SGS บทที่ 89 – กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ และ แมงมุมศิลาทองแดงที่ถอยหนีล่ะ!
เวลาผ่านไป แต่สถานการณ์ในสนามรบก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก นอกเสียจากศพบนพื้นที่มากกว่าเดิมตามเวลาที่ผ่านไป และยิ่งมีคนตายมากเท่าไหร่ คนที่เหลือก็ยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้น ทั้งสนามรบเต็มไปด้วยเสียงหอบหายใจของฝ่ายนักรบ และเสียงคำรามของแมงมุม ก่อนที่ตัวมันจะล้มลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าเสียงเมื่อกี้คือเสียงร้องสุดท้ายในชีวิตของมัน......
ผู้คนที่มาร่วมล่าสมบัติในครั้งนี้ เฉพาะคนแรงค์5ก็ตายไปจนเกือบหมดแล้ว และในขณะนี้แรงค์5ส่วนน้อยที่ยังไม่ตายแล้วยังพอมีแรงเหลืออยู่ ก็เริ่มมองหาทางหนีแล้ว
แม้แต่คนแรงค์7ยังยืนดูพวกเขาล้มตายโดนไม่คิดทำอะไร แล้วนับประสาอะไรกับแรงค์6 พวกเขาถูกทำราวกับเป็นเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง แล้วแบบนี้ใครจะโง่อยู่ต่อล่ะ? ที่พวกเขายังสู้ยิบตาอยู่แบบนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสู้เพื่อชีวิตตนเอง
ส่วนพวกนักเวทย์เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ไม่เหมือนนักรบที่ต่อสู้อยู่ด้านหน้า เพราะงั้นทางนักเวทย์จึงแทบไม่มีคนตาย นอกจากบางส่วนที่โชดร้ายจริงๆโดนแทงหินที่แมงมุมศิลาพ่นใส่เสียบตาย
แต่ทว่า สถานการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้ฮินางิคุ กับ มิโคโตะมีความสุขเลย.....
กับพวกพ้องที่ตายไป พวกนักเวทย์ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความสงารหรือเศร้าโศก พวกมันทุกคนต่างก็เชิดหน้าขึ้นโดยไม่ยอมเหลือบมองศพของเหล่านักรบที่นอนตายกันเกลื่อนพื้นเลย ราวกับพวกเขาเป็นแค่หนอนแมลงที่แค่มองก็รู้สึกอัปยศแล้ว
ในโลกซิลวาเรียนั้น สถานะของนักเวทย์มักสูงกว่านักรบเสมอ เป็นเพราะไม่เพียงแต่ต้องการพรสวรรค์ที่สูงมาก แต่ยังต้องการพื้นหลังที่ร่ำรวยพอสมควรอีกด้วย เพราะว่าอาชีพนักเวทย์เป็นอาชีพที่เผาผลาญเงินมาก!
ส่วนนักรบ ตราบใดที่มีวิชาสักหนึ่งหรือสองวิชาก็สามารถต่อสู้ได้แล้ว ส่วนเวลาปกติก็แค่ตวัดอาวุธในมือที่เสริมพลังปราณลงไป ก็สามารถก่อให้เกิดพลังทำลายอันน่าหวาดหวั่นได้แล้ว!
แต่นักเวทย์นั่นต่างออกไป พวกเขาไม่สามารถออกไปกวัดแกว่งอาวุธอยู่แนวหน้าได้ และเวลาต่อสู้พวกเขาสามารถใช้ได้แค่เวทมนต์เท่านั้น ดังนั้นนักเวทย์ที่จะออกมาสู้รบได้อย่างน้อยๆก็ต้องมีบทเวทจำนวนหนึ่ง
แต่ทว่าไอ้บทเวทแต่ล่ะบท มันมีราคาเท่ากับวิชาของนักรบเลย!
ลองคิดดู ต้องเสียเงินทองไปเท่าไหร่ถึงจะสามารถมีบทเวทมากพอที่จะเอามาใช้ในการต่อสู้ของจริงได้กัน......
นอกจากนั้น นักรบเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก ขอแค่มีร่างกายทีดีและสามารถบ่มเพาะพลังปราณได้ แม้แต่คนธรรมดาสามัญก็สามารถกลายเป็นนักรบได้ ถึงแม้นักรบและนักเวทย์ในด้านพลังจะต่างกันไม่มากนัก แต่นักเวทย์ก็มักจะดูถูกนักรบ เหมือนกับคนชั้นสูงที่ดูถูกสามัญชน
เป็นเพราะเงื่อนไขอันยุ่งยากของอาชีพนักเวทย์ ทำให้ผู้ที่สามารถเป็นนักเวทย์ได้จะมีความหยิ่งยโสในตัว คิดว่าตนเองนั้นยอดเยี่ยม และพวกนักรบก็เป็นได้แค่ขี้ข้า
มีเพียงแค่นักรบที่สามารถบ่มเพาะพลังไปจนถึงแรงค์8จึงจะไม่ถูกพวกนักเวทย์ดูถูก เพราะแรงค์นี้ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งเลย
แน่นอนว่ามีขาวย่อมมีดำ ในหมู่นักเวทย์เองก็มีคนที่มีนิสัยดีที่ไม่ไปดูถูกคนอื่นอยู่ด้วย......
แต่วู่หยานฟันธง ไอ้ที่ว่ามามันไม่อยู่ในกลุ่มนักเวทย์นั่นแน่ เพราะแม่งทุกคนต่างก็เชิดหน้าหยิ่งยโสเพราะว่าตัวเองเป็นจอมเวทย์กันหมด!
วู่หยานเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าพวกนักเวทย์ที่มาที่นี่มันจะเลวกันไปซะหมดแบบนี้ ช่างไม่น่าเชื่งจริงๆ.........
มองไปที่สนามรบ ซึ่งตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าฝ่ายมนุษย์ฆ่าแมงมุมศิลาหมดเมื่อไหร่ เห็นดังนี้เขาก็ส่ายหัว จากนั้นยิ้มฝืนๆออกมา ก่อนจะกวาดตามองรอบๆ ไม่นานนักวู่หยานก็ขมวดคิ้ว
“อิคารอส เธอสามารถตรวจสอบแถวๆนี้ได้มั้ย?”
คำพูดของวู่หยาน ทำให้อิคารอสงุนงง และยังทำให้สองสาวที่ยังอยู่สภาวะหัวร้อนตกใจ ก่อนจะย้ายสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไปมองวู่หยาน
วู่หยานไม่อธิบายเขา และแน่นอนว่าอิคารอสย่อมไม่ฝ่าฝืนคำสั่งมาสเตอร์ วินาทีต่อมานัยน์ตาสีฟ้าครามก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงเลือด
เธอกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้นอิคารอสก็เบิ่งตาเล็กน้อย แล้วหยุดเคลื่อนไหว
“เธอเจอบางคนอยู่แถวนี้ใช่มั้ยอิคารอส?”
เห็นท่าทางอิคารอส วู่หยานก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ดูราวกับว่าตนได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว
“ใช่ค่ะ มาสเตอร์....” นัยน์ตาอิคารอสเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วหันมองวู่หยานพูดด้วยนำเสียงนุ่มนวล “มีปฏิกิริยาสิ่งชีวิต อยู่อีกทางหนึ่งห่างจากที่นี่ไม่ไกล.....”
ความคิดตัวได้รับการยืนยัน วู่หยานก็เริ่มเปิดปากบ่นทันที “ช่างเป็นกลุ่มคนที่มีเหลี่ยมจัดจริงๆ ไม่คิดเลยว่ามาถึงนี่แล้วยังจะซ่อนตัวกันอยู่อีก ดีนะที่ฟังก์ชั่นตรวจสอบของอิคารอสดีเยี่ยม ไม่งั้นขืนมารู้ทีหลังได้เกิดปัญหาขึ้นจริงๆแน่”
ปากพูดไปแบบนั้น แต่วู่หยานกลับลืมไปว่า ตนเองและพวกสาวๆก็จัดอยู่กลุ่ม ‘เหลี่ยมจัด’ ที่ว่ามาด้วย เพราะพวกเขาเองก็หลบซ่อนตัวไม่ต่างกัน นี่จึงทำให้มุมปากฮินางิคุกับมิโคโตะกระตุกสองสามครั้ง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะสถานที่ไม่ให้ พวกเธอคงเปิดปากด่าไอ้บ้านี่ไปแล้ว
ได้ยินคำพูดยืนยันของอิคารอส ฮินางิคุกับมิโคโตะก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ และเมื่อมองเห็นสีหน้าพึงพอใจของวู่หยาน ฮินางิคุก็ไม่อาจอดกลั้นความอยากรู้ในหัวใจได้ เธอจึงเอ่ยปากถามไปว่า “หยาน ทำไมนายถึงรู้ได้ว่าที่นี่มีคนซ่อนตัวอยู่น่ะ?”
“นี่เธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ?” วู่หยานหุบยิ้มไป หรี่ตาลง แล้วเน้นยำทุกคำว่า “ที่นี่ไม่มีคนของโรงประมูลอยู่เลยแม้แต่คนเดียว!”
“นี่....” สองสาวรีบหันหน้าไปดูทางสนามรบทันที กวาดตามองซ้ายมองขวา ไม่นานนักพวกเธอก็ยืนยันคำพูดวู่หยานได้ว่ามันจริง ฮินางิคุกับมิโคโตะหันมามองหน้ากันและกันด้วยสายตาอึ้งๆ แล้วหันไปมองวู่หยานด้วยความประหลาดใจ “นายจะบอกว่าคนที่ซ่อนอยู่คือ คนของโรงประมูลงั้นเหรอ?”
เห็นวู่หยานพยักหน้า มิโคโตะก็รีบเอ่ยปากถามทันที “นี่นายรู้ได้ยังไงน่ะ?”
แน่นอนว่าวู่หยานย่อมไม่โง่เอ่ยเตือนพวกเธอว่า เพราะตนมี ‘ความทรงจำสมบูรณ์’ จึงตรวจพบว่าที่นี่ไม่มีคนของโรงประมูล เขาทำแค่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่า พวกโรงประมูลมันต้องวางแผนชั่วอะไรสักอย่างไว้แน่แล้วมันก็จริงซะด้วย โชดดีนะที่พวกเราซ่อนตัวกันได้ทัน”
สองสาวขมวดคิ้วอย่างน่ารัก แล้วหันไปมองสำรวจสนามรบ ในขณะเดียวกันก็เฝ้าระวังคนที่ซ่อนอยู่อีกด้านด้วย สัญชาติญาณได้บอกพวกเธอว่า อีกไม่นานแผนชั่วๆของพวกโรงประมูลตต้องเผยออกมาแน่
คนที่อยู่ในสนามรบก็ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเหมือนเดิม ว่าทั้งทางฝั่งตนเองและอีกฝั่งต่างก็มีหมาป่าแอบซ่อนตัวรอจังหวะตะครุบเหยื่ออยู่
แมงมุมศิลาทองแดงต่างก็ล้มตายขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เหลือพวกมันอยู่แค่30-40ตัว เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานคงโดนฆ่าตายหมดแน่
เห็นดังนี้ ก็ดุจดังถูกกระตุ้นด้วยยาชั้นดี นักรบที่เหลือต่างก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้น นักเวทย์เองก็ปล่อยเวทมนตร์ออกมาได้เร็วกว่าเดิมเช่นกัน ด้วยความหวังว่าจะสามารถฆ่าพวกแมงมุมศิลาได้เร็วขึ้นอีกสักนิด
แต่ทว่าในขณะที่พวกแมงมุมใกล้จะตายหมด อยู่ๆพวกมันก็พร้อมใจกันถอยหลัง เปลี่ยนท่าทางจากคลุ้มคลั่งไปอย่างสิ้นเชิง
“มาสเตอร์คะ มีสิ่งมีชีวิตประเภทพใหม่กำลังใกล้เข้ามา.....” ตั้งแต่ที่รู้ว่าตนเองพลาดไม่ค้นพบคนที่ซ่อนตัวอยู่ อิคารอสก็เปิดฟังก์ชั่นตรวจสอบเต็มพิกัด และเมื่อพวกแมงมุมศิลาถอน เธอก็เปิดปากพูดขึ้นมา ทำให้วู่หยาน ฮินางิคุและมิโคโตะตกใจ
แต่ทว่าผู้คนบนสนามรบกลับไม่รู้ถึงถึงลางร้ายอะไรเลย เมื่อเห็นศัตรูถอยก็คิดไปเองว่าพวกมันกลัวตาย คนแล้วคนเล่าต่างก็คึกคักราวกับถูกฉีดเลือดไก่ เตรียมไล่ตามไม่เว้นแม้แต่นักเวทย์ที่อยู่ด้านหลัง
นักรบแรงค์6ที่วิ่งอยู่ด้านหน้าสุดต่างก็หัวเราะดังลั่นด้วยความพอใจ เมื่อไล่ตามแมงมุมศิลาทองแดงตัวหนึ่งทัน ขณะที่กำลังวางแผนจะฟันมันให้ตัวขาด โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังมีหอกสีดำสนิทพุ่งเข้ามาหาตนด้วยความเร็วสูงดุจสายฟ้า วินาทีต่อมามันก็เสียบทะลุเข้าไปในนักรบแรงค์6สุดห้าวคนนี้.......