เล่ม 1 ตอนที่ 7.1 หญิงสาวที่ต่อต้านไม่ได้ [1] (ฟรี)
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
เมื่อเดินทางกลับมาถึงอาซาน เหล่าไนท์ต่างพากันแยกย้ายกลับไปพักผ่อน มอร์เดร็ดพาริชาร์ดเข้าไปยังปราสาทแบล็คโรสและจัดให้เขาพักอยู่ในห้องรับรองแขกชั่วคราวซึ่งถูกสร้างไว้นอกตัวปราสาท สาวใช้วัยรุ่นสองคนจัดเตรียมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม และน้ำอุ่นสบายไว้ในอ่างเพื่อให้ริชาร์ดได้ชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ มาร์ควิสกาตอนสั่งให้คนเตรียมอาหารมื้อดึกไว้ต้อนรับการมาถึงของริชาร์ด ดังนั้นก่อนที่จะได้พบหน้าพ่อ ริชาร์ดจึงใช้เวลาไปกับการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนรอเวลา
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ริชาร์ดก็เอนกายลงบนเตียง นอนรอเวลาที่ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัด แม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่จิตใจของริชาร์ดกลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่น เขาไม่สามารถหยุดยั้งความคิดวุ่นวายของตัวเองได้เลย และเป็นเพราะการช่วยเหลืออย่างดีของสาวใช้ทั้งสองในขณะที่อาบน้ำ จึงทำให้เขาแทบไม่ต้องขยับร่างกาย แม้ว่าเขาจะพยายามปฏิเสธการช่วยเหลือนั้น แต่พวกนางก็ยังคงลงมือจัดการหน้าที่ของพวกนางต่อไปไม่หยุด ร่างกายที่ดูเหมือนจะอ่อนแอและบอบบางของพวกนางกลับมีพละกำลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งบางทีอาจจะมากกว่ากว่าหัวหน้าหมู่บ้านรูสแลนด์ด้วย นั่นทำให้ริชาร์ดไม่สามารถต้านทานแรงของพวกนางได้ จึงได้แต่ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองจัดการทำความสะอาดเนื้อตัวของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พวกนางขัดถูจนสะอาดตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงกกหู
ห้องพักสำหรับแขกของผู้มาเยือนที่ริชาร์ดอยู่ไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ แต่ก็กว้างขวางใหญ่โต เพดานห้องสูงกว่า 5 เมตร บนกำแพงมีช่องหน้าต่างแคบๆสูง 3 เมตร เป็นช่องทางให้แสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา กำแพงของห้องทำจากศิลาสีดำก้อนใหญ่เรียงซ้อนกันโดยไม่ผ่านการขัดเงาเพื่อคงรูปลักษณ์เดิมเอาไว้ มันจึงขรุขระ เป็นสีดำทึบและด้าน บนผนังขรุขระนั้นประดับด้วยพรม ดาบ และโล่ พรมประดับผนังมีสีแดงเข้ม แต่ริชาร์ดกลับมองว่าสีแดงของมันคล้ายกับสีแดงของโลหิตสดๆมากกว่า กำแพงสีดำทำให้ภายในห้องค่อนข้างมืด หากไม่มีแสงจากไฟคบเพลิงภายในห้อง แม้แต่ตอนเที่ยงวันก็ยังมองเห็นได้เลือนลาง ขณะที่ริชาร์ดเอนกายนอนอยู่บนเตียง เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าน่าหวาดกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากพื้นห้อง กำแพงและทุกซอกทุกมุมภายในห้องนี้
ริชาร์ดหน้าแดงซ่าน เขายังคงรู้สึกถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในเลือด นั่นเพราะการสัมผัสแตะต้องจากสาวใช้ทั้งสอง และในตอนนั้นริชาร์ดก็เห็นพวกนางก็แอบยิ้มขำๆ เด็กฉลาดอย่างเขาจึงเข้าใจในทันทีว่าทั้งสองสาวจงใจให้เป็นแบบนี้
ความหนาวเหน็บและไฟร้อนที่หลอมรวมเข้าด้วยกันทำให้หัวสมองของริชาร์ดสับสนวุ่นวาย ตั้งแต่ออกมาจากหมู่บ้านรูสแลนด์ ไม่สิ! ตั้งแต่เริ่มพิธีเอนไลท์เทนเมนท์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนเขากำลังฝันไปราวกับโลกทั้งใบในตอนนี้ไม่มีอยู่จริง ในขณะที่ริชาร์ดกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเสียงเคาะประตูก็ดังแทรกขึ้น บัดนี้เวลาแห่งมื้อค่ำมาถึงแล้ว
คนรับใช้ผู้หนึ่งนำทางริชาร์ดไปยังห้องอาหารภายในปราสาท จากห้องรับรองแขกที่เขาพักอยู่ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการเดินทางให้ถึงห้องอาหาร แม้แต่ในตอนนี้สาวใช้ทั้งสองก็ยังคงเดินตามมาดูแลเขาไม่ห่าง ความประทับใจแรกของริชาร์ดเมื่อก้าวเข้ามาในปราสาทแบล็คโรสคือ ความกว้างขวางใหญ่โตที่ใหญ่จนทำให้แสงสว่างไม่สามารถส่องไปให้ทั่วถึงทุกมุมได้ ถึงแม้ว่าตามแนวทางเดินยาวและคดเคี้ยวที่เขาเดินผ่านจะเต็มไปด้วยคบเพลิงมากมายถูกจุดไว้เพื่อให้แสงสว่าง แต่มันกลับไม่สามารถทำให้บริเวณที่เป็นซอกมุมสว่างขึ้นมาได้เลย ตรงกันข้าม เงาจากแสงกลับตอกย้ำความมืดสลัวให้ชัดเจนมากขึ้น
แม้แต่ส่วนใจกลางของปราสาทที่ถูกออกแบบให้เป็นสวนหย่อมกลางแจ้ง ซึ่งริชาร์ดเดินผ่านมา ก็ยังคงกลิ่นอายแห่งความมืดมน เงาของกิ่งไม้จากพืชพันธุ์ต่างๆที่ขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่นบดบังแสงสว่างจากท้องฟ้า และบดบังสายตาจากสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอก บรรยากาศแบบนี้สร้างความตึงเครียดให้กับผู้คนได้ไม่น้อย
ความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่ริชาร์ดสัมผัสได้ ก็คือ ‘กลิ่น’ ภายในปราสาทแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นจางๆของบางอย่างแผ่กระจายไปทั่วทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินด้านหน้าที่เขาก้าวไปถึงหรือทางที่เขาเดินผ่านมาแล้วทางด้านหลัง กลิ่นจางๆนั้นก็ยังคงติดตามเขาไปทุกย่างก้าว จนทำให้ริชาร์ดรู้สึกถึงความอึดอัดและไม่สบายตัวที่ก่อตัวขึ้นในส่วนลึกภายในจิตใจ เป็นความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะอธิบายได้
ห้องอาหารไม่ใช่ส่วนที่ใหญ่โตที่สุดภายในปราสาทแบล็คโรส แต่ทว่ารูปแบบการตกแต่งห้อง และการจัดวางเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เป็นแบบที่ดยุกระดับสูงใช้กัน ภายในห้องเป็นโถงกว้างที่มีเพดานสูงกว่า 50 เมตร และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมืดมน แม้ว่าบนฝาผนังจะมีคบเพลิงจุดให้แสงสว่าง แต่แสงจากเปลวไฟก็ไม่เพียงพอที่จะสาดส่องให้เห็นภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนังได้ โต๊ะทานอาหารมีขนาดความยาว 20 เมตร
ในที่สุดริชาร์ดที่อยู่ในเครื่องแต่งกายของเด็กชายผู้สูงศักดิ์ก็ถูกพามาถึงยังโต๊ะอาหาร เขาถูกจัดให้นั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวหนึ่งที่ตำแหน่งหนึ่งของโต๊ะอาหาร คนรับใช้ประมาณสามสิบคนก็เริ่มทยอยเข้ามาเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ ริชาร์ดมองสำรวจไปรอบๆ พร้อมกับลอบสังเกตพ่อของตัวเองที่นั่งอยู่ห่างออกไปเป็นพักๆ
เขาเป็นผู้ชายมีเสน่ห์ที่ดูลึกลับ มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ ผมเส้นหนาถูกหวีจัดทรงเป็นอย่างดี และเรียงตัวเป็นระเบียบทุกเส้น บนใบหน้าแทบไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกถึงอายุของเขา มีเพียงหางตาที่มีริ้วรอยปรากฎขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวเข้มลึกล้ำและดูบริสุทธิ์ ทว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตานั้นกลับให้ความรู้สึกที่ว่างเปล่าและมืดมิด
มาร์ควิสกาตอนไม่ได้นั่งในตำแหน่งของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในโต๊ะอาหารตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เลือกที่นั่งตามอัธยาศัยพร้อมกับลงมือหั่นซี่โครงแกะในจานด้วยท่าทีสบายๆ เขาจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับจิบไวน์แดงไปพลาง การรับประทานอาหารของเขาเรียบร้อยหมดจดและดูสูงส่ง แตกต่างจากคนทั่วไป แม้แต่ผู้สอนเกี่ยวกับวิชามารยาทที่จู้จี้จุกจิกที่สุดก็ไม่สามารถหาข้อติเตียนกิริยาของเขาได้ แม้จะกินอาหารในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว แต่ท่วงท่าในการรับประทานอาหารของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความสง่างาม ริชาร์ดพบว่าเขาสามารถจัดการซี่โครงแกะหลายกิโลให้หมดไปได้ในไม่กี่นาที
ริชาร์ดเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความสง่างามและมีเสน่ห์ แม้ว่าในใจของเขาตอนนี้จะอยากขว้างจานสีเงินในมือใส่หน้าคนๆนั้นเป็นอย่างมากก็ตาม
และหลังจากนี้ไม่นานนักริชาร์ดจะได้เข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นว่า มีคนจำนวนมากที่อยากจะเขวี้ยงอะไรก็ตามใส่หน้ามาร์ควิสกาตอนเช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในตอนนี้ริชาร์ดก็ต้องยอมข่มความแค้นเคืองเอาไว้ ไม่ใช่เป็นเพราะตัวเขาเองแต่เป็นเพราะแม่ของเขา จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจความปรารถนาของแม่ที่เคยบอกกับเขา แต่ความตั้งใจ ความอดทนและสติปัญญาทำให้เขารู้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่แม่บอกอย่างแน่นอน
อาหารมากมายที่อยู่ตรงหน้าริชาร์ดทั้งหลากหลายและดูน่าอร่อย ชื่อเสียงของห้องครัวขนาดใหญ่ในปราสาทแบล็คโรสเป็นที่กล่าวขานกันว่ามีพ่อครัวปรุงเนื้อและพ่อครัวทำขนมที่ดีที่สุดในพื้นที่ครึ่งหนึ่งของหมู่เกาะฝั่งนี้ ทว่าริชาร์ดกลับไม่รับรู้ถึงรสชาติใดๆที่เข้าไปอยู่ในปากตัวเองเลย เขาพยายามนั่งหลังตรง ท่าทางการรับประทานอาหารของเขาดูทุลักทุเล เขาไม่เคยต้องฝึกมารยาททางสังคมมาก่อน การใช้มีดและส้อมของเขาดูออกได้ในทันทีว่ามาจากชนบท เขาไม่เคยรู้ว่ากฎในการรับประทานอาหารจะมีมากมายเช่นนี้
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นริชาร์ดก็ดูสง่างามขึ้นมาก หลังจากที่ได้สวมใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่ถูกจัดหามาให้ อารมณ์ที่ลึกลับของเขาไม่ได้แตกต่างจากกาตอนเท่าไหร่นัก สาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ภายในห้องอาหารต่างก็แอบชำเลืองมองหนุ่มน้อยริชาร์ดอยู่บ่อยครั้ง พวกนางแอบกระซิบกันอย่างลับๆ ว่าอีกเพียงปีสองปี เขาก็คงจะกลายเป็นพ่อหนุ่มรูปงามพราวเสน่ห์อย่างแน่นอน
หลังจากจัดการซี่โครงแกะไปกว่า 20 กิโลด้วยท่าทางสง่างามและสุขุม มาร์ควิสกาตอนก็นำผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดซับที่มุมปากพร้อมกับส่งยิ้มให้ริชาร์ด ริมฝีปากที่แย้มออกนั้นเผยให้เห็นฟันขาวเป็นประกายดูสุขภาพดี
“เจ้าคือริชาร์ด?”
ริชาร์ดพยักหน้ารับแต่ไม่ได้ตอบกลับไป เขารู้ว่าคำถามที่ออกมาจากปากของกาตอนไม่ได้ต้องการคำตอบใดใด
กาตอนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าโชคดีมากนะเพราะเจ้ามีนามสกุลอาเครอน แต่เจ้าก็โชคไม่ดีที่ได้นามสกุลอาเครอนเช่นกัน”
ริชาร์ดเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองจ้องไปที่มาร์ควิสกาตอนและกล่าวเสียงนิ่งว่า “ข้าชื่อริชาร์ด”
ดวงตาของกาตอนเปล่งประกายวิบวับ เพราะไม่มีใครสามารถสู้สายตาของเขาได้ ทว่าริชาร์ดกลับเงยหน้าจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา
กาตอนยิ้มก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “นิสัยเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิดเลยนะ แล้วนางเคยบอกไหมว่าเจ้าชื่อ ริชาร์ด ราโกบาร์ ?” แม้ว่าจะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงที่สื่อออกมากลับเป็นเพียงประโยคบอกเล่า
ริชาร์ดลังเลอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตอบออกไป “ไม่เคย” ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจความคิดของแม่บ้างแล้ว
“ดังนั้นเจ้าก็ยังนามสกุลอาเครอน ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม” กาตอนกล่าว เมื่อเห็นว่าการรับประทานอาหารจานหลักเสร็จสิ้นแล้ว มาร์ควิสกาตอนก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น สาวใช้สิบกว่าคนเดินเข้ามาเก็บจานอาหารบนโต๊ะออกไปแล้วนำเมนูของหวานจำนวน 7 เมนูมาวางไว้แทนที่
มาร์ควิสกาตอนกินของหวานด้วยท่าทางที่สง่างามแต่ก็รวดเร็วอย่างมากเช่นเดิม ในระหว่างนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ขอพูดนอกเรื่องหน่อยก็แล้วกัน พวกขุนนางชั้นสูงที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ยังไม่สามารถหาข้อบกพร่องจากท่าทางของข้าได้ กลุ่มขุนนางเก่าแก่พวกนั้นคิดว่าข้าเป็นแค่เศรษฐีธรรมดา แต่มีอีกคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่พวกเราเรียกเขาว่าฟิลลิปส์ผู้กระหายเลือด สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือเนื้อมอนสเตอร์สดๆ อีกทั้งเขาก็ยังต้องการเนื้อที่ถูกแล่มาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหรือหากเป็นสายพันธุ์หายากก็จะยอมให้เก็บไว้ได้ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ชอบที่จะใช้มือเปล่าของเขาฉีกชิ้นเนื้อเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่น่าขำที่ขุนนางชั้นสูงพวกนั้นต่างก็ยอมรับกันว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่แท้จริงของเหล่าชนชั้นสูงที่ต้องปฎิบัติตาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ?”
ริชาร์ดส่ายหน้าเพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกของเหล่าชนชั้นสูง สิ่งที่เขารู้มาเพียงเล็กน้อยก็ได้มาจากสิ่งที่มอร์เดร็ดบอกเขาก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าไนท์ผู้นี้ช่างไม่เหมาะกับการเป็นอาจารย์เสียเลย
“เป็นเพราะฟิลลิปส์ผู้กระหายเลือดผู้นี้เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์น่ะสิ!กำลังรบในมือของเขามีความแข็งแกร่งที่สุดแล้ว ความเจ้าอารมณ์และโมโหร้ายของเขาทำให้ไม่มีใครในกลุ่มขุนนางชั้นสูงเก่าแก่พวกนั้นอยากทำให้เขาขุ่นเคือง ถึงอย่างนั้นคนพวกนั้นก็ได้ประโยชน์อยู่ไม่น้อย และเพราะผลประโยชน์ที่ล่อตาล่อใจพวกนั้น ถึงไม่มีใครปฎิเสธเลยสักคน”
ริชาร์ดพยักหน้ารับ บอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่กาตอนอธิบายให้ฟัง
“ดังนั้น เจ้าที่มีนามสกุลอาเครอนดูเหมือนว่าจะไม่ได้โชคดี เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ต้องมีพลังมากขึ้น!เมื่อมีพลังแล้วโลกสำหรับเจ้าก็คือสวรรค์ แต่หากไม่มีพละกำลังจะทำให้มันกลายเป็นนรก ในตอนนั้นไม่ต้องนึกถึงว่าเจ้าเติบโตในชนบทหรือเกิดมาจากปราสาทเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่ต้องทำท่าทางเหมือนกับข้าในตอนนี้ สิ่งเหล่านี้มันก็แค่ภาพลวงตาทั้งนั้น สำหรับเจ้าในตอนนี้คงจะยังไม่มีความหมายอะไร เจ้าเพียงแค่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพราะเจ้านามสกุลอาเครอน เลือดเนื้อของเจ้ามาจากอาเครอน !หากมีนามสกุลนี้อยู่ผู้คนก็จะมุ่งหวังมาที่ตัวเจ้า เพราะสูงส่งเกินกว่าจะมีใครเทียบเทียมได้ หากเจ้าเพียงแค่ ‘แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาแค่เล็กน้อย’ มันก็อาจจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นผิดหวังได้!!” น้ำเสียงของกาตอนดังขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป มันโหดเหี้ยมข่มขู่ และดังราวกับเสียงฟ้าร้องที่ก้องอยู่ภายในหูจนทำให้ริชาร์ดเกิดอาหารหน้ามืดวิงเวียนศีรษะขึ้นมา
ริชาร์ดกำมีดและส้อมในมือแน่น จนอาหารที่ถูกเขาใช้ปลายส้อมจิ้มขึ้นมาก่อนหน้านี้ร่วงหล่นกลับไปในจานอย่างไร้มารยาท เขาจ้องมองคนตรงหน้าที่ยังคงมีท่าทางสง่างามเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบเทียบได้ และดูไม่เหมือนกับชายที่ตะโกนใส่หูของเขาเมื่อสักครู่
กาตอนเก็บน้ำเสียงน่ากลัวที่ดังเหมือนเสียงฟ้าร้อง พร้อมกับเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ออกมาอีกครั้งและพูดต่อไปว่า “ขอเพียงแค่มีพลังอำนาจที่มากเพียงพอ เจ้าอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีความหมายหรือเป็นเรื่องที่ไร้สาระก็ตาม” กาตอนกล่าวพลางเรียกสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา เขาใช้มือของตัวเองจับไปที่หน้าอกของหญิงสาวผู้นั้นอย่างรุนแรง บีบขยำ และฉีกกระชากเสื้อของนางจนขาดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นอกเปลือย หญิงสาวผู้นั้นตัวสั่นเทา นางกำลังจะเปล่งเสียงร้องออกมา แต่กลับเลือกที่จะเงียบพร้อมกับวางแขนทั้งสองข้างไว้ข้างลำตัวนิ่งๆ โดยที่ไม่ได้เอามือขึ้นมาปกปิดส่วนที่เปลือยเปล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เหล่าชายรับใช้ ผู้ดูแลความเรียบร้อย เหล่าไนท์จำนวน 10 นาย ต่างก็ยืนพิงฝาผนังอย่างสงบเงี่ยมเสมือนเป็นเพียงรูปปั้น มอร์เดร็ดที่พาเขาเดินทางมากจากรูสแลนด์ก็คือหนึ่งในนั้น และในเวลานี้เหล่ารูปปั้นก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมา แน่นอนว่าพวกเขายังคงยืนอยู่ในท่าทางเช่นเดิมแต่สายตากลับจับจ้องไปที่ร่างเปลือยของสาวรับใช้ผู้นั้น รูปร่างของนางไม่ได้จัดว่าสวยงามนัก แต่ความสาวของนางก็ดูเปี่ยมไปด้วยพลังและเป็นสิ่งล่อตาล่อใจไม่น้อย
ริชาร์ดแทบอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ฉากเหตุการณ์ที่เขาพึ่งจะได้เห็นค่อนข้างจะรุนแรงมากเกินไปสำหรับเด็กที่เพิ่งจะอายุ 10 ขวบอย่างเขา เขากำมีดและส้อมในมือแน่น ไม่ยอมให้พวกมันร่วงหล่นลงไปบนจาน
กาตอนสะบัดมือครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้สาวใช้ผู้นั้นหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะสวมใส่มัน นางยังคงรักษาท่าทางสงบอยู่อย่างนั้นพร้อมกับถอนสายบัวทำความเคารพ หลังจากนั้นจึงเดินถอยหลังออกจากห้องอาหารไป เมื่อไปถึงทางเดินด้านนอกหล่อนจึงหมุนตัวกลับ เพราะนางหวั่นเกรงว่าหากวิ่งออกไปอย่างไร้มารยาทอาจจะทำให้เกิดเรื่องน่าเศร้าสำหรับตัวนางเองมากกว่านี้ได้ เมื่อสาวใช้ออกไปแล้วเสียงของกาตอนก็ดังขึ้นมาว่า “ริชาร์ด อันที่จริงข้าอยากจะจับคนมาฆ่าให้เจ้าดูมากกว่า แต่ช่วงก่อนหน้านี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยจะดี จึงฆ่าคนพวกนั้นตายไปหมดแล้ว ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีพวกขุนนางจำนวนไม่น้อยนะ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้”
ใบหน้าของริชาร์ดซีดเผือด ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงกล้าพูดเรื่องการฆ่าคนออกมาได้อย่างสบายใจแบบนี้กัน? แต่ทุกคนภายในห้องอาหารแห่งนี้ ตั้งแต่คนรับใช้ไปจนถึงพวกไนท์ต่างก็มีสีหน้าท่าทางปกติไม่แสดงอาการหวาดกลัวใดใด ราวกับว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นแค่เรื่องในชีวิตประจำวันธรรมดา ถึงตอนนี้ริชาร์ดก็เริ่มที่จะรู้แล้วว่ากลิ่นเบาบางที่ล่องลอยอยู่ภายในปราสาทเก่าแก่แห่งนี้ น่าจะเป็นกลิ่นเลือดที่ถูกสะสมมาเป็นเวลานาน
เมื่อของหวานบนโต๊ะอาหารถูกจัดการจนหมดแล้ว ริชาร์ดก็ยังคงได้กลิ่นบางเบาเหล่านั้นอยู่ และเขายิ่งได้กลิ่นชัดเจนขึ้นเมื่อเริ่มตระหนักได้ว่าเป็นกลิ่นของอะไร ความรู้สึกสะอิดสะเอียนเริ่มทำให้ริชาร์ดอยากอาเจียน เขาได้แต่พยายามข่มใจไม่ให้สำรอกอาหารที่ทานลงไปออกมาซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ริชาร์ดรู้สึกว่ากลิ่นเลือดเหล่านั้นยังคงชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆและวนเวียนอยู่ตรงจมูกของเขาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อครู่ริชาร์ดทานอาหารเข้าไปไม่น้อยเพราะวัยของเขาเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการสารอาหารไปใช้ในการเจริญเติบโต เด็กที่อยู่บนเขาต่างก็กินอาหารในปริมาณมากจนเป็นเรื่องปกติ กาตอนมองดูอย่างพึงพอใจ แล้วพูดกับเขาว่า “กินเยอะๆจะได้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ริชาร์ด แม่ของเจ้าตั้งความหวังไว้กับเจ้ามากใช่หรือไม่?”
ริชาร์ดมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่เขายังคงเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเลือกที่จะไม่บอกความต้องการของแม่ให้กับกาตอนได้รับรู้จนกว่าจะถึงเวลานั้น
กาตอนเองก็ไม่ได้คะยั้นคะยอริชาร์ดให้ตอบคำถามของเขา เข้าพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อยว่า “ไม่ว่าแม่ของเจ้าจะปรารถนาสิ่งใด แต่ดูเหมือนมันคงจะไม่ง่าย ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้และก็ไม่สามารถที่จะให้พลังอำนาจกับเจ้าได้เช่นกัน แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้า ให้เจ้ามีโอกาสฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นจนสามารถเดินทางไปได้ยาวไกล ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว ข้าหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะมายืนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นต่อหน้าข้า”
ริชาร์ดพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
กาตอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะหาอาจารย์ให้กับเจ้า หลังจากนี้เจ้าจะต้องไปเรียนรู้กับนางที่นั่น หวังว่าครั้งหน้าที่เจ้ากลับมาเจอข้าจะสามารถทำให้ข้าแปลกใจได้ นี่ไม่ได้ทำเพื่อข้า แต่ทุกอย่างมันดีต่อตัวเจ้าและเพื่อแม่ของเจ้า เอาล่ะ นี่คือทั้งหมดสำหรับค่ำคืนนี้ ตอนนี้เจ้าไปพบพี่น้องที่น่าสนใจของเจ้าได้แล้ว มันเป็นสิ่งจำเป็นและมีความหมายมาก”
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**