หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.58 - หมูกำลังมา
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.58 - หมูกำลังมา
ช่วงชีวิตก่อนหน้า ในโลกของผู้ฝึกยุทธ ครั้งหนึ่งเขาเคยทำงานเป็น ‘นักปรุงไวน์จิตวิญญาณ’ ภายในภัตตาคารหลิงชี
มันเป็นช่วงเวลาก่อนที่ราชินีแห่งการทำลายล้าง แอนนา เมดิซีจะตกตายลง
ในช่วงเวลานั้นกู่ฉิงซานเป็นนักปรุงไวน์จิตวิญญาณที่ได้รับการยกย่องจากบรรดานิกายสำคัญๆทั่วโลกของผู้ฝึกยุทธ
นอกจากนี้เขายังคอยสอนวิธีผสมค็อกเทลให้แก่เพื่อนที่แสนดีของเขาอีกด้วย
ผลที่ตามมาก็คือ สามีของเพื่อนที่แสนดีดูจะไม่ค่อยพอใจนัก เพราะแท้จริงแล้วสองสหายเต๋าผู้นี้ไม่ต้องการให้เขาสอนวิธีผสมค็อกเทล แต่ต้องการใช้กู่ฉิงซานเป็นแค่เครื่องผลิตศิลาวิญญาณขนาดใหญ่เท่านั้น
และเพื่อที่จะได้ควบคุมเขาโดยสมบูรณ์ เพื่อนที่แสนดีผู้นี้ถึงกับพยายามทำทุกวิถีทาง ออกเสาะหาทั้งสิ่งของและมอนสเตอร์ว่ากันว่าพลังในด้านการควบคุม
จนกระทั่งเธอได้พบกับแมงมุมชนิดหนึ่งในป่าลึก มันถูกเรียกว่า “แมงมุมพิษกลืนใจ”
เมื่อมารแมงมุมชนิดนี้แนบชิดอยู่กับร่างกาย ความแข็งแกร่งจะไม่สามารถใช้ออกได้ครึ่งหนึ่ง และหากไม่เชื่อฟังมารแมงมุม มันก็จะเจาะทำลายหัวใจของเจ้าของร่าง
มารแมงมุมนั้นครอบครองพลังศักดิ์สิทธิในด้านการควบคุมตั้งแต่แรกเกิด ขณะที่มันติดตรึงอยู่กับหัวใจ ไม่เพียงแต่คอยบงการอยู่ทุกๆกริยาบทเท่านั้น แต่มันยังกัดแทะจิตเทวะของผู้ฝึกยุทธอย่างช้าๆอีกด้วย
มันสร้างความเจ็บปวดให้แก่ทั้งร่างกายและจิตเทวะ และแทบจะไม่มีใครสามารถต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ของมันได้เลย เกือบทั้งหมดต้องยอมกลายเป็นทาสของมัน
เมื่อกู่ฉิงซานบังเอิญไปรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็เตรียมที่จะไปล้างแค้นเพื่อนที่แสนดีผู้นี้ แต่ทว่าเธอกลับชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
ตั้งแต่นั้นมา กู่ฉิงซานก็ได้สาบานต่อพระเจ้าว่า จะไม่สอนใครทำไวน์หรือค็อกเทลอีก
กู่ฉิงซานย้อนคืนกลับมาจากห้วงความทรงจำ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ท่าทีแบบนั้น คุณคงรู้สินะว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร!”เหลิงเทียนสิงเฝ้าดูทุกกิริยาของคนตรงหน้า และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
กู่ฉิงซานกล่าว “อย่างที่คิดจริงๆ ที่แท้นายก็เคยอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำมาก่อน”
“ถูกต้อง!”
กู่ฉิงซาน “เพื่อที่นายจะได้ไม่ต้องถูกควบคุมกลายเป็นทาสของมัน นายจึงเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ข้างกายนายพลกงซุน ให้นายพลกงซุนคอยใช้ค่ายกลจำกัดการเคลื่อนไหวของมารแมงมุม จะได้รักษาจิตสำนึกของตัวเองเอาไว้เพื่อความอยู่รอดอย่างงั้นสินะ”
“นั่นแหละ!”
เหลิงเทียนสิงผุดลุกขึ้นยืน ก่อนใช้กำปั้นข้างหนึ่งกระแทกเข้ากับฝ่ามืออีกข้างและโค้งคำนับพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ “โปรดยื่นมือเข้าช่วยฉันด้วย แล้วฉันจะสาบานเป็นพี่น้องกับคุณ ถึงแม้สกุลของพวกเราจะต่างกันก็ตาม”
เหลิงเทียนสิงน่าจะอายุ 20 ปี เป็นผู้ฝึกยุทธระดับแก่นทองคำ ศิษย์สายตรงแห่งนิกายเหยากวาง
อัจฉริยะมากพรสวรรค์เช่นนี้ ใครกันจะกล้าสาบานเป็นพี่น้องกับเขา?
แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำด้วยกันก็ยังต้องไว้หน้าเขา และไม่กล้ากระทำเช่นนี้
เนื่องเพราะด้วยวัยเพียง20แต่กลับอยู่ในระดับแก่นทองคำ นี่มันพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
กู่ฉิงซานฝืนยิ้มออกมาและกล่าว “พวกเรารีบไปเลือกรายการทดสอบร้อยบุปผาด้วยกันเถอะ”
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับพลังอันน่าสยองขวัญของแมงมุมตัวนี้ได้
คู่ดวงตาของเหลิงเทียนสิงหม่นลงอีกครั้ง
“ปัญหาของนายร้ายแรงเกินไป พวกเราต้องรีบกลับไปยังโลกของผู้ฝึกยุทธเสียก่อน”
“นอกจากนี้ฉันยังมีเหตุผลที่จำเป็นต้องไปทันทีอีกด้วย”
กู่ฉิงซานกล่าวออกมาในที่สุด
เหลิงเทียนสิงมองไปยังบาดแผลของทั้งเขาและกู่ฉิงซาน ก่อนจะพบว่าตั้งแต่บนลงล่างเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและกล่าว “เรื่องเร่งด่วน?”
กู่ฉิงซานวางบอลเหล็กลงบนค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลและกล่าว “ไฟลนก้นเลยล่ะ”
เขาเหลือบมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม และเห็นว่าภารกิจยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ
นี่แสดงให้เห็นว่ากงซุนซีและหนิงเยว่ฉานยังคงยืนหยัดได้อยู่
กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณ
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน 651/7”
แต้มพลังวิญญาณจำนวนมากเหล่านี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มอนสเตอร์ถูกสังหารลงด้วย ‘ฝ่าวารีเชี่ยว’
แต่ในเวลานี้ หากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ และฝืนลิขิตฟ้าของกงซุนซีและหนิงเยว่ฉาน แต้มพลังวิญญาณเหล่านี้ไม่อาจช่วยกู่ฉิงซานได้ สิ่งเดียวที่สามารถช่วยเขาได้ก็คือไตรภาคีเท่านั้น
กู่ฉิงซานถอนหายใจและเริ่มทำการกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล
บนค่ายกล ปรากฏม่านแสงสว่างจ้า และค่อยๆห่อหุ้มทั้งสองไปโดยสมบูรณ์
เมื่อม่านแสงมลายไป ทั้งสองก็หายไปจากถ้ำ
ณ เมืองชายแดน
จู่ๆค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ใจกลางเมืองก็สว่างขึ้น
ตามมาด้วยสองร่างปรากฏขึ้นในค่ายกล
พร้อมด้วยเสียงพูดคุยบางอย่างดังออกมา “ยังไม่ใช่ที่นี่ ต้องไปอีกยังทิศทางนั้น”
“ก็ได้ ไปกันเลย”
ค่ายกลเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง
และทั้งสองร่างก็หายไป
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่ทำหน้าที่คอยปกป้องค่ายกลกล่าวด้วยความสงสัย “ใครกันที่โผล่มาในเวลานี้?”
ผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ส่ายหัว “มันเร็วเกินไป ข้ามองไม่ชัด”
“แต่เป้าหมายของพวกเขาสมควรไม่ใช่ที่นี่ สมควรจะไปยังเมืองชายแดนข้างๆเสียมากกว่า”
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนกล่าว “งั้นก็ส่งทหารออกไปดูว่าปลายทางของทั้งสองที่โผล่มาในค่ายกลเคลื่อนย้ายเป็นที่ไหน”
ชายคนหนึ่งเดินไปตรวจสอบและกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ปลายทางของพวกเขาคืออาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์”
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าทะมึน “นั่นคงไม่ใช่ ‘เป้าหมาย’ที่พูดถึงหรอกกระมัง?”
“ไม่ใช่หรอก คงเป็นแค่พวกคนที่ต้องการจะลองไปเสี่ยงโชคดูเท่านั้นน่ะแหละ”
ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนกล่าว “เฝ้าจับตาดูต่อไป ‘ท่านผู้นั้น’ ได้ออกคำสั่งมาว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ห้ามปล่อยให้พวกมันออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายเด็ดขาด”
“รับทราบ”
กู่ฉิงซานกับเหลิงเทียนสิงไม่รู้ตัวเลยว่าเนื่องเพราะความเร่งรีบและความระมัดระวังตัวของพวกเขา ทำให้รอดพ้นหลบหนีจากความตายครั้งที่สองที่กำลังจะเกือบเอื้อมมาถึงนี้ได้
ณ อาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์
นอกเมืองหลวง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏแสงสว่างวาบ
ก่อนที่ร่างของกู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงจะก้าวออกมา
“นี่คุณเสียศิลาวิญญาณไปมากเท่าไหร่กันเนี่ย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” เหลิงเทียนสิงกล่าว
การเคลื่อนย้ายทางไกลมีค่าใช้จ่ายเป็นศิลาวิญญาณที่มูลค่าสูงยิ่ง สมแล้วจริงๆที่เหลิงเทียนสิงเป็นศิษย์สายตรงของนิกาย
“ไปกันเถอะ แล้วค่อยเลือกรายการทดสอบ” กู่ฉิงซานกระโดดลงจากค่ายกล
เหลิงเทียนสิงถอนหายใจและกล่าว “ไปในสภาพนี้น่ะนะ?”
กู่ฉิงซานหันกลับมามองอีกฝ่าย ก่อนจะก้มลงมองตัวเองอีกครั้ง
ทั้งร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อคลุมขาดวิ่น จนไม่สมควรเรียกว่าสวม สมควรเรียกว่าแขวนบนร่างกายเสียมากกว่า
เหลิงเทียนสิงแนะนำ “หรือว่าพวกเราสมควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พักผ่อนก่อนสักวันหนึ่ง”
กู่ฉิงซานกล่าว “ไม่ได้ มันจะไม่ทันเวลา พวกเราต้องรีบแล้ว”
เหลิงเทียนสิงถามอย่างสงสัย “ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไปกันก่อนเถอะ แล้วฉันจะบอกนายทีหลัง”
ทั้งสองย่ำฝีเท้าและกระโจนออกไป เมื่อร่อนลงจุดหนึ่งก็กระโจนออกไปยังอีกจุดหนึ่ง ออกห่างจากค่ายกลอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงสู่ชานเมือง
ซึ่งนี่มันแตกต่างจากในสถานที่อื่นๆ ที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ละค่ายกลถูกติดตั้งเอาไว้ใจกลางเมือง ทว่าสำหรับอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์ จะตั้งอยู่ไกลออกไปจากตัวเมือง
ซึ่งทุกคนไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม แต่คาดว่าคงเป็นเพราะความเอาแต่ใจของนางเซียนไป่ฮั่วนั่นแหละ
กู่ฉิงซานกับเหลิงเทียนสิงมุ่งไปตามทาง และตลอดทางก็ค่อยๆพบเจอกับผู้คนทีละนิด
ที่นี่มีผืนดินแบ่งเป็นสัดเป็นไว้ใช้ปลูกพืชผลและอยู่อาศัย และมีผู้คนธรรมดาอยู่เป็นจำนวนมาก
“ไม่ว่านายจะพบเจอกับอะไร อย่าพึ่งออกหน้า ปล่อยให้ฉันเป็นคนจัดการ” กู่ฉิงซานเตือนอย่างรอบคอบ
“ตกลง” แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆในจิตใจ เหลิงเทียนสิงก็ยังยินดีที่จะกล่าวตกลง
หลังจากที่ทั้งสองได้ผ่านบททดสอบแล้วบททดสอบเล่ามาด้วยกัน ในท้ายที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าคำกล่าวของกู่ฉิงซานมักจะถูกต้องเสมอ
ทั้งสองก้าวกระโจนไปยังเบื้องหน้า ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆหมูตัวหนึ่งก็ควบทะยานสี่กีบของมันพุ่งตรงมายังทิศทางที่ทั้งสองกำลังจะร่อนลงอย่างรวดเร็ว
แม้นี่จะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ไม่มีใครทันคาดคิด ทว่าหากต้องปะทะกับมันตรงๆพวกเขาต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่
ต้องกล่าวว่าเจ้าหมูตัวนี้มาได้เวลาประจวบเหมาะเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงต่อสู้กับเผ่ามารนับไม่ถ้วนอย่างยากลำบาก ด้วยสภาวะที่รีดความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีออกไป ทำให้ในเวลานี้จะไม่สมควรที่จะได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น
มีเพียงวิธีเดียวก็คือใช้พลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ฆ่าหมูตัวนี้ซะ
เหลิงเทียนสิงหยิบพัดหยกออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ หากเขาถูกหมูพุ่งชนจนน็อค กล่าวได้ว่ามันเป็นความอัปยศครั้งใหญ่
ทันใดนั้นเอง มือของเขาที่พึ่งขยับก็ถูกหยุดไว้โดยกู่ฉิงซาน
เมื่อคิดถึงสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวเตือนเมื่อครู่ เหลิงเทียนสิงก็เก็บพัดหยกของเขากลับคืนทันที
กู่ฉิงซานยืดสองแขนออกไปกลางอากาศ เตรียมโผเข้ากอดเจ้าหมูเบื้องหน้า
ตึ้ง! อุฟฟฟ เจ้าหมูบ้านี่ทำไมแรงมันถึงเยอะอย่างกับช้างแบบนี้
กู่ฉิงซานที่พึ่งกินเม็ดยากระเรียนแดงมา ทำให้เขาอยู่ในสภาวะดีกว่าเหลิงเทียนสิง
“ฮ่า!”
เขาคำรามออก พร้อมกับโอบหมูไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเสียสมดุลและล้มกลิ้งลงบนพื้นดิน ตามมาด้วยเหลิงเทียนสิงที่ร่อนลงมาติดๆ
ทั้งคนทั้งหมูดูจะปลอดภัย
“ไปกันต่อเถอะ”
กู่ฉิงซานไม่ได้สนใจมองเจ้าหมูอีกต่อไป สองเท้าของเขาย่ำออก และโจนทะยานไปเบื้องหน้า
พวกเขาจากไปยังจุดที่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าหมูตัวดังกล่าวยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สายตาของมันก็เหลือบมองไปยังแผ่นหลังของทั้งสองที่กำลังไกลออกไป พร้อมปรากฏรอยยิ้มแห่งประหลาดใจไว้ในแววตา ...