DC บทที่ 180: การเดินทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ฟรี)
DC บทที่ 180: การเดินทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ดูเหมือนท่านมิได้ใส่ใจเลย...ยิ่งเหมือนกับว่าท่านมิได้สนใจเสียด้วยซ้ำ…” ชิวเยวี่ยกล่าวหลังจากเห็นท่าทางปลอดโปร่งของเขา
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เซียวลี่จัดอยู่ในกลุ่มสายเลือดแมวภูต เธอมิใช่ผู้ที่จะโจมตีผู้อื่นโดยไม่ถูกยั่วยุมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาก็สมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมิมีอะไรที่ข้าจะทำได้ในตอนนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว อย่างไรก็ตามข้าจักพูดกับเธอยามเมื่อเธอกลับมา”
ซูหยางมีความรู้สึกว่าเซียวลี่คงจะสร้างปัญหายามเมื่อเธอกลับมาครั้งนั้นพร้อมกับการแปลงโฉมที่ลบหายไปอีกทั้งมีกลิ่นอายของปราณไร้ลักษณ์รอบกายเธอ ดังนั้นเขาจึงไม่ตกใจเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
หลังจากการสนทนาสั้นๆ ก็มีคนมาเคาะประตู
ซูหยางตรงไปยังประตูและพบกับเจ้าสถาบันซูยืนอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางหอบหายใจไม่ทัน
“ข-แขกผู้ทรงเกียรติ” เจ้าสถาบันหญิงซูเริ่มพูดครั้นเมื่อเธอเย็นลงเล็กน้อย “การจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว...นี่คือสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องการสำหรับโอสถแยกวิญญาณ”
เธอยื่นส่งแหวนมิติที่มีวัตถุดิบภายในให้กับซูหยางโดยไม่ชักช้า
ซูหยางรับแหวนมิติพร้อมรอยยิ้ม และกล่าวหลังจากที่ยืนยันสิ่งที่อยู่ภายใน “ตอนแรกข้าสงสัยว่าท่านลืมเรื่องข้า หรือว่าท่านตั้งใจหน่วงเวลาไว้…”
เจ้าสถาบันหญิงซูเริ่มมีเหงื่อไหล ก้มหน้าขอโทษ “โปรดอภัยให้ข้า ข้ามิได้วางแผนที่จะ---”
ซูหยางยกมือขึ้นขัดจังหวะ “นั่นมิจำเป็นต้องขอโทษ ถ้าจะพูดไป ข้าควรขอบคุณท่านที่หน่วงเวลาไว้”
“หือ” เจ้าสถาบันหญิงซูเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางงุนงง
เขาขอบคุณ ทำไมเขาต้องขอบคุณเธอที่หน่วงเวลาการตระเตรียม
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้อธิบายอะไรให้ เขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อตอนนี้การตระเตรียมได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องไป”
เจ้าสถาบันหญิงซูมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขากำลังจะไปเช่นนี้เลยหรือ แล้วเรื่องการปรุงโอสถแยกวิญญาณ เธอกระทั่งคาดหวังว่าเขาจะปรุงยาในสถานที่แห่งนี้
“ถ-ถ้าท่านมิถือ ท่านสามารถใช้เตาปรุงยาของที่นี่ปรุงยา ข้ามิได้โอ้อวด แต่เตาปรุงยาที่นี่เป็นของที่ดีที่สุดที่จะสามารถหาได้ในทวีปแห่งนี้… และอย่างไรท่านก็อยู่ที่นี่แล้ว…” เจ้าสถาบันหญิงซูต้องการที่จะเห็นเขาปรุงโอสถแยกวิญญาณต่อให้เธอต้องลดตัวลงมา
กล่าวถึงที่สุด ถึงแม้ว่าเธอจะมีตำรับโอสถแยกวิญญาณ ถ้าเธอไม่รู้กระบวนการในการปรุงยา มันก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการลองผิดลองถูกก่อนที่เธอจะสามารถปรุงโอสถแยกวิญญาณ
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอ แต่ข้ามิได้มีเจตนาที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณ” ซูหยางกล่าว ปล่อยให้เจ้าสถาบันหญิงซูงุนงง
“หือ ท่านมิได้คิดปรุงยา เช่นนั้นทำไมท่านจึง…”
“นั่นมิใช่สิ่งที่ท่านควรกังวลสนใจ เจ้าสถาบันหญิงซู” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเรียบง่าย กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามพวกเราจักไปในทันทีที่เตรียมพร้อมแล้ว”
“ต-แต่แล้วลูกสาวข้าล่ะ ซูเมิ่งอี้ ข้ามิได้พูดคุยกับเธอมาหลายวันแล้ว ท่านรู้ไหมว่าเธอไปไหน” เจ้าสถาบันหญิงซูถาม
ซูหยางชายตาไปทางห้องปรุงยาและกล่าวว่า “ท่านมิต้องเป็นกังวล ลูกสาวท่านตอนนี้พักอยู่ในห้องปรุงยาตรงนั้น”
“ให้ข้าไปพูดคุยกับเธอ---”
เจ้าสถาบันหญิงมุ่งหน้าไปยังห้องปรุงยาแต่ถูกซูหยางขวางทางไว้ในทันที
“มีอะไรหรือ”
“ข้าคิดว่าท่านควรปล่อยเธอไว้ก่อนตอนนี้ ในเมื่อเธอกำลังอยู่ในสถานะของการหยั่งรู้”
“การหยั่งรู้ เธอนะรึ” เจ้าสถาบันหญิงซูพะงาบด้วยความตระหนก
การหยั่งรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากในโลกของผู้ฝึกปราณ เรียกได้ว่าแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย หลังจากที่ผู้ใดสำเร็จการหยั่งรู้ พวกเขาจะกลายเป็นคนใหม่และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับสิ่งที่เป็นสาเหตุให้เกิดการหยั่งรู้
อย่างไรก็ตามการหยั่งรู้ของซูเมิ่งอี้เป็นเพียงข้ออ้างที่สร้างขึ้นมาโดยซูหยางเพื่อกันเจ้าสถาบันหญิงซูออกไปจากซูเมิ่งอี้ก่อนที่เธอจะฟื้นฟูจาก “การฝึกฝน” ถ้าเจ้าสถาบันหญิงซูเข้าไปในห้องปรุงยาตอนนี้ เธอต้องตื่นตระหนกไปตราบชั่วชีวิตอย่างแน่นอนถ้าเห็นลูกสาวเธอในสภาพปัจจุบัน
“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” เจ้าสถาบันหญิงซูโยนความคิดที่จะเข้าไปดูซูเมิ่งอี้ไปด้านข้างหลังจากได้ยินคำพูดของซูหยาง
เจ้าสถาบันหญิงซูจากไปหลังจากนั้นไม่นานด้วยความรู้สึกขื่นขมปาก แม้ว่าเธอจะเสียใจลึกซึ้งที่ไม่ได้เป็นประจักษ์พยานในการปรุงโอสถแยกวิญญาณต่อหน้า แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เธอจะทำได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น
“อย่างน้อยเจ้าเด็กนั่นก็สามารถหยั่งรู้…” เธอถอนใจขณะที่เธอกลับไปยังที่พักของเธอเอง
ครั้นเจ้าสถาบันหญิงซูจากไปแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับชิวเยวี่ยว่า “เตรียมตัวกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อเซียวลี่กลับมา”
ชิวเยวี่ยพยักหน้า เธอมองดูห้องปรุงยา “การหยั่งรู้ หึ…”
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เซียวลี่ก็กลับมายังข้างกายซูหยาง ในเวลานั้นบังเอิญที่ซูเมิ่งอี้ก็ฟื้นกำลังมากพอที่จะเดินได้ในตอนนั้น
เมื่อซูเมิ่งอี้เห็นว่าซูหยางกำลังจะจากไป น้ำตาก็ไหลออกมานองใบหน้าโดยไม่อาจที่จะควบคุมได้
แม้ว่าเธอจะเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเดินทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของเขาในช่วงเวลาสองสามวันก่อนหน้านี้ เธอยังคงอดไม่ได้ที่จะอาลัยอาวรณ์เมื่อเวลาที่เขาต้องจากไปมาถึงในที่สุด
“เจ้าต้องไปจริงๆหรือ” ซูเมิ่งอี้ถามเขา พร้อมตาแดงๆ
“อือ” ซูหยางพยักหน้า
“เจ้าจะกลับมาในสักวัน”
“ข้าจักพยายาม”
“ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่”
“ข้าก็มิรู้”
“ลูกของเราควรตั้งชื่อว่าอะไรดี”
“...”
ซูเมิ่งอี้ยิ่งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เมื่อยิ่งได้พูดกับซูหยาง ราวกับทารกที่ร้องไห้เมื่อต้องพลัดพรากจากผู้ปกครอง
“ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจักกลับคืนมาในสักวันหนึ่งแน่นอน ข้าสัญญา” ซูหยางใช้มือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าสวยของซูเมิ่งอี้
“ข้าจักคิดถึงเจ้า..”
ซูหยางพลันโอบกอดซูเมิ่งอี้และจูบเธอด้วยความเสน่หา ซึ่งเพียงทำให้เป็นการยากสำหรับซูเมิ่งอี้ที่จะปล่อยเขาไป
ซูเมิ่งอี้หลับตาลงและกอดจูบเขาคืน
หลังจากนั้นชั่วขณะ ซูหยางคลายวงแขนก่อน เพราะว่าซูเมิ่งอี้ไม่เต็มใจที่จะปล่อยเขาไป
สุดท้ายนี่ก็คือชะตาที่ทุกคนที่ตกหลุมรักกับซูหยางต้องแบ่งปันกัน นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมหลายคนในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เหยียดหยามซูหยาง ในขณะที่คู่ของเขาหลายคนสามารถยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้และยอมปล่อยให้เขาไปหลังจากชั่วเวลาหนึ่ง บางคนก็พยายามทุกวิถีทางที่จะอยู่ร่วมกับเขาให้นานขึ้นแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม