100 หนึ่งร้อยวัน หนึ่งร้อยคน
100 หนึ่งร้อยวัน หนึ่งร้อยคน
เมื่อเขากลับไปถึงกระท่อม เขาก็ได้รับสายจากโจวฉง เขาและลูกชายของเขานั้นได้มาถึงเหลียนชานแล้ว เขาต้องการจะรู้ว่าหวังเย้าจะสามารถช่วยดูอาการของลูกชายของเขาได้ตอนไหน
หวังเย้าลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่า “คุณอยู่ที่ไหน? ผมจะไปหาคุณ”
โจวฉงบอกที่อยู่ของเขาไป พวกเขาตกลงกันว่าจะเจอกันในตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้ ครั้งนี้ มันจะเป็นครั้งแรกที่เขาไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน
หวังเย้าสงสัยว่าโรคแบบไหนกันที่เด็กชายต้องป่วยแบบนี้
วันต่อมา หลังจากที่หวังเย้าได้ทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองเรียบร้อยหมดแล้ว เขาก็ได้บอกครอบครัวของเขาและขับรถเข้าไปในเมือง โจวฉงและลูกชายของเขาได้เลือกโรงแรมเฉิงฮวาเพื่อพบกับหวังเย้า ซึ่งเป็นโรงแรมที่หวังเย้าเคยแล้วหลายครั้ง
เมื่อหวังเย้ามาถึง โจวฉงก็มารอที่ด้านนอกแล้ว ในห้องห้องหนึ่งของโรงแรม หวังเย้าได้พบกับลูกชายของโจวฉง เขาเป็นเด็กที่ร่างกายซูบผอมและอายุประมาณเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้น ร่างกายของเขานั้นผอมแห้ง ใบหน้าซูบตอบและดวงตาที่ไร้แวว
“คัง สวัสดีคุณหวังสิ”
“สวัสดีครับคุณหวัง” เสียงของเด็กชายนั้นทั้งเบาและไร้ชีวิตชีวา
ถึงแม้ว่าหวังเย้าจะยังไม่ได้เรียนการวินิจฉัยด้วยการมอง เขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าสภาพร่างกายของเด็กชายในตอนนี้อ่อนแอเป็นอย่างมาก เสียงพูดของเด็กชายนั้นดูอ่อนแรงไร้กำลังและความสดชื่น เขาฟังเสียงการหายใจของเด็ก เขาหายใจยาวและเร็ว มันเป็นการส่งสัญญาณว่าปอดทำงานไม่ปกติ เขายังสังเกตุได้ว่าลมหายใจของเด็กนั้นมีความเป็นกรดอยู่ด้วย เป็รแสดงให้เห็นว่าท้องและลำไส้ของเขาทำงานได้ไม่ดีและมีอาการอาหารไม่ย่อย
ถึงแม้ว่าภายในห้องของโรงแรมนั้นจะเปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่นเอาไว้ และภายในห้องก็อุ่นดี แต่เด็กคนนี้กลับใส่เสื้อคลุมตัวหนาและถุงมือเอาไว้ มันเห็นได้ชัดว่าเขานั้นหวาดกลัวความหนาว
“ลูกชายของคุณเขาป่วยเป็นอะไร?” หวังเย้าหันไปถามโจวฉง
โจวฉงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขาเดินไปที่เด็กชาย แล้วค่อยๆดึงถุงมือออกและแสดงมือซ้ายที่อยู่ในถุงมือให้หวังเย้าดู มันแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ราวกับกิ่งไม้แห้งหรือเท้าของไก่ มันดูคล้ายกับผืนที่ที่แห้งแตกเป็นลายและไม่มีชีวิต จากนั้นโจวฉงก็ถอดเสื้อคลุมของเด็กชายออกและพับแขนเสื้อขึ้น แขนซ้ายของเด็กชายนั้นก็เหี่ยวและแห้งเช่นเดียวกับมือของเขา
อะไรกัน?
หวังเย้าไม่เคยเห็นอาการป่วยแบบนี้มาก่อน มันเป็นโรคที่ไม่เคยยินมาก่อนเลย
‘ภารกิจ : ได้รับการจดจำจากคนไข้หรือสมาชิกในครอบครัวของคนไข้ 100คน ภายใน 100วัน ห้ามซ้ำ
รางวัล : คะแนนทักษะหนึ่งคะแนน สูตรยาหนึ่งสูตร และเมล็ดพันธ์สมุนไพรหนึ่งถุง
บทลงโทษ : ลดค่าสถานะสามอย่างเหลือครึ่งเดียวแบบสุ่ม’
ในตอนนั้นเองเขาก็ได้รับภารกิจจากระบบ
หนึ่งร้อยวัน ได้รับการจดจำจากคนหนึ่งร้อยคน
นี้ไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายเลย ถึงแม้จะรวมสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังต้องไปเจอกับผู้ป่วยอีกหลายรายอยู่ดี โชคดีที่ในครั้งนี้ ระบบไม่ได้ห้ามให้เขาไปเยี่ยมคนไข้ที่บ้าน
“หมอหวัง คุณจะดูไหมครับ?” โจวฉงถามเมื่อเห็นว่าหวังเย้าไม่พูดอะไรออกมาและเอาแต่จ้องไปที่แขนของลูกชายของเขา
“ให้ผมได้จับชีพจรของเขาดูก่อน”
หวังเย้านั่งลงและจับชีพจรของเด็กชายโดยการวางนิ้วมือลงบนแขนเล็กๆของเขา เด็กๆในวัยนี้ตามปกติพวกเขาควรที่จะเต็มไปด้วยพลังงานที่เหลือล้นและมันสามารถแสดงให้รู้ผ่านชีพจรได้เช่นกัน แต่ว่า ชีพจรของเด็กชายคนนี้กลับตรงกันข้าม มันอ่อนแรงมาก มันมีสัญญาณบอกถึงอวัยวะที่ทำงานล้มเหลวและสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ได้รับรู้จากการจับชีพจรก็คือ แขนของเด็กคนนี้ราวกับว่ามันไม่มีอยู่ เมื่อได้จับมัน ก็รู้สึกได้ว่าแขนข้างนี้นั้นเย็นกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายคนเรา
“เขาเริ่มป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สามปีก่อนครับ”
สามปีก่อน? หวังเย้าขมวดคิ้ว เขาแตะไปที่แขนซ้ายนั้นอย่างเบามือ
“เธอรู้สึกอะไรบ้างไหม?”
“ครับ”
“มันเจ็บไหม?”
“ไม่ครับ”
ยังดีที่มันยังมีความรู้สึกอยู่ เมื่อได้ตรวจดูอาการแล้ว หวังเย้าก็พอที่จะเข้าใจอาการป่วยของเด็กชายแล้ว
ช่องทางการไหลเวียนของเลือดในแขนข้างซ้ายนั้นถูกปิดกั้นอยู่ กล้ามเนื้อของเขาฝ่อลีบและเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลเสียต่อผิวหนัง ในสามปีที่ผ่านมานั้น เพื่อที่จะรักษาอาการป่วยของเด็กชาย ทำให้เขาต้องเข้ารับการรักษาหลายสิบครั้งและรับยาหลากหลายแบบ การรักษาเหล่านี้อาจจะช่วยได้บ้าง แต่มันก็ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำร้ายลำไส้ของเด็ก เด็กวัยกำลังโตแบบนี้กลับมีอวัยวะภายในร่างกายที่อ่อนแอยิ่งกว่าผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วยซ้ำ และมันอาจจะสามารถทนรับผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาได้อีกไม่นานนัก ลำไส้ของเด็กคนนี้ก็ไม่อาจจะรับสารอาหารได้เทียบเท่ากับผู้ใหญ่คนหนึ่งเช่นกัน ด้วยปัจจัยเหล่านี้รวมเข้ากับอาการป่วยทำให้มันร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นวงจรของความทุกข์ทรมานแก่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง
นี้ไม่ใช่โรคที่จะรักษากันได้ง่ายๆเลย!
