ตอนที่ 46 หอเงากระบี่และสมบัติลับตระกูลจี้
ตอนที่ 46 หอเงากระบี่และสมบัติลับตระกูลจี้
จี้ชางคงไม่ได้ยึดติดอยู่กับพลังและความมั่งคั่งในทรัพย์สิน ทั้งชีวิตและความหวังของเขาทั้งหมดนั้นตรึงอยู่กับบุตรชายเพียงคนเดียว, จี้เทียนซิง
เมื่อทักษะและความสามารถของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนสูญสลาย เขาทั้งกลุ้มใจและโกรธแค้นผู้ที่ลงมือกับบุตรชาย เขานอนไม่หลับมาหลายคืนและอาเจียนโลหิตออกมาซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่วันนี้จี้เทียนซิง บุตรชายของเขาได้กลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงแล้ว !
เขาจะไม่ตื่นเต้นยินดีจนเนื้อเต้นได้อย่างไร ?
หลังจากนั้นไม่นานความรู้สึกของจี้ชางคงก็สงบลง
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เทียนซิง แม้ว่าเจ้าจะฟื้นฟูพลังกลับมาแล้ว แต่เรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ”
“หลังจากที่เจ้าเกิดเรื่อง สถานการณ์รอบตัวพวกเราก็ไม่สู้ดีเอาเสียเลย หากพวกเราปล่อยให้ศัตรูเหล่านั้นล่วงรู้ว่าพลังของเจ้าฟื้นฟูแล้ว พวกมันจะยิ่งอยู่ไม่สุขและอาจทุ่มกำลังทั้งหมดจัดการกับเจ้าอย่างเต็มกำลัง”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวอย่างสง่างามว่า “ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ อีกเรื่อง ที่ข้ามาพบท่านวันนี้ก็เพื่อจะรายการเรื่องหนึ่ง”
“ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองไต้ห่าวแถบเทือกเขาเย่ ข้าถูกนักฆ่าชุดดำลอบสังหารจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ข้าได้ตรวจสอบรูปพรรณสัญฐานของพวกมันแล้ว พวกมันคือคนของหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต…”
จี้ชางคงดวงตาเบิกกว้างและเย็นเฉียบ เขาตะโกนต่ำว่า “หมู่ตึกอาภรณ์โลหิต ? พวกมันกล้าลอบสังหารเจ้า ?!”
“เหอะ ! อีแค่องค์กรมือสังหารเล็กจ้อยกลับกล้าหาเรื่องกับตระกูลจี้ของข้า !”
หลังจากคำรามด้วยจิตสังหาร จี้ชางคงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เทียนซิง เจ้ามิต้องใส่ใจกับเรื่องนี้เพราะพ่อจะส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังที่ว่าจ้างพวกมันเป็นแน่ !”
“สำหรับหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต ภายในหนึ่งเดือน ยอดฝีมือตระกูลจี้จะไปถล่มพวกมันให้ราบ !”
“เฮอะ ! สงสัยว่าตระกูลจี้จะหลบอยู่ในมุมมืดมานานหลายปีเกินไปจนทำให้พวกกองกำลังและสำนักต่างๆลืมเลือนถึงตัวตนของหอเงากระบี่ของตระกูลจี้ของข้าไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดด้วยโทสะของบิดา จี้เทียนซิงก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“ถ้าหอเงากระบี่ออกมา หมู่ตึกอาภรณ์โลหิตไม่มีทางรอดเป็นแน่ !”
เมื่อสิบปีที่แล้ว จี้ชางคงและมือกระบี่อาวุโสได้พ่ายแพ้ในการประลองกระบี่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลจี้ก็เก็บเนื้อเก็บตัวและทำตัวไม่ให้เป็นที่เตะตาผู้คน
อย่างไรก็ตาม ตระกูลจี้ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางจะยอมถูกลูบคมซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือ ?
หากตระกูลจี้ไม่มีขุมพลังในกำมือ พวกเขาจะครอบครองฐานอำนาจเกือบครึ่งหนึ่งของรัฐนภากระจ่างได้อย่างไร ?
หอเงากระบี่เป็นอาวุธลับที่ตระกูลจี้ฟูมฟักขึ้น จี้ชางคงเป็นผู้ดูแลหอเงากระบี่โดยตรงและรองหัวหน้าทั้งสองคนก็เป็นถึงยอดฝีมือเขตแดนเชื่อมปราณขั้นที่ 4
มือกระบี่ทั้ง 36 คนก็ยังมีความแข็งแกร่งในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 9
ขุมกำลังลึกลับนี้ไม่ทราบว่าได้ช่วยตระกูลจี้ให้ผ่านวิกฤตและกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งมามากน้อยเพียงใด
จี้เทียนซิงรู้ว่าบิดาของตนเองนั้นเต็มไปด้วยโทสะอย่างรุนแรงมากแล้ว ถึงขนาดส่งหอเงากระบี่ไปจัดการกับหมู่ตึกอาภรณ์โลหิต
ซึ่งเขามั่นใจว่าผู้ว่าจ้างเหล่ามือสังหารที่อยู่เบื้องหลังจะต้องโผล่หางออกมาในไม่ช้า
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ จี้เทียนซิงก็นึกขึ้นได้และกล่าวต่อไปว่า “ท่านพ่อ ยังมีอีกเรื่อง ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองไต้ห่าว ข้าพบเรื่องแปลกๆเรื่องหนึ่ง”
“ข้าพบซูจือเฟิงผู้ดูแลโรงหลอมกระบี่ชานเมืองของเขา มันแอบเอากระบี่ระดับล้ำลึกของโรงหลอมพวกเราลอบทำการซื้อขาย”
“หลังจากที่ข้ารู้เรื่องนี้ มันและผู้ติดตามปฏิเสธที่จะสารภาพความจริง”
ใบหน้าของจี้ชางคงกลายเป็นมืดมนอีกครั้ง เขาถามด้วยเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้...จริงหรือนี่ ซูจือเฟิงเป็นคนมักน้อย รอบคอบ แถมยังภักดีต่อตระกูลจี้มาโดยตลอด การที่มันทำเรื่องเช่นนี้ย่อมมีผู้อยู่เบื้องหลัง”
“โรงหลอมกระบี่ชานเมืองตะวันออกอยู่ในการดูแลของจี้หรูเฟิ่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมันคงเป็นไปไม่ได้”
จี้ชางคงขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ถามจี้เทียนซิงเกี่ยวกับรายละเอียดอีกเล็กน้อย
หลังจากได้รับข้อมูลจากบุตรชาย เขาก็กระซิบบอกว่า “นี่มันมากเกินไปแล้ว มันส่งซูจือเฟิ่งออกจากเมืองจักรวรรดิไปกบดานซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเพื่อบรรลุข้อตกลงการซื้อขาย”
“เทียนซิงนี่เป็นเรื่องที่พ่อต้องสืบสวนอย่างจริงจัง พ่อต้องตรวจสอบบัญชีซื้อขายของโรงหลอมชานเมืองตะวันออกและดูว่าจี้หรูเฟิ่งมันแอบทำอะไรลับหลัง !”
จี้เทียนซิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยความกังวลบางอย่าง “ท่านพ่อ ถ้าท่านลุงสองทราบว่าท่านเริ่มสงสัย เขาต้องแตกหักกับท่านแน่ ท่านต้องระวังตัวให้มาก”
“นอกจากนี้ ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่มาหาท่านวันนี้”
ชางคงถามว่า “เรื่องอะไรหรือ ?”
“ท่านพ่อ ในตระกูลจี้เรามีสมบัติชั้นสูงจำพวกเก็บสิ่งของได้มากมายจริงหรือไม่ ?”
จี้ชางคงตะลึงที่บุตรชายรับรู้เรื่องสมบัติประเภทนี้ เขาแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาและพยักหน้าทันที “มีอยู่จริง”
“สมบัตินี้เป็นผลิตผลของท่านปู่ของเจ้าและผู้เชี่ยวชาญการหลอมสร้างอาวุธทั้ง 12 คน พวกท่านใช้เวลาสองปีและความพยายามอย่างมาก นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ในการผลิตมันมีมูลค่าหลายล้านทีเดียว”
“พื้นผิวของวัตถุประเภทนี้ก็ราบเรียบมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ แต่มันมีพื้นที่ว่างภายในนั้น มันเป็นพื้นที่ลึกลับและใหญ่พอจะเก็บสิ่งของเข้าไปได้มากมาย”
“หลังจากสิ่งของชิ้นนี้ผลิตขึ้นสำเร็จ แม้แต่ราชวงศ์ก็ตื่นเต้นตกใจกันมาก องค์จักรพรรดิองค์ก่อนแทบอยากจะรั้งตัวปู่ของเจ้าให้เป็นองค์ชายและยกเมืองใหญ่ให้เพื่อแลกกับสมบัติประเภทนี้ด้วยซ้ำ แต่ปู่ของเจ้าก็ปฏิเสธไป”
เมื่อพูดถึงสมบัตินี้ ใบหน้าของจี้ชางคงนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“เอ่อ…” จี้เทียนซิงได้ยินว่ากระเป๋าเก็บสิ่งของนั้นล้ำค่าและหายากมาก เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ท่านพ่อ คือข้าต้องการมันโดยด่วน ข้ามีเหตุต้องใช้ หากเป็นไปได้...”
เขากำลังหาข้ออ้างโดยชอบธรรมว่าทำไมถึงร้องขอสมบัติชิ้นนี้จากบิดา
โดยไม่คาดคิด จี้ชางคงกลับเห็นด้วยและไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เทียนซิง มันเรียกว่ากระเป๋ามิติ ถึงแม้มันจะประเมินค่ามิได้ แต่ในเมื่อเจ้าร้องขอและจำเป็นต้องใช้ มีหรือที่พ่อจะปฏิเสธ”
จากนั้นเขาก็ตบไหล่ของบุตรชายและกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เทียนซิง เจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็ได้หากลำบากใจที่จะกล่าว พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและเอาตัวรอดได้ พ่อรู้ว่าเจ้ามีแผนการและความคิดเป็นของตัวเอง จำไว้ว่าไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร พ่ออยู่ข้างเจ้าเสมอ”
“ในอนาคตสมบัติและทรัพย์สินมหาศาลของตระกูลจี้ย่อมตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว !” (แอดมีลางสังหรณ์ว่าเดี๋ยวพ่อตายตระกูลพินาศแหงๆ ปูเรื่องพ่อสปอยลูกซะขนาดนี้.......)
หลังจากนั้นจี้ชางคงก็เดินออกไปที่ห้องลับในที่พักของตนเพื่อไปหยิบกระเป๋ามิติ
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขากลับมาพร้อมกับมอบกระเป๋ามิติให้จี้เทียนซิง และอธิบายถึงวิธีการใช้งาน
จี้เทียนซิงรับกระเป๋ามิติมาและโค้งคารวะขอบคุณบิดา จากนั้นก็ล่าถอยไป
หลังจากกลับมาที่ห้องของตน เขาก็ปิดประตูและศึกษากระเป๋ามิติอย่างละเอียด
บนพื้นผิวของกระเป๋ามิติสีแดงเข้มนี้ไม่แตกต่างจากกระเป๋าธรรมดาตามตลาดมากนัก มันคล้ายๆกับกระเป๋าที่เหล่าเศรษฐีแขวนไว้ที่เอว
แต่ในความเป็นจริงแล้วกระเป๋ามิตินั้นพิเศษมาก น้ำไฟไม่อาจย่างกราย คมมีดหรือของมีคมก็ทำลายไม่ได้ง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจี้เทียนซิงลองเปิดกระเป๋ามิติดูก็พบว่ามันเป็นห้องใหญ่ห้องหนึ่งทีเดียว
ในพื้นที่กว้างในนั้นไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงโยนเตียงและโต๊ะไว้ข้างใน รวมไปถึงผ้าปูที่นอน
จากนั้นเขาก็เอาเฉียนเยวี่ย (เสี่ยวปิงหูนั่นแหละ)โยนเข้าไปในกระเป๋ามิติและให้มันอาศัยอยู่ในนั้น
มันกระโดดไปมาในพื้นที่มิติอย่างสนุกสนานและพึงพอใจมาก