ตอนที่ 22 อัจฉริยะภาพในเชิงยุทธ์
ตอนที่ 22 อัจฉริยะภาพในเชิงยุทธ์
แปล Tarhai
หลังจากออกจากห้องโถงฟ้ากระจ่าง จี้เทียนซิงก็เดินออกจากวังวิญญาณเพลิงผ่านลมหนาวยามค่ำคืนและก้าวเท้าขึ้นรถม้าไป
แม้จะไร้ซึ่งคำสั่งของมัน แต่ลุงเล่ยผู้เป็นสารถีย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าคุณชายใหญ่คิดจะกลับบ้านสกุลจี้แล้ว
จี้เทียนซิงที่นั่งอยู่ในรถม้าหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาและพันรอบบาดแผลที่น่อง มันขมวดคิ้วและขบคิดถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมา
ในช่วงเวลาสั้นๆรถม้าก็วิ่งเข้าไปในเส้นทางที่มืดมิด
ถึงแม้ว่าเส้นทางนี้จะค่อนข้างห่างไกลผู้คนและมีเพียงไม่กี่ครอบครัวในบริเวณใกล้เคียง แต่นี่เป็นเส้นทางเดียวที่จะกลับไปยังบ้านสกุลจี้จากวังวิญญาณเพลิงได้เร็วที่สุด
ถนนถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทั้งสองข้างทาง มันดูมืดมิดและหดหู่มากในยามราตรี
รถม้ายังคงวิ่งต่อไปและรัตติกาลอันมืดมิดกลับได้ยินเพียงแค่เสียงเกือกม้าเท่านั้น
ทันใดนั้นเองเสียงหวีดแหลมก็ดังขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า
อึ่ก ….. !
ลุงเล่ยส่งเสียงคร่ำครวญ ร่างกายอันแก่ชรากลิ้งลงจากม้าและตกลงที่พื้น
จี้เทียนซิงตื่นตัวในทันที มันเลิกม่านกระโจนออกจากรถและรีบไปที่ด้านคนขับ มันได้เห็นว่าลุงเล่ยกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นและไร้ลมหายใจไปแล้ว
หน้าอกของเขามีลูกศรอันแหลมคมปักคาไว้อยู่ โลหิตหลั่งไหลออกมาจากรอยบาดแผลและชโลมเสื้อผ้าจนชุ่ม
ใบหน้าของจี้เทียนซิงกลายเป็นมืดมน ดวงตาของมันเปล่งประกายไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มรู้ดีว่ามือสังหารกำลังซุ่มรอโจมตีมันที่นี่ !
อย่างที่คาดไว้มิผิดเพี้ยน ถนนเบื้องหน้าอันมืดมิดเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าในทันควันและมีเงาร่างในชุดสีดำสองร่างกำลังวิ่งมา
จี้เทียนซิงทะยานเข้าไปในป่าข้างถนนและมุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงบ้านสกุลจี้โดยเร็วที่สุด
ชายหนุ่มโบกแขนไปมาวุ่นวายเพื่อปัดป่ายกิ่งไม้หนาทึบที่บดบังทัศนวิสัยเบื้องหน้า ด้านหลังของมันได้ยินเสียงฟุ่บฟุ่บฟุ่บของฝีเท้ารัวถี่ยิบ
ร่างที่แข็งแกร่งทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังนั้นวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วไร้ซึ่งความลังเลในการสังหาร
นักฆ่าผู้บ้าคลั่งสองคนจับดาบควงกระบี่ ส่องแสงระยิบระยับเป็นประกายเย็นชาในยามราตรี
จี้เทียนซิงวิ่งหนีอย่างไร้ความหวัง น่องขาซ้ายของมันเพิ่งได้รับบาดเจ็บและทำให้มิอาจเคลื่อนไหวได้เร็วกว่านี้อีกแล้ว
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ เงาร่างที่แข็งแกร่งทั้งสองก็ไล่ล่าตามมันมาติดๆและปะทุการโจมตีออกมา
“ฟุ่บ ! ฟุ่บ !”
คมกระบี่อันเยือกเย็นชี้ชูขึ้นสูงและฟาดฟันเข้าหาศีรษะของจี้เทียนซิง
ในช่วงเวลาคับขันเป็นตาย จี้เทียนซิงทำได้เพียงหยุดวิ่งและหันกลับไปรับการโจมตีจากนักฆ่าทั้งสองด้วยกระบี่มังกรโลหิตด้วยมือที่กุมแน่นไว้ทั้งสองข้าง
“เคร๊ง ! เคร๊ง !”
กระบี่ทั้งสามเล่มปะทะกันอย่างดุเดือดและไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขน
แรงกระแทกอันทรงพลังจากกระบี่ของนักฆ่าทั้งสอง ส่งผ่านมายังกระบี่มังกรโลหิตของชายหนุ่มทำให้มันอดไม่ได้ที่จะถอยรูดเป็นทางยาว
จี้เทียนซิงสามารถสรุปได้ทันทีหลังการประมือในยกแรกว่านักฆ่าทั้งสองเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตต้นกำเนิดแท้จริง
แน่นอนว่าเหตุผลที่ชายหนุ่มมั่นใจก็คือมันพบว่ากระบี่ของนักฆ่าทั้งสองถูกฉาบไว้ด้วยพลังต้นกำเนิดจางๆ
“เฮอะ ชนชั้นเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 1 กับ 2 ถึงขั้นต้องลดตัวลงมาลอบสังหารข้าพร้อมกัน ?”
“จะว่าไป ยังไม่แน่ว่าจะมีนักฆ่าซุ่มอยู่อีกหรือไม่ ข้าต้องระวังอย่างที่สุด !”
จี้เทียนซิงขบคิดและแอบเย้ยหยันพวกมันภายในใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
เขาแสร้งทำเป็นปลอดภัยจากนั้นก็รีบทะยานหนีต่อไป
นักฆ่าสวมหน้ากากหันไปพยักหน้าให้กัน จากนั้นก็วิ่งตามไป
อาจเป็นเพราะพวกมันมั่นใจในพลังฝีมือของตนเองสูงหรือไม่ก็กระสันจะฆ่าชายหนุ่ม แต่จี้เทียนซิงจำเป็นต้องออกจากสถานที่ระแวกนี้โดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนและพลังฝีมือ
นักฆ่าทั้ง 2 ใช้แต่กระบวนท่าในการสังหารโดยมิสนใจป้องกันเพราะมั่นใจว่าพวกมันมีพลังฝีมือสูงกว่าชายหนุ่ม แต่นั่นก็ทำให้พวกมันเผยจุดบกพร่องมากมาย
เมื่อเห็นจี้เทียนซิงเริ่มช้าลง พวกมันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคิดว่าย่อมสามารถสังหารชายหนุ่มได้แน่แล้ว แต่ในจังหวะนั้นเอง ชายหนุ่มกลับหันหน้ามาเผชิญหน้ากับพวกมันด้วยท่าทางเย้ยหยัน
"ตาย !"
จี้เทียนซิงคำรามเสียงต่ำและก้มตัวลงเบี่ยงร่างไปด้านข้างหลุดพ้นกระบวนท่าสังหารไปได้อย่างฉิวเฉียด
กระบี่ที่พวกมันใช้ออกมาเมื่อครู่นั้นวาดลงมาจากด้านบนลงที่ศีรษะของชายหนุ่มอย่างสุดแรง แต่ในวินาทีที่ชายหนุ่มหลบได้นั้นก็พูดได้ว่าพวกมันแพ้ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าอกและหน้าท้องของนักฆ่าทั้งสองก็เปิดเผยออกมาโดยไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ
นี่คือช่วงเวลาที่จี้เทียนซิงกำลังรอคอย !
โดยไร้ซึ่งการลังเล มันโยนกระบี่มังกรโลหิตทิ้งไปและยกฝ่ามือขึ้น ซัดฟาดออกไปที่หน้าอกของนักฆ่าทั้งสองในทันที
“เปรี้ยง ! เปรี้ยง !”
ฝ่ามือของชายหนุ่มกระทบเข้าใส่หน้าอกของนักฆ่าทั้งสอง
ปราณกระบี่ทองคำสองสายถูกยิงออกจากฝ่ามือของมัน เจาะทะลุหัวใจของนักฆ่าทั้งสองโดยไร้สิ่งกีดขวางใดๆ
นักฆ่าทั้งสองตื่นตระหนกในทันที การเคลื่อนไหวหยุดชะงักค้าง
ทั้งสองหันกลับมามองจี้เทียนซิงด้วยดวงตาที่เบิกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อและเปล่งเสียงแหลมต่ำ
"เจ้า ! เจ้าไม่ใช่.... "
“นี่เป็นไปได้อย่างไร !”
ดวงตาของทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความกลัวและความโกรธเกรี้ยว พวกมันไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่า พวกมันจะพ่ายให้กับขยะชนชั้นปรับแต่งกายาขั้นที่ 3
พวกมันรู้ว่าเทียนชีวิตกำลังจะมอดดับ ด้วยความไม่เต็มใจพวกมันใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเหวี่ยงกระบี่และแทงเล็งไปที่สมองของจี้เทียนซิง
อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงก้มเก็บกระบี่มังกรโลหิตและสะบัดกระบี่เรียบง่ายออกไปปัดกระบี่ของพวกมันอย่างง่ายดาย
นักฆ่าทั้งสองก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่องจนไปชนต้นไม้ใหญ่ โลหิตสีแดงสดยังคงไหลท่วมปากอย่างไม่หยุดยั้งจนทำให้หน้ากากสีดำของพวกมันเปียกโชก
พวกมันไม่สามารถพูดอะไรได้อีกและมีเพียงแค่เสียง “ค่อก” ในลำคอ จากนั้นก็ล้มลงอย่างรวดเร็ว
ภายในพริบตา ร่างของนักฆ่าทั้งสองก็ระทวยล้มลงบนพื้นหญ้าไร้ซึ่งการตอบสนองอีกต่อไป
จี้เทียนซิงใช้ปลายกระบี่เขี่ยหน้ากากของพวกมันออก และหลังจากได้เห็นใบหน้าของนักฆ่า ชายหนุ่มก็ยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีเย้ยหยัน
“เฮอะ ! หลิงหยุนเฟย เจ้ายังไม่คิดปล่อยข้า !”