เมื่อมองไปที่เด็กชาย หวังเย้ารู้ว่าเขาจะต้องทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจของเขานั้น มันเกินกว่าเด็กในวัยนี้จะทนรับได้ ยังถือว่าโชคดีที่เด็กคนนี้ทนมาจนถึงทุกวันนี้ได้
“หมอหวัง อาการของลูกชายผมเป็นยังไงบ้าง?” โจวฉงถาม ความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการที่จะเร่งรัดหวังเย้า แต่ก็อดไม่ได้เมื่อเห็นว่าหวังเย้านั้นเงียบไปสักพักแล้ว
“ให้เวลาผมกลับไปคิดเกี่ยวเรื่องนี้ก่อน แล้วผมจะให้คำตอบคุณ” หวังเย้าตอบ
อาการป่วยของเด็กชายนั้นไม่ปกติเลยโดยเฉพาะแขนซ้ายของเขา มันไม่ใช่อาการของโรคเพียงชนิดเดียว การรักษาแบบไหนและใช้ตัวยาอะไรนั้น หวังเย้าจำเป็นที่จะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เขาต้องการกลับไปที่บ้านเพื่อไตร่ตรองให้ดีก่อน เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันทีเพราะมันเสี่ยงเกินไป
นี้เป็นผลแล็บ ผลการวินิจฉัยโรค และบันทึกผลการรักษาของลูกชายผมครับ”
หวังเย้ามองไปที่เอกสารเหล่านั้น มันเป็นเอกสารสำเนา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโจวฉงได้เตรียมเอาไว้อย่างรอบคอบ
“ผมสามารถเอากลับไปเพื่อศึกษาข้อมูลในนี้ก่อนได้ไหมครับ?”
“ได้แน่นอนครับ” โจวฉงตอบ
“โอเค”
หลังจากที่ได้ดูอาการแล้วหวังเย้าก็ไม่ได้อยู่ต่อ เขาพูดเพียงไม่กี่คำกับเด็กชายที่ชื่อว่าโจวหวูคัง และออกจากโรงแรมเพื่อกลับไปที่หมู่บ้าน
เขากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานและเริ่มศึกษาข้อมูลอาการป่วยของเด็กชายจนกระทั่งมืดค่ำ
“ค่ำแล้วเหรอเนี้ย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!” เขาพูดเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
เขากลับไปที่บ้านเพื่อทานมื้อค่ำ ในขณะกำลังเดินลงจากเขาและกำลังทานข้าวนั้น เขาก็ยังคงคิดเกี่ยวกับอาการป่วยของเด็กชายอยู่ตลอด
ตอนกลางคืนภายในกระท่อม เขาได้อ่านข้อมูลการรักษาที่ผ่านมาและผลแล็บของเด็กชาย แล้วยังเขียนบันทึกของตัวเองแยกไว้ด้วย
วันต่อมา นอกจากการทำงานในแปลงสมุนไพรและฝึกพลังฉีแล้ว หวังเย้าก็ได้ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการวิเคราะห์อาการป่วยของเด็กชาย เป็นเวลาสองวันติดต่อกัน
ในที่สุด เขาก็ได้ร่างแผนการรักษาออกมา ขั้นแรก รักษาอาการของโรคแล้วค่อยรักษาต้นกำเนิดของโรค อันดับแรกต้องทำให้เด็กชายมีพละกำลังกลับคืนมาก่อน แล้วจึงรักษาระบบย่อยอาหารและอวัยวะอื่นๆ ต่อมาค่อยให้ความสนใจไปที่แขนที่ถูกปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดและรักษาได้ยากที่สุด นี้คือแผนการรักษาของเขา หลังจากที่ได้อ่านข้อมูลการรักษาและการคิดพิจารณาในหลายวันนี้ของเขา
“โอเค ทำตามนี้แล้วกัน”