ตอนที่ 54 ลอบสังหาร [อ่านฟรี]
ตอนที่ 54 ลอบสังหาร
เมื่อมาถึงจุดนี้ ร่างกายอ้อนแอ้นอรชรของลั่วชิงเฉิงขยับเข้ามาใกล้หลินหานอย่างช้าๆ จนทั้งสองเกือบจะติดกัน หลินหานรู้สึกถึงร่างกายที่อบอุ่นและนุ่มนวลของลั่วชิงเฉิง นางตัวสั่นเบาๆ กลิ่นหอมจางๆแฝงเสน่ห์ล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้จู่โจมเข้ามา หากเป็นผู้ชายธรรมดา เกรงว่าคงถูกลั่วชิงเฉิงปลุกปั่นจนเลือดร้อนคึกคัก อยากจะรีบควักปืนออกมายิง(สักน้ำ)
ทว่า หลินหานมีเพียงแววตาที่เป็นประกาย แล้วพูดด้วยสายตาที่แฝงความรู้สึกเย็นชาว่า "คุณหนูชิงเฉิง ต้องการให้ข้าทรยศตระกูลเหรอ?"
ดูเหมือนลั่วชิงเฉิงจะได้ยินความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงของหลินหาน นางจึงสื่อความฉงนใจในดวงตาคู่งาม นางมีเสนห์ดึงดูดออกปานนี้ แต่ไม่สามารถล่อใจของหลินหานได้เลยเชียวเหรอ? ทั้งที่เขาเป็นเพียงชายหนุ่มเลือดร้อนแถมอายุยังน้อย ทำไมเขาถึงมีเจตจำนงค์ที่เย็นชาขนาดนี้
"ชิงเฉิงขออภัยที่หยาบคาย" ลั่วชิงเฉิงพูดขอโทษ ร่างกายอ้อนแอ้นอรชรค่อยๆถอยกลับไปนั่ง สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองต้วนเทียนมองไปทางหลินหาน ด้วยสายตาที่แตกต่างจากอดีต
นั่นคือการชื่นชม !
แต่ลั่วชิงเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยในใจ หรือนางสวยไม่เพียงพอจึงไม่เข้าตาหลินหาน?
ดูเหมือนหลินหานจะมองเห็นความผิดหวังเล็กน้อยในสายตาของลั่วชิงเฉิง จึงกล่าวอย่างช้าๆว่า "คุณหนูชิงเฉิงยังเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองต้วนเทียน แต่ข้าไร้วาสนาจะเชยชม" เมื่อพูดจบ หลินหานลุกขึ้นยืนด้วยต้องออกไปข้างนอก
"ตระกูลหลินไม่สามารถให้สิ่งที่เจ้าต้องการได้ หลินกู่เทียนต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกุลหลิน ถ้าเจ้าแต่งกับข้าแล้วร่วมกับตระกูลลั่วซึ่งเป็นผู้ครองเมือง ตำแหน่งเจ้าเมืองคนต่อไปจะต้องเป็นของเจ้าแน่นอน! " ลั่วชิงเฉิงพูดออกมาอย่างกะทันหัน
"ตระกูลหลิน ตระกูลลั่ว ... บอกตามตรงข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด" หลินหานหันหลัง ประโยคสุดท้ายดังสะท้อนมา "ที่นี่เล็กเกินไป ซู่เหอพูดถูกต้อง สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของพวกเรา" เมือ่พูดจบ หลินหานก้าวไปอย่างเด็ดเดี่ยว เดินออกไปนอกศาลา ร่างของเขานหายไปในความมืดอย่างช้าๆ
หลั่วชิงเฉิงยังอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังที่ผอมเล็กน้อยของหลินหานซึ่งกำลังเดินออกไปอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไม ดวงตาคู่งามของลั่วชิงเฉิงสั่นไหว ในสายตาของนาง รูปร่างของหลินหานไม่ดูผอมอีกต่อไป หากแต่เปลี่ยนไปอย่างสูงใหญ่และกล้าหาญ
ฮู!
ทันใดนั้น มีร่างคนใส่ชุดสีดำกระโดดก้าวเข้ามาจากระยะไกล เขาคือลั่วเทียนหย่างซึ่งเป็นอันดับหนึ่งแห่งตระกูลลั่ว
"ชิงเฉิง เจ้าไม่รั้งเขาไว้เลยเหรอ?"
"ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากรั้งเขา แต่สถานที่นี้ต่างหากที่ไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้"
ลั่วชิงเฉิงถอนหายใจ "เขา ไม่ใช่คนในสถานที่เล็กๆแห่งนี้ ... "
......
หลินหานเดินทางคนเดียวเพื่อกลับตระกูล
ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็น หลินหานขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านกลางเขาแห่งเมืองต้วนเทียนเขารู้สึกถึงจิตสังหารที่เยือกเย็นจางๆ ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดรอบตัวเขา
พลังตรวจจับที่แข็งแกร่งทำให้หลินหานระวังตัวขึ้นในทันใด มีคนต้องการสังหารเขาในระหว่างเดินทางกลับไปที่ตระกูลหลิน!
เป็นศัตรูจากตระกูลหรือ?
พริบตานั้น ใบหน้าคนต่างๆนานาได้ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
"เวิง"
หลินหานใช้เนตรนภาแห่งนักพรตวิญญาณโดยไม่ลังเลเลย ทันใดนั้น ลูกตาในสภาวะวิญญาณขนาดใหญ่ดวงหนึ่งลอยขึ้นมาจากร่างของหลินหาน ล่องลอยอยู่เหนือท้องฟ้า มองเห็นโลกด้านล่าง
"เจอแล้ว!" เวลาแทนจะเสี้ยววินาทีที่หลินหานเปิดใช้เนตรนภา ดวงตาที่มองโดยรอบพลันเห็นสามร่างที่ซุ่มซ่อนอยู่ในป่าทึบด้านหน้าบนยอดเขาลอยฟ้าลูกหนึ่ง
“หลินป้าเตา ผู้เต่าไป๋เหมย และชายวัยกลางสวมชุดเกราะสีดำที่ไม่รู้จัก!” หลินหานตรวจจับใบหน้าของคนทั้งสามร่าง
บนชุดเกราะสีดำของชายวัยกลางคนที่ไม่รู้จักนั้นสลักสัญลักษณ์ของผู้ครองเมือง คงเป็นผู้แข็งแกร่งของตระกูลผู้ครองเมืองหรือเปล่า?
ครู่หนึ่ง ดวงตาของหลินหานเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลินป้าเตาและผู้เฒ่าไป๋เหมยจะร่วมมือกับตระกูลผู้ครองเมืองเพื่อมาสังหารเขา?
หลินป้าเตาและผู้เฒ่าไป๋เหมยมีความแค้นกับเขา แต่คนของผู้ครองเมืองทำไปเพื่ออะไร?
เพื่อที่จะฆ่าเขาที่เป็นสมาชิกผยองนภา!
เมื่อลองครุ่นคิดดูหลินหานก็เข้าใจทันใด ดูเหมือนว่าพอตระกูลผู้ครองเมืองเชิญตัวเองให้เข้าร่วมไม่ได้จึงต้องการบดขยี้เขา
"ทั้งสามคนนี้ หลินป้าเตามีพลังแห่งยุทย์ฉะสวรรค์ ไม่ทำให้ข้าในตอนนี้รู้สึกกลัว แต่ผู้เฒ่าไป๋เหมยและชายชุดเกราะสีดำนั้น จากออร่าพลังของพวกเขา ล้วนเป็นปรมาจารยุทย์ครึ่งก้าว ถ้าแค่คนเดียวยังพอว่า แต่นี่ร่วมมือกันสามคน โอกาสชนะของข้ามีน้อยมาก" หลินหานวิเคราะห์ในใจอย่างรวดเร็ว
หากอัจฉริยะทั่วไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าจะต้องตายแน่นอน ทว่า ในวงแหวนมิติของเขาเองเขาซ่อนคันศรซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันสามารถยิงปรมาจารย์ยุทยฉะสวรรค์คนหนึ่งให้ตายได้
ตอนงานชุมนุมชาวยุทย์ก็ไม่ได้ใช้ทักษะของนักพรตวิญญาณ ทั้งสามคนไม่น่าจะป้องกันล่วงหน้าได้ ด้วยวิธีนี้ ตราบใดที่จัดการอย่างเหมาะสม โอกาสชนะก็เพิ่มมากขึ้น
“หึ อยากจะฆ่าข้านักใช่ไหม? คืนนี้ จะได้กำจัดปัญหาทั้งหมดด้วยกัน!”
ในใจหลินหานตัดสินใจแน่นอนแล้ว ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ไม่กังวลไม่เร่ง ยังคงมุ่งหน่าไปในทิศทางของตระกูลหลินต่อ แต่เนตรนภาแห่งนักพรตวิญญาณยังคงล่องลอยอย่างเงียบๆบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
กลางป่าทึบที่ไกลออกไป....
"คืนนี้ เจ้าหนูนั่นจะต้องตาย! " หลินป้าเตาพูดเสียงทุ้มด้วยสายตาโหดเหี้ยม
“พวกเราสามคนรอซุ่มสังหารจากที่นี่ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ยุทย์สัตตะสวรรค์คนหนึ่งยังต้องติดกับแล้วถูกฆ่า เจ้าหนูนี่ก็แค่ยุทย์ฉะสวรรค์จะไปเหลือเหรอ” ผู้เฒ่าไป๋เหมยกล่าวด้วยใบหน้าเกลียดชัง
ในวันนั้น หลินหานฆ่าศิษย์ของเขา บีบให้เขาจากมาจากตระกูลหลิน จึงเป็นธรรมดาที่ผู้เฒ่าไป๋เหมยจะเกลียดหลินหานเข้ากระดูกดำ
ส่วนชายชุดเกราะสีดำที่อยู่ด้านข้างทั้งสองสื่อความแปลกใจเล็กน้อยบนใบหน้า เขาไม่คาดคิดว่าชายสองคนจะเกลียดหลินหานระดับนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพวกเขาทั้งคู่ต่างเคยถูกหลินหานเอาคืนจนไม่อาจตอบโต้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ชายชุดเกราะสีดำมองไปทางชายหนุ่มชุดสีเขียวที่กำลังเคลื่อนไหวมาทางนี้อย่างรำไร ในใจก่อเกิดความระแวง ชายหนุ่มชุดสีเขียวนี้คงจัดการไม่ง่ายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามไม่ทราบว่าท้องฟ้าเหนือพวกเขา มีลูกตาในสภาวะวิญญาณขนาดใหญ่กำลังจ้องมองทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างละเอียด หากพวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหรือเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน
“เอ๋ เจ้าหนูนั่นหยุดแล้วเหรอ?” หลินป้าเตาถามอย่างสงสัย
ทั้งสามคนทยอยหันไปมอง ก็เห็นหลินหานนั่งลงในพื้นที่โล่งข้างถนน แล้วหยิบศิลาวิญญาณที่เปล่งประกายจากอกเสื้อของเขา
“นั่นคือศิลาวิญญาณระดับสูงสุด!” อารมณ์ของผู้เฒ่าไป๋เหมยเปลี่ยนไป ดวงตาเร่าร้อน พูดขึ้นอย่างฉับพลัน "เจ้าหนูนี่คงต้องการดูดซับพลังของหินวิญญาณระดับสุงสุด เพื่อทลายขอบเขต"
"ฮ่าฮ่าฮ่า! สวรรค์เข้าข้างพวกเรา พวกเราจะรอจนกว่าเจ้าหนูนั่นจะทลายกำแพงแห่งขอบเขตจนไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ แล้วพวกเราจะออกไปสังหารเขาทันที ศิลาวิญญาณระดับสูงสุดก็จะกลายเป็นของรางวัลแห่งชัยชนะของพวกเรา!" หลินป้าเตาพลันพูดดด้วยอารมณ์ที่ดูตื่นเต้น
"ดูเหมือนเจ้าหนูนี่จะพยายามทลายขอบเขตก่อนกลับตระกูลหลิน เพื่อจะได้ไปเผชิญหน้าต่อกรกับหลินกู่เทียน แต่มันไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้ถูกพวกเราค้นพบเข้า" ใบหน้าชราของผู้เฒ่าไป๋เหมยสื่อความโลภและจิตสังหารเช่นกัน
“ที่เขารีบทำเวลาในการทลายขอบเขตพลัง แค่เพื่อจะได้กลับไปเผชิญหน้าต่อกรกับหลินกู่เทียนที่ตระกูลหลิน แค่นั้นเหรอ?” ชายชุดเกราะสีดำที่อยู่ถัดจากชายสองคนสื่อความรู้สึกสับสนเล็กน้อยในสายตา
เขารู้สึกลางๆว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่พอคิดว่าเป้าหมายที่ซุ่มโจมตีครั้งนี้เป็นเพียงเด็กชายอายุสิบเจ็ดปีที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะมีแผนการอะไรได้ ชายในชุดเกราะสีดำจึงขจัดความสงสัยเล็กน้อยนั้นออกจากหัว แม้ว่าเด็กหนุ่มนั่นจงใจแล้วจะทำอะไรได้ พวกเขาสามคน คนหนึ่งคือนักพรตวิชายุทย์ขั้นสูงสุดในยุทย์ฉะสวรรค์ ส่วนอีกสองคนคือปรมาจารย์ยุทย์ครึ่งก้าว แค่เด็กหนุ่มในยุทย์ฉะสวรรค์คนเดียวจะฆ่าไม่ได้เชียวหรือ?
"ไปกันเถอะ!"
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วแฝงตัวไปยังที่โล่งซึ่งหลินหานนั่งอยู่
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่ได้ค้นพบว่า ดวงตาในสภาวะวิญญาณขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าในเวลากลางคืนสื่อความเย้ยหยันอย่างเลือนลาง ...
………………………………………………………………..