จี้เทียนซิงจดจำใบหน้าของนักฆ่าได้ดี มันเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันที่มักติดตามหลิงหยุนเฟยไปไหนมาไหนเสมอ
ชายหนุ่มเป็นกังวลว่าอาจจะมีนักฆ่าอีกชุดอยู่แถวๆนี้ และมันก็ไม่กล้าที่จะรั้งอยู่นาน มันหันหลังและวิ่งหนีต่อไป
หลังจากวิ่งทะลุผ่านป่าทึบออกมา ชายหนุ่มก็มาถึงทางกลับเคหะสกุลจี้
หลังจากเดินไปต่ออีกครึ่งชั่วโมง จี้เทียนซิงก็กลับถึงสกุลจี้ได้โดยไม่มีอันตรายและไม่มีการซุ่มโจมตี
เมื่อกลับมาถึงห้อง เขาก็ขอให้ฮวนเอ๋อนำกล่องยามาให้และจัดการกับบาดแผลกระบี่บนน่องอย่างระมัดระวัง
หลังจากทำแผลสร็จเรียบร้อย จี้เทียนซิงก็บอกให้ฮวนเอ๋อกลับไปพักผ่อน จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องลับของตน
เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้มันตระหนักว่าศัตรูไม่อาจทนรอกำจัดฆ่ามันได้อีกแล้ว
ทุกวันนี้มันไม่เพียงแค่ไม่สามารถออกไปนอกเมืองได้ แม้กระทั่งในเมืองจักรวรรดิก็ยังไม่ปลอดภัย มันอาจจะถูกลอบสังหารได้ทุกเมื่อระหว่างทางกลับบ้าน
จี้เทียนซิงอดสงสัยไม่ได้ว่าศัตรูจะลอบส่งคนเข้ามาในตระกูลจี้เพื่อลอบสังหารมันหรือไม่ ?
ณ จุดนี้ ความปรารถนาในความแข็งแกร่งของชายหนุ่มก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี
“บ่มเพาะ ! ข้าต้องควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ของข้าให้ได้โดยเร็วที่สุดและกลับไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง !”
จี้เทียนซิงตั้งสมาธิเข้าสู่สถานการณ์บ่มเพาะในทันที โดยมุ่งเน้นไปที่วิถีดวงใจกระบี่
ราตรีพ้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น จี้เทียนซิงควบแน่นปราณกระบี่อีกสองเล่มและกักเก็บไว้ในร่างกาย
เขาฟื้นพลังของปราณกระบี่ทั้ง 12 สายดั่งเดิมแล้ว และอดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อชักนำพวกมันทั้งหมดไปรวมกันที่ตันเถียน
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นชัดเจนยิ่ง มันล้มเหลว...
ปราณกระบี่ทั้ง 12 สายถูกเก็บไว้ในชีพจรทั้ง 12 จุดในร่างกาย ซึ่งกระจายอยู่ด้านหลัง มือ แขน ไหล่และหน้าอกของเขา
แต่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชักนำปราณกระบี่เหล่านี้ไปไว้ที่ช่องท้องของจุดตันเถียน
เส้นชีพจรที่อ่อนแอจากการไร้ซึ่งตันเถียนของเขาไม่อาจทนทานได้ ทุกครั้งที่ชักนำพวกมันกลับทำให้พวกมันฉีกขาด
จี้เทียนซิงทำได้เพียงต้องหยุดบ่มเพาะ เขาค่อนข้างหดหู่จึงหงายหลังนอนในห้องลับฝึกฝน
เขานอนหลับตาและพยายามทบทวนกระบวนการทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้ล้มเหลวทุกครั้ง
ทำไมเขาควบแน่นปราณกระบี่ไว้ที่จุดชีพจรทั้ง 12 ครบแล้ว และพยายามมาหลายสิบครั้งกลับควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ไม่ได้ ?
หรือว่าการฝึกยุทธ์ครั้งนี้จะล้มเหลว ? หรือเขาบ่มเพาะผิดวิธี ?
จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม