ตอนที่ 19 เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่เล่า ?
ตอนที่ 19 เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่เล่า ?
แปล Tarhai
หวู่จางมีอายุ 19 ปี เขามีระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 8 และเป็นนายน้อยของตระกูลขุนนางชั้น 2
จี้เทียนซิงรู้จักเขามาก่อนและเคยเห็นหน้าชายผู้นี้บางครั้งคราว
แต่หวู่จางที่เป็นเพียงลูกหลานตระกูลขุนนางชั้น 2 ของเมืองจักรวรรดิและมีพรสวรรค์โดยกำเนิดสามัญธรรมดานั้นไม่มีอันใดให้จดจำ
คนผู้นี้ไม่เคยอยู่ในสายตาและสมองของจี้เทียนซิงมาก่อน ดังนั้นก่อนหน้านี้จี้เทียนซิงจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมันมากมายนักเพียงถามคำตอบคำ
แต่คืนนี้หวู่จางกลับต้องการให้เขาขายหน้าต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยง !
จี้เทียนซิงทะลึ่งกายขึ้นทันทีและเดินอย่างไร้อารมณ์ไปที่กลางห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็หันกลับมามองหวู่จาง
เขาไม่ได้เอ่ยปากแม้สักคำ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าจี้เทียนซิงคิดจะต่อสู้ !
พื้นที่กว้างตรงกลางห้องโถงใหญ่จัดเตรียมและสงวนไว้ให้เหล่ายอดฝีมือได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่าชี้แนะกัน
เหล่ารุ่นเยาว์มากพรสวรรค์เกือบร้อยคนเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ดูตื่นเต้นในทันที พวกเขาทุกคนจ้องมองไปที่จี้เทียนซิง และหัวเราะกระซิบกระซาบกันในความโชคร้ายของอีกฝ่าย
ทุกคนต่างรอให้เขาทำตัวเป็นขยะโง่งมกลางที่สาธารณะ พวกเขาอยากเห็นว่าจี้เทียนซิงจะโดนหวู่จางทุบตีจนน่วมและถูกโยนออกไปจากห้องโถงอย่างไร !
ภาพที่ออกมานั้นต้องยอดเยี่ยมเป็นแน่ !
จี้ห่าวไม่ได้สนใจการซุบซิบนินทาและไม่ได้คิดจะออกหน้าช่วยจี้เทียนซิงอีกด้วย เขาเพียงลดศีรษะลงและดื่มสุราอย่างเงียบเชียบ
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามุมปากของจี้ห่าวยกยิ้มขึ้นและแววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คนรอบๆ หวู่จางแสยะยิ้มและคำรามอย่างเย่อหยิ่ง
“ขยะเอ้ย เจ้าได้จมปฐพีแน่ !”
เขารีบเดินไปกลางลานกว้างห่างกับจี้เทียนซิงเพียงแค่ 5 ก้าว จากนั้นก็กระทืบพื้น ถีบตัวพุ่งออกไปพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเข้าใส่หัวใจของอีกฝ่าย
หวู่จางเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งกำยำและทรงพลัง หมัดที่พุ่งออกไปเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันรุนแรงและทำให้อากาศเกิดเสียงดัง
เขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ด้วยหมัดเดียวก็สามารถทุบตีจี้เทียนซิงจนหมดสภาพได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงกลับไม่แยแสและมองหมัดที่พุ่งเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวด้วยท่วงท่าที่สง่าผ่าเผย
จนกระทั่งหมัดอันหยาบกร้านของหวู่จางห่างจากร่างเพียง 3 นิ้ว จี้เทียนซิงก็ตอบโต้
ชายหนุ่มยังคงกุมกระบี่มังกรโลหิตไว้ในมือและถอยหลังเพียงครึ่งก้าวเพื่อหลบเลี่ยงหมัดของหวู่จาง
ในขณะที่หวู่จางถลำเสียหลักไปข้างหน้า ทันใดนั้นจี้เทียนซิงก็ยกขาขวาขึ้นและเตะฟาดเข้าที่เอวของอีกฝ่ายอย่างแรง
"ปัง !"
หวู่จางส่งเสียงในลำคอ ร่างของเขาบินลอยไปตามแรงเตะของจี้เทียนซิง เกิดเป็นเส้นโค้งในอากาศจากนั้นก็ตกลงมาอย่างหนักบนพื้น
หวู่จางสารรูปราวกับกระทิงคลั่งที่พลาดเป้าหมาย เขากระแทกลงกับพื้นและกลิ้งไปหลายตลบก่อนจะหยุด
ปากเขาเต็มไปด้วยเลือด และคำรามออกมาด้วยความโกรธจัดและอับอาย
“ไม่จริง ! นี่เป็นไปไม่ได้ !”
“จี้เทียนซิง เจ้ามันเป็นขยะ ! เจ้าทำร้ายข้าได้อย่างไร ?!”
อย่างไรก็ตาม แม้หวู่จางจะพยายามลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เอวของตน เขาไม่สามารถแม้จะเดินได้ตามปกติและขาแข้งก็ยังคงสั่นอยู่
ผู้ที่มีดวงตาแหลมคมย่อมสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหวู่จางถูกจี้เทียนซิงเตะจนกระดูกเอวแหลก !
ทุกคนต่างตกใจและไม่อาจทำใจเชื่อได้ เสียงหัวเราะเย้ยหยันและเสียงซุบซิบอันตธารหายไปทันที ทุกคนจ้องไปที่จี้เทียนซิงด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ
จี้เทียนซิงยืนกอดกระบี่อย่างไร้อารมณ์ สายลมที่โบกพัดมาทำให้ชายเสื้อยาวของชายหนุ่มพลิ้วไหวเล็กน้อย เขามองไปที่หวู่จางและกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “สารรูปเจ้าตอนนี้คิดว่ามีคุณสมบัติพอจะนั่งที่นี่อีกหรือ ?”
ก่อนหน้านี้หวู่จางพยายามจะทำให้เขาขายหน้าในที่สาธารณะ แต่ตอนนี้กลับโดนอีกฝ่ายย้อนศรโดยที่เถียงไม่ขึ้น
หวู่จางเลือดขึ้นหน้าในฉับพลัน ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ด้วยความแค้น
ระยำ ! นี่มันโคตรอัปยศอดสูยิ่งนัก !
ยังมีสิ่งใดที่แดกดันและเหยียดหยามได้มากกว่านี้อีกหรือ ?
หวู่จางโกรธจัดจนพูดไม่ออก เขาตาเหลือกและล้มลงกับพื้นหมดสติไปทันที
ในไม่ช้าเหล่ายามในวังก็เข้ามาแบกร่างหมดสติของหวู่จางออกไป
จี้เทียนซิงเดินกลับไปที่นั่งเดิมและนั่งลงหลับตาอย่างเงียบงัน
ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็ลอบมองไปที่ดวงตาของกันและกัน พวกเขาต่างก็เห็นความสยดสยองในแววตาของอีกฝ่ายและดูเหมือนจะไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้
มารดามันเถอะ ! ปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 จะทำร้ายหวู่จางในขั้นที่ 8 จนสาหัสด้วยลูกเตะเดียวได้อย่างไร ?
หลายคนๆเริ่มตระหนักแล้วว่าความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงนั้นน่าจะฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว
เขาไม่ได้อยู่ในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 อีกต่อไป เป็นไปได้ว่าฟื้นพลังกลับมายังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง !
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เหล่ารุ่นเยาว์ในระดับปรับแต่งกายาที่เดิมทีคิดจะยั่วยุและฉีกหน้าอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งเพื่อความสะใจต่างก็ล้มเลิกความคิดในทันที
ใบหน้าของหลิงหยุนเฟยนั้นกลายเป็นเย็นเฉียบ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า นางขบคิดในใจว่า “บัดซบ ! มันฟื้นตัวกลับมารวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? ไม่กี่วันก่อนตอนที่ข้าหอบร่างหมดสติของมันไปตรวจสอบระดับพลังยุทธ์ มันยังอยู่ในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 อยู่แท้ๆ !”
“ท่าไม่ดีแล้ว วันนี้ข้าไม่มีวันปล่อยให้มันรอดชีวิตกลับไปได้ มิฉะนั้น ขืนปล่อยให้มันมีชีวิตต่อไป มันต้องกลับมาแก้แค้นแน่... โชคดีที่ข้าเตรียมการเอาไว้แล้ว ฮึๆๆ !”
เหล่ารุ่นเยาว์ในห้องโถงนี้ต่างก็มีมากกว่า 30 คนที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นว่าจี้เทียนซิงล้มหวู่จางได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่เป็นกังวล
เหล่าอัจฉริยะหลายคนในสิบอันดับแรกต่างก็มีทัศนคติไม่ดีต่อจี้เทียนซิง
พวกเขาต่างก็เป็นไปด้วยความมั่นใจและภาคภูมิใจในพลังของตนเอง
“ฮิฮิ ข้าไม่คิดเลยว่าจี้เทียนซิงจะฟื้นฟูพลังได้รวดเร็วเช่นนี้”
“นั่นสิ เขาเคยมีพลังยุทธ์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 7 มาก่อน จากที่ข้าเดา ตอนนี้เขาน่าจะฟื้นฟูพลังกลับมาอยู่ระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 นี่คงเป็นเหตุให้เขาสามารถล้มหวู่จางได้อย่างง่ายดาย”
“เหอะ ปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 แล้วยังไง ? เมื่อต้องเจอกับยอดฝีมือเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงก็ยังนับว่าขยะอยู่ดี แม้กระทั่งผู้ที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 1 ก็ยังล้มเขาได้ง่ายๆด้วยซ้ำ !”
“ถูกต้อง มีพลังในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 นั้นไม่ได้ยากเย็นอันใด แต่หากเขาจะทะลวงด่านเข้าสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงอย่างรวดเร็วนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน !”
เหล่ารุ่นเยาว์รอบๆต่างก็พูดคุยถกเถียงกันและคิดว่าการที่จี้เทียนซิงล้มหวู่จางได้นั้น เพราะเขามีพลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9
“เฮ้ หลี่เก้อ เจ้าตัดผ่านไปยังต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 1 แล้วมิใช่หรือ ? เจ้าไม่คิดจะลองไปแหย่จี้เทียนซิงเล่นสักหน่อย ? จะได้รู้กันว่ามันฟื้นพลังกลับมาถึงขั้นใดแล้ว”
“หืม… ? ไม่ล่ะ ข้ากับมันไม่ได้มีความแค้นเกลียดชังหรือเป็นศัตรูกัน ทำไมข้าต้องไปหาเรื่องมันด้วยเล่า ? เจ้านั่งดูอยู่เฉยๆเถอะ รับรองว่าต้องมีผู้อื่นคิดจะแหย่มันแน่”
ในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังถกเถียงกัน หลิงหยุนเฟยมองไปที่คนผู้หนึ่ง นางผงกศีรษะโดยไร้คำพูดให้แก่ชายคนนั้น
รุ่นเยาว์ร่างสูงผิวดำคนหนึ่งผุดลุกขึ้นยืนในทันที
เขาถือกระบี่เหล็กสีดำขั้นล้ำลึกและจ้องไปที่จี้เทียนซิงอย่างมืดครึ้ม
เมื่อทุกคนเห็นชายผิวดำผู้นั้นยืนขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็แสดงรอยยิ้มแห่งความสนุกสนานและดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เฮ้ย เจ้าดูนั่น ฮวาหยุนเฟยคิดจะลงมือแล้ว !”
“ฮวาหยุนเฟยมีพลังในระดับเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 2 แต่คงเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะจี้เทียนซิงในยามนี้”
“ข้าพนันเลยว่าฮวาหยุนเฟยจะสามารถเอาชนะจี้เทียนซิงได้ภายในสามกระบี่ !”
“สามกระบี่ ? เจ้าดูแพงจี้เทียนซิงเกินไปแล้ว หมอนั้นอยู่ในระดับปรับแต่งกายาเท่านั้น ข้าว่ากระบี่เดียวก็ดับดิ้น !”
ฮวาหยุนเฟยเดินไปที่กลางห้องโถงใหญ่ ดวงตาเหลือบไปที่มุมห้องตรงจุดที่จี้เทียนซิงนั่งหลับตาอยู่ มันเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “จี้เทียนซิง เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่ ?”
จี้เทียนซิงยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ชายผิวดำสลับกับหลิงหยุนเฟยที่นั่งอยู่ทางซ้าย
เมื่อดวงตาเย็นชาของเขามองไปที่หลิงหยุนเฟย หลิงหยุนเฟยก็จ้องมองกลับเช่นกัน นางยกยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยัน
ฮวาหยุนเฟยจ้องมองจี้เทียนซิง เขาถอนหายใจและตะโกนด้วยความอดสูว่า “จี้เทียนซิง หากเจ้าไม่กล้ารับคำท้าก็จงร้องขอความเมตตาจากข้า บางทีข้าอาจจะยอมใจอ่อนปล่อยเจ้าไป....”
ลำแสงเย็นชาพาดผ่านดวงตาของจี้เทียนซิง เขาลุกขึ้นในทันทีและเดินตรงไปหาฮวาหยุนเฟยที่กลางห้องโถง