ตอนที่ 0.2 COS - ปฐมบท (Part 2)
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
ฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูที่จะนำพาเอาความสุขมาสู่ทุกชีวิตและเผ่าพันธุ์เสมอ พื้นแผ่นดินจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยให้ดินแดนต่างๆยังคงอยู่ต่อไปได้ และนี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับ ‘ทวีปนัวแลนด์’ ดินแดนอันงดงาม และอุดมสมบูรณ์อย่างน่าเหลือเชื่อ ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแต่ก็เต็มไปด้วยความลึกลับ
‘ป่าเอฟเวอร์ไนท์’ เปรียบเสมือนกับอัญมณีงดงามที่ตั้งอยู่ในทวีปนัวแลนด์ ถึงแม้ที่แห่งนี้จะไม่ใช่ผืนป่าขนาดใหญ่ที่สุดหรือสวยงามที่สุดในทวีปนี้ แต่ภายในนั้นก็ยังยิ่งใหญ่อลังการกว่าที่ดูจากภายนอกมาก และเต็มไปด้วยความลึกลับที่มากเกินกว่าหลายคนจะจิตนาการได้ มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า ผืนป่าแห่งนี้เป็นที่ซ่อนตัวของเผ่าพันธุ์มากมายรวมไปถึงเป็นที่ตั้งอาณาจักรของ ‘เอลฟ์ซิลเวอร์มูน’ แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงใดๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ดินแดนลึกลับแห่งนี้จะมีเพียงแต่เอลฟ์เท่านั้นที่สามารถเดินทางเข้า-ออกได้อย่างอิสระ หากมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่นจะเข้าไปภายในป่าเอฟเวอร์ไนท์ พวกเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
ห่างออกไปจากป่าเอฟเวอร์ไนท์เล็กน้อย คาราวานขนส่งสินค้าที่มีขบวนสินค้านับสิบรายการและมีผู้คุ้มกันมากกว่า 20 คน กำลังเดินทางเคลื่อนขบวนอย่างเชื่องช้า ทุกคนในขบวนไม่มีท่าทีรีบเร่งซึ่งนับว่าค่อนข้างแปลกสำหรับอาชีพพ่อค้าที่เวลาทุกวินาทีมีค่าเป็นเงิน
ฤดูใบไม้ผลิ คือฤดูที่งดงามที่สุดในดินเเดนแห่งนี้ เป็นฤดูที่ช่วยยกระดับจิตวิญญาณและนำพาความสุขมาให้ทุกชีวิต บรรยากาศที่อบอุ่นผสมผสานกับกลิ่นของดอกไม้ประจำฤดูกาลนานาชนิดลอยอบอวลอยู่บนพื้นดินอย่างอ่อนโยน ช่วยพัดพาความกังวลและความเหนื่อยล้าของนักเดินทางให้หายไปได้
คาราวานสินค้านี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือมีสินค้าจำนวนมากนัก และน้ำหนักโดยรวมของสินค้าทั้งหมดก็ไม่ได้มากมาย แต่กลับใช้ผู้คุ้มกันจำนวนมากขนาดนี้ซึ่งก็ดูจะฟุ่มเฟือยไปสักนิด หนึ่งในกลุ่มผู้คุ้มกันนั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญที่สุดของการฝึกหัด เขาสวมชุดเกราะที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตพร้อมกับอาวุธครบมือที่ดูสะอาดเรียบร้อย ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังนั่งอยู่บนอานม้าชั้นดี บนหลังม้าตัวใหญ่แข็งแรง ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้อย่างเด่นชัดว่า การเดินทางครั้งนี้สำคัญและจริงจังเป็นอย่างยิ่ง สินค้าชั้นดีย่อมต้องมีผู้คุ้มกันที่มีฝีมือดีเลิศ
เมื่อดูจากการแต่งการของชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ผู้ว่าจ้างผู้คุ้มกันกลุ่มนี้คงมีฐานะที่ไม่ธรรมดา
การแต่งกายของชายหนุ่มผู้คุ้มกันที่สวมใส่แต่เสื้อผ้าเนื้อดีรวมถึงพกพาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ครบครั้นที่ทำจากวัสดุชั้นดี แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้คุ้มกันเหล่านี้น่าจะมีรายได้ไม่น้อย ค่าจ้างจากการคุ้มกันที่สูงบ่งบอกฐานะและนิสัยการใช้เงินของนายจ้างของพวกเข้าได้เป็นอย่างดี และนั่นก็มีความหมายว่าเงินและอำนาจคือสิ่งสำคัญของทวีปนัวแลนด์แห่งนี้ หากเป็นผู้ที่พอมีประสบการณ์ก็จะสังเกตุเห็นได้ว่ากลุ่มคาราวานนี้ขนสินค้าที่มาจากป่าเอฟเวอร์ไนท์ --- เนื้อและขนของสัตว์เฉพาะถิ่น วัสดุหรือวัตถุดิบหลายชนิด และยังมีไม้หายากอีกจำนวนหนึ่ง
สัญลักษณ์ที่อยู่บนขบวนสินค้าเหล่านั้น บ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้าของเป็นชนชั้นขุนนาง ผู้ที่มีการศึกษาและได้เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องหมายที่อยู่บนตัวม้าก็จะจดจำรูปนกกระทา 3 ตัวที่อยู่ตรงกลางได้ ตระกูลนี้ดูแลกิจการขนส่งสินค้ามาไม่ต่ำกว่า 400 ปีแล้ว ถือว่าเป็นตระกูลเก่าเเก่ และยังมีความดีความชอบจากสงครามเก่าก่อน เเม้ว่าช่วงที่ผ่านมาอิทธิพลของพวกเขาจะไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเช่นกัน
อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมความสามารถของผู้คุ้มกัน และมันจะทำให้พวกโจรป่าที่คิดจะดักปล้นขบวนสินค้าของพวกเขาต้องหยุดคิดให้รอบคอบอีกครั้ง กำไรที่ได้จากการต่อสู้จะคุ้มค่ากับเลือดเนื้อที่ต้องเสียไปหรือไม่ ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาวุธและชุดเกราะ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีส่วนสำคัญมากในการต่อสู้ ตลอดทางที่ผ่านมาขบวนสินค้านี้ยังไม่พบเจอกับโจรที่มาดักปล้นเลยระหว่างการเดินทาง
เด็กสาววัยรุ่นในกลุ่มผู้หนึ่งเปิดปากหาวเสียงดัง นางใช้ดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวากวาดตามองไปรอบๆ แล้วพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย “มันเงียบจริงๆ... ทำไมไม่มีพวกโจรป่าเลยสักคนนะ? หรือพวกเขาฉลาดขึ้นกันแล้ว?” นางสวมใส่ชุดเกราะเข้ารูปที่ดูงดงามเหมาะสม ผมสีน้ำตาลแดงเงางามถูกมัดรวบเป็นหางม้าอยู่ด้านหลัง นัยตาสุกใสของนางดูคล้ายกับเด็กสาวไร้เดียงสา ดาบ 2 เล่มเเขวนอยู่ข้างม้าตัวใหญ่ที่นางขี่อยู่
หญิงสาวที่ดูจะมีอายุมากกว่าเล็กน้อย เมื่อได้ยินก็คลี่ยิ้มส่งให้แล้วพูดตอบเด็กสาวผมแดงในทันที “ก็พวกที่ไม่ฉลาดถูกกวาดล้างไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?” หญิงสาวผู้นี้นั่งอยู่บนหลังม้าอีกตัว นางสาวเสื้อคลุมเรียบๆที่ดูเรียบร้อย
เด็กสาวผมแดงดูไม่ค่อยจะพอใจนัก “ไม่มีพวกโจรที่กล้าหาญบ้างเลยรึไง?”
“คนที่กล้าก็มีเเต่จะตายเร็วเท่านั้น” หญิงสาวในชุดคลุมเรียบๆตอบโต้ยิ้มๆ
คำตอบนี้ทำให้เด็กสาวผมแดงจำนนในคำพูด นางบุ้ยปากอยู่สักพัก ก่อนจะพูดออกมา “ข้าไม่เคยชนะเจ้าเลยจริงๆ เอเลน่า”
หญิงสาวนามว่าเอเลน่าสวมเสื้อคลุมที่มีสีและแบบเรียบๆ ไม่ฉูดฉาดโดดเด่น นางแต่งกายคล้ายพวกอโคไลท์หรือไม่ก็พวกเมจ ผมสีดำพริ้วสลวย ยาวถึงหน้าอก ถูกปล่อยสยายอยู่ล้อมรอบใบหน้าคมคาย นางไม่ได้งามสะดุดตา รูปร่างและใบหน้าไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์อันบริสุทธิ์ที่พอจะดึงดูดความสนใจได้ เห็นได้ชัดว่าเอเลน่ารู้จุดอ่อนของเด็กสาวผมแดง นางพยายามทำให้สาวน้อยคลายความหม่นหมองและกลับมาสดใสอีกครั้ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงควบม้าดังมาจากด้านหลังของขบวนสินค้า เหล่าผู้คุ้มกันตื่นตัวขึ้นในทันที พวกเขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง กระชับอาวุธในมือให้พร้อมใช้งาน ขบวนสินค้ายังคงเคลื่อนตัวต่อไปไม่หยุด และเหล่าผู้คุ้มกันก็พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาแล้ว ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเขตแดนของไวเคานต์แอนซิการ์ ที่คอยดูแลปราบปรามโจรผู้ร้ายอยู่เสมอ แต่การฝึกฝนที่ดีเยี่ยมของผู้คุ้มกันกลุ่มนี้สอนให้พวกเขาไม่ประมาท
เสียงกีบม้ากระทบพื้นดังก้องราวกับเสียงฟ้าร้อง ไม่นานนักก็ปรากฎร่างของม้าและคนขี่ม้าออกมาจากม่านหมอกที่หนาทึบ ผู้มาเยื่อนเป็นชายหนุ่มเขามีท่าทีค่อนข้างรีบร้อน ผมบนหัวของเขาที่ยุ่งเหยิงด้วยแรงลมกำลังปลิวไสวไปมาบนผ้าคลุมสีเเดง ภายในชุดเกราะของชายผู้นี้ไม่ได้สวมเสื้อ มีเพียงแค่กล้ามเนื้อหน้าอกที่ดูกำยำที่มีขนหนาๆขึ้นปกคลุม
ไม่รู้ว่าชายผู้นี้เพียงอยากอวดความกำยำของร่างกายหรือนี่เป็นเครื่องแต่งกายที่เขาจำเป็นต้องใส่ แต่อาชาสีดำที่เขาขี่มีนาดใหญ่โตกว่าม้าธรรมดาทั่วไปมาก บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันมีเชื้อสายของสัตว์อสูร และแม้ชายผู้นั้นจะอยู่บนหลังม้าเพียงแค่คนเดียว แต่รัศมีออร่าบนตัวเขานั้นกลับเปล่งประกายให้ความรู้สึกราวกับเผชิญหน้ากับทหารหาญนับพัน
กลุ่มผู้คุ้มกันต่างหน้าถอดสีทันที เมื่อมองเห็นผู้มาเยือนกำลังเข้าเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ พวกเขากำอาวุธในมือเเน่ และบางคนถึงกลับชักอาวุธออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว อาวุธของเหล่าผู้คุ้มกันเปล่งแสงเป็นประกายบ่งบอกว่าถูกปรับปรุงพัฒนาขึ้นมาด้วยพลังเวทย์ อาวุธแต่ละชิ้นมีราคาที่สูงลิ่ว และแพงยิ่งกว่าหนังของสัตว์เเปลกที่เป็นสินค้าของทั้งคาราวานสินค้านี้อีก
*เช้ง!* ดาบของเด็กสาวผมแดงส่งเสียงและพุ่งทะยานเข้าสู่มือของนางโดยอัติโนมัติ ดวงตาสดใสเป็นประกายอย่างนึกสนุก ขณะที่นางชี้ดาบไปที่ผู้ที่กำลังขี่ม้าตรงเข้ามา
"โจรงั้นเหรอ ?!"
“อย่าเหลวไหล!” เอเลน่าหยุดสาวน้อยที่กำลังตื่นเต้นผู้นั้นในทันที นางสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าของผู้คุ้มกันแต่ละคนกำลังฉายชัดด้วยหวาดกลัวออกมา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาจะยังคงนิ่งเงียบและปฏิบัติตามหน้าที่อย่างแข็งขันอยู่
ชายผู้อยู่บนหลังม้าเร่งความเร็วและพุ่งทะยานผ่านพวกเขาไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ผ่านคนและม้า สินค้า และล้อเกวียนมากมาย ผมดำยาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของเอเลน่าปลิวขึ้นไปตามสายลมขากความเร็วที่พัดผ่านไป เขาเคลื่อนที่นำหน้าขบวนสินค้าและเหล่าผู้คุ้มกันไปหลายสิบเมตร แต่ทันใดนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าม้าบังคับให้มันหมุนวนอยู่รอบหนึ่งและตะโกนกลับมาหาเหล่าผู้คุ้มกันทั้งหมดว่า
“เฮ้ คนสวยข้าชื่อกาตอน!”
หลังจากที่เขาตะโกนออกมาแล้วเขาก็จากไปทันที ทุกคนที่อยู่ในขบวนสินค้าได้เเต่ยืนดูแผ่นหลังของเขาลับหายไปอย่างอึ้งๆระคนงุนงง
“เอเลน่า เขาพยายามจะจีบเจ้างั้นเหรอ ?” สาวน้อยผมม้าพูดขึ้นหลังจากที่หายจากอาการงงงวยแล้ว
“เขาพูดกับเจ้าต่างหากล่ะซุ”
“ไม่ เขามองไปที่เจ้า....” ซุต้องการจะพูดต่อ แต่ลมหมุนเล็กๆจากนิ้วของเอเลน่าก็ตีเข้าที่สะโพกม้าที่นางกำลังขี่อยู่ อาชาตัวใหญ่ออกวิ่งในทันทีพาให้ซุเดินทางล่วงหน้าออกไปไกล และสาวน้อยผมม้านามว่า ซุ ก็ทำได้เพียงเเค่ส่งเสียงร้องออกมา
หลังจากนั้นยังไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดเกิดขึ้นอีก จนกระทั่งคาราวานการค้าเดินทางมาจนถึงที่พัก พวกเขาเลือกโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองลัดวิกสำหรับการนอนหลับพักผ่อนในค่ำคืนนี้
เมืองลัดวิกเป็นเมืองขนาดกลางที่ค่อนไปทางขนาดเล็ก ตลอดทั้งเมืองมีถนนสายหลักเพียงสายเดียวที่เชื่อมเมืองทั้งสองฝากเข้าด้วยกัน ประชากรเมืองนี้มีจำนวนไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น แต่เนื่องจากเมืองลัดวิกตั้งอยู่ระหว่าง เขตเเดนของไวเคานต์แอนซิการ์และป่าเอฟเวอร์ไนท์ จึงมีผู้คนสัญจรผ่านไปมาจำนวนมาก และกลายเป็นเมืองที่มีความเจริญสูง ถนนสายหลักเรียงรายไปด้วยโรงเเรมและร้านอาหารนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีร้านขายอาวุธที่มีชื่อเสียง ร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ และมีแหล่งค้าขายหนังของสัตว์มายาอีกด้วย และด้วยความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งนี้ ทำให้เมืองลักวิกกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ
ทุกอย่างในเมืองนี้ล้วนมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยม แม้แต่เหล้าท้องถิ่นของที่นี่ก็ยังเป็นสิ่งปลอบประโลมชั้นดี ที่ช่วยให้ยามเย็นจนถึงยามค่ำคืนเต็มไปด้วยสีสันชีวิตชีวา บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นของอาหารเลิศรสและสุราชั้นเยี่ยม มื้อค่ำเป็นเวลาที่ทุกคนจะได้พักผ่อนหลังจากที่ทำงานมาตลอดทั้งวัน สมาชิกของคาราวานการค้ารวมตัวกันอยู่ภายในห้องอาหารของโรงแรมที่พัก ซึ่งมีขนาดใหญ่ พื้นที่กว้างขวางสามารถจุคนได้จำนวนมาก แม้สมาชิกของคาราวานสินค้าทุกคนจะอยู่รวมกันทั้งหมดก็ยังไม่แออัด
วงนักดนตรีพเนจร ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน กำลังบรรเลงดนตรีอยู่บนเวทียกพื้นเล็กๆใกล้ๆกับบาร์เครื่องดื่ม 2 คนทางด้านข้างดีดกีต้าร์โปร่งตัวใหญ่ ในขณะที่คนตรงกลางกำลังตีกล้องพื้นเมืองพร้อมกับขับบทกวีที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรษบนหลังม้าสีดำ ‘อเล็กซานเดอร์’ เขาเลียนแบบเสียงควบม้าประกอบจังหวะที่ทรงพลังของกลองจนกลายเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะ สร้างเอกลักษณ์และเพิ่มเสน่ห์ของการเล่าเรื่อง นั่นเองที่ช่วยอธิบายว่าเหตุใดนักดนตรีกลุ่มนี้จึงดึงดูดผู้ชมให้เข้ามาชมได้มากมายนัก เเม้ว่าคนเหล่านั้นจะได้ฟังเรื่องราวนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม สุรารสเยี่ยมหมดไปไหเเล้วไหเล่า เหล้าทำให้เลือดลมสูบฉีดและทำให้หัวของพวกเขาโล่ง และยังเหมือนกับว่าทำให้จังหวะของกลองดูสนุกสนานมากขึ้นอีก แม้เเต่ตัวเอเลน่าเองก็ตาม
ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้นที่นอกประตู และหยุดอยู่ตรงทางเข้าหน้าโรงแรม ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในบาร์ ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตจึงทำให้เขาต้องก้มตัวเพื่อลอดผ่านประตูเข้ามา ชายผู้นั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ พลันสายตาของเขาก็หยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งของบาร์ ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อมองเห็นเอเลน่าและซุ แต่พร้อมกันนั้นตาของเขาก็ปะทะเข้ากับสายตาอีกหลายคู่มองกลับมาอย่างทิ่มเเทง และนั่นคือสายตาของเหล่าผู้คุ้มกันที่อยู่รอบๆตัวหญิงสาวทั้งสอง แต่เขาก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขามองไปที่เอเลน่าพร้อมกับยิ้มกว้างราวกับว่าโลกใบนี้มีเพียงเขาและนางเพียงสองคน
“เฮ้คนสวย พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ! ข้าชื่อกาตอน !”
ในสายตาของผู้อื่น ชายผู้นี้ดูหุนหันพลันแล่น และดูจะเป็นพวกชอบโอ้อวดความทรงเสน่ห์ของตนเอง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งราวกับสร้างจากเหล็กของเขา แม้ว่าจะมีกล้ามเนื้อเป็นมัดมองเห็นได้ชัดเจน และมีหนวดเครายาวบนใบหน้า แต่ก็พอมองออกว่าเขายังอยู่ในวัยหนุ่ม ดวงตาคู่คมของเขาเป็นสีเขียวเข้มลึกล้ำงดงามราวกับมรