนี้ไปหลายส่วน ทำให้สัตว์มายาหายไปอย่างต่อเนื่อง เพียงครึ่งเดือนเขาก็ได้สังหารสัตว์มายาระดับสามไปแล้วถึงเจ็ดตัวด้วยกัน
ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาไม่น้อย เพราะสัตว์มายาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีโลหิตบริสุทธิ์อยู่มากมาย หลังจากที่เขาดูดกลืนโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสามไปทั้งหมดเจ็ดตัวแล้ว เขาก็สัมผัสได้ว่ากระแสโลหิตภายในร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะที่อิ่มตัวมากยิ่งขึ้น
ทว่ากระแสโลหิตกลับเต็มเปี่ยมอย่างหมดจดไปเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ฉะนั้นหากหลงเฉินต้องการที่จะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เก้า อย่างน้อยก็ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสามอีกเจ็ดถึงแปดตัวด้วยกัน
สิ่งนี้จึงทำให้จิตใจของเขาเกิดความเจ็บปวดระคนยินดีขึ้นมา การเพิ่มระดับพลังของเขาช่างวิปลาสมากจนเกินไปแล้ว ทว่าเขาก็ไม่คิดจะย่อท้อเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว เขายังมีพี่น้องและศัตรูที่จะต้องกลับไปล้างแค้น
โลหิตของพี่น้องย่อมไม่อาจไหลรินไปอย่างสูญเปล่า และเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ถังหว่านเอ๋อต้องหลั่งน้ำตาด้วยเช่นกัน ฉะนั้นเขาจะต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นกู่หยาง เหร่ยเชียนซัง ชีซิ่ง และพวกพ้องผู้โหดเหี้ยมอำมหิตเหล่านั้นจะต้องเข้าขัดขวางความก้าวหน้าของพี่น้องของเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเกรงกลัวว่าถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวจะทนแรงกดดันเหล่านั้นไม่ไหว
ทว่าไม่ว่าอย่างไรการสังหารสัตว์มายาเหล่านี้ก็ไม่อาจเป็นไปได้อย่างรวดเร็วกว่านี้ได้อีกแล้ว หากกระทำอย่างระมัดระวังและรอบคอบแล้ว เขาต้องใช้เวลาวางแผนและวางกับดักเพื่อสังหารสัตว์มายาหนึ่งตัวถึงสองวัน ด้วยขอบเขตก่อโลหิตเพียงคนเดียวก็ไม่ต่างไปจากผักปลาในตลาด ฉะนั้นด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่เย้ยฟ้าเป็นอย่างยิ่งแล้ว
และภายในจิตใจของหลงเฉินก็แอบภาวนาเอาไว้ว่าอย่าได้บังเอิญพบเจอกับสัตว์มายาระดับสามขั้นสูงเลย เพราะหากเจอกับเด็กน้อยเหล่านั้น แม้แต่โอกาสที่จะหลบหนีก็คงจะไม่มีอีกแล้ว
หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างว้าวุ่นอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ตระหนักได้ว่าคงจะมีแค่วิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่จะสังหารสัตว์มายาต่อไปได้เรื่อยๆ โดยที่ยังรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย และในขณะนี้สัตว์มายาที่อยู่รอบบริเวณพันลี้ก็ได้ถูกสังหารไปได้เกือบทั้งหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีแต่พวกเด็กน้อยที่ไม่อาจคุกคามต่อชีวิตเท่านั้น
หลงเฉินใช้พลังแห่งจิตวิญญาณตรวจสอบทุกซอกมุมอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะไปยังบริเวณต่อไป ทว่าทันใดนั้นเองก็สะดุดกับเงาร่างสายหนึ่งที่ปรากฏตัวอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปจึงทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกขานว่าสุสานแห่งผู้ถูกเนรเทศไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงมีมนุษย์ที่ยังมีชีวิตปรากฏตัวขึ้นมาได้ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย พลันก็ได้รีบซ่อนกายของตัวเองอย่างร้อนรน
จากนั้นหลงเฉินก็ค่อยๆ ย่องฝีเท้าติดตามเงาร่างนั้นไปอย่างช้าๆ คนผู้นั้นมีอายุราวยี่สิบกว่าปี ทว่าที่น่าแปลกใจก็คือบนร่างกายของเขานั้นไร้ซึ่งพลังสภาวะใดใด หากไม่ใช่เพราะมีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแรงกล้าก็คงยากที่จะตรวจพบได้
“ออ ใช้โอสถซ่อนสภาวะนี่เอง”
หลังจากที่มองออกว่าชายหนุ่มผู้นั้นซ่อนเร้นร่างกายได้อย่างไร คนหนุ่มผู้นั้นก็ล้วงเอากล่องหยกใบหนึ่งขึ้นมาแล้วใช้มือแตะลงไปด้านบนเบาๆ แล้วทันใดนั้นหลงเฉินก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาที่เอว ภายในจิตใจก็แอบร่ำร้องขึ้นมาว่าแย่แล้ว แผ่นป้ายของเขากำลังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นมา
ในขณะที่หลงเฉินกำลังแตกตื่นกับแผ่นป้ายประจำตัวที่ร้อนระอุขึ้นมาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จู่จู่คนผู้นั้นก็มองมาทางเขา “ฮาฮา หลงเฉิน เจ้ายังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ” คนผู้นั้นดีใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็พุ่งตัวเข้ามายังเบื้องหน้าของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว
หลงเฉินจึงคิดว่าต่อให้ซ่อนตัวไปก็คงจะไม่มีความหมายอีกแล้วจึงได้เปิดเผยตัวออกไป ทว่าภายในจิตใจกลับสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติชนิดหนึ่ง
“เจ้าคือ?” หลงเฉินถามออกไป
“ฮาฮา ข้ามีนามว่าเฟิงไห่ เป็นศิษย์พี่ของเจ้า ผู้อาวุโสถู่ฟางส่งข้ามาคอยคุ้มกันเจ้า โชคดีจริงๆ ที่เจ้ายังไม่ได้รับอันตรายอันใด ค่อยวางใจหน่อย” คนผู้นั้นยิ้มแล้วตอบกลับมา ทว่าภายในดวงตาคู่นั้นกลับปรากฏความเย็นเยียบขึ้นมาสายหนึ่ง
“ขอบคุณศิษย์พี่เฟิงมาก หากกล่าวตามตรงแล้ว หลายวันมานี้ศิษย์น้องก็แทบแย่เลยทีเดียว” หลงเฉินกล่าว
“เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นข้าก็คงจะย่ำแย่ด้วยเช่นกัน ไปเถิด ข้าจะนำทางเจ้ากลับไปเอง” เฟิงไห่กล่าวแล้วกระชับร่างกายเข้าหาหลงเฉินอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าจู่จู่เขาก็ลอบไหลเวียนพลังขึ้นมาส่วนหนึ่ง
หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ศิษย์พี่เฟิงช่างเป็นคนดีจริงๆ”
เฟิงไห่หันมายิ้มร่าด้วยความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหลงเฉินอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาเกิดความกังวลอยู่ไม่น้อยเลยว่าหลงเฉินจะถูกสัตว์มายากลืนกินเข้าไปแล้ว เมื่อบัดนี้เห็นว่าหลงเฉินยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงสามารถควบคุมหลงเฉินให้ตายใจเช่นนี้ต่อไป เขาก็จะสามารถผนึกจิตวิญญาณของหลงเฉินเข้าสู่ลูกแก้วผนึกวิญญาณได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นก็จะถือว่าภารกิจของเข้าเป็นอันเสร็จสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าหลงเฉินไม่ได้ทำการป้องกันร่างกายเอาไว้เลยแม้แต่น้อย เฟิงไห่จึงลอบด่าทออย่างเหยียดหยามขึ้นมาภายในจิตใจ พลันก็ใช้มือแตะไปที่บ่าของหลงเฉิน ในขณะที่กำลังจะถ่ายเทพลังเข้าควบคุมหลงเฉินอยู่นั้น จู่จู่ที่แผ่นหลังของเขาก็มีบางอย่างหอบสายลมพวยพุ่งเข้ามา
เฟิงไห่จึงแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ เห็นๆ กันอยู่ว่าหลงเฉินเดินอยู่ด้านหน้าของเขา ทว่าการโจมตีนั้นกลับมาจากด้านหลัง มือที่คิดจะแตะหลงเฉินเอาไว้ก็รีบชักกลับมาเพื่อหลบไปทางด้านข้าง ทว่าหลงเฉินกลับหันมาคว้าจับที่แขนของเขาอย่างแน่นหนาจนไม่อาจหลบพ้น
เฟิงไห่จ้องมองไปยังใบหน้าอันแสนเย็นชาของหลงเฉิน พลันก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าหลงเฉินผู้นี้ได้ล่วงรู้ถึงเป้าหมายของเขาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ไสหัวไป”
ยังไม่ทันที่จะได้หันไปมองทางด้านหลังว่าเป็นการโจมตีชนิดใด ก็ถูกหลงเฉินขับไล่อย่างเย็นชา ที่แผ่นหลังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง พลังสภาวะขุมนั้นแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย จากนั้นหลงเฉินก็ลอยทะยานออกไปในทันที
“ชิ”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เฟิงไห่พยายามออกแรงหลบเลี่ยงจากการโจมตี ทว่าก็ยังถูกลูกศรสายนั้นแทงเข้าที่หัวไหล่จนมีสายโลหิตไหลรินออกมาเป็นทาง
ในขณะที่เฟิงไห่ทั้งตกใจและเดือดดานขึ้นมาหมายที่จะลงมือ ทว่ากลับมีลูกศรพุ่งเข้ามาที่ร่างกายของเขาถึงสามดอกด้วยกัน
“ชิ้ง” กระบี่ยาวถูกชักออกมาซัดลูกศรทั้งสามดอกจนแหลกกลายเป็นผุยผงไปในพริบตาเดียว
“เจ้ากล้าลอบทำร้ายผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?” เฟิงไห่ทอแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารขึ้นมาโดยไม่ปกปิดอีกต่อไปแล้ว
หลงเฉินปัดฝุ่นตามร่างกายอย่างวุ่นวายแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าคิดว่าคนทั้งใต้หล้าแห่งนี้จะโง่เง่าเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ? ผู้อาวุโสถู่ฟางเป็นคนเถรตรง แน่นอนว่าบุคคลเช่นนั้นคงจะไม่คบกับคนที่ชั่วช้าเช่นนี้ได้ แล้วมีหรือที่เขาจะส่งคนเช่นเจ้ามาช่วยเหลือข้า?
ยิ่งไปกว่านั้นการถูกเนรเทศในครั้งนี้ก็เป็นตัวข้าเองที่เลือกมา และเป็นท่านเจ้าสำนักเองที่ออกคำสั่ง ต่อให้ใช้บั้นท้ายคิดก็ยังทราบได้เลยว่าผู้อาวุโสถู่ฟางย่อมไม่มีวันกระทำเช่นนี้แน่ และหากข้าเอาไม่ผิด เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อสังหารข้า ส่วนคนที่บ่งการเจ้ามานั้นก็คงจะหนีไปพ้นตาเฒ่าบัดซบแซ่ซุุนผู้นั้น!”
เฟิงไห่ทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันก็ระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับตอบกลับมาว่า “น่าสนใจ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยเลย ในเมื่อเจ้าทราบแล้ว ข้าก็คงจะไม่อธิบายให้มากความ ส่งแหวนมิติของเจ้าออกมาซะ!”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วจ้องไปที่เฟิงไห่อย่างเย็นชา “เหตุใดข้าต้องมอบแหวนมิติให้เจ้า หากข้ามอบให้แล้ว เจ้าจะไว้ชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ ทว่าข้าจะลดโทษให้เจ้าโดยการลงมือให้รวบรัดขึ้น เช่นนั้นเจ้าจะได้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลง” เฟิงไห่กล่าวพร้อมกับยกกระบี่ยาวชี้มาทางหลงเฉิน
หลงเฉินพยักหน้าน้อยๆ แล้วตอบกลับไปว่า “ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล หากข้าขัดขืนก็จะถูกเจ้าสับชิ้นๆ นั่นก็คงจะเป็นสภาพที่น่าอเนจอนาถเกินไปแล้ว หากข้าไม่ขัดขืนก็จะไม่เจ็บปวดนาน นั่นก็ถือว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ทว่าข้ากลับมีข้อเสนอที่ดียิ่งกว่านั้นอีก”
“ข้อเสนอ?” เฟิงไห่เกิดอาการฉงนสงสัย
ทันทีที่กล่าวจบเฟิงไห่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป กลิ่นเน่าเปื่อยเริ่มโชยพัดขึ้นมาตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ พลันก็ทิ่มแทงเข้าที่จมูกของเขาจนไม่อาจทนสูดดมเข้าไปได้
หลงเฉินแสยะยิ้ม ในที่สุดก็รู้สึกตัวแล้วหรือ? ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ปะทุพลังอันมหาศาลขึ้นมา อาวุธเพลิงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่ใจกลางฝ่ามือพร้อมเข้าห้ำหั่นกับเฟิงไห่ในทันที
“ข้อเสนอนั้นก็คือการสังหารเจ้าอย่างไรเล่า”
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 658 แล้วครับ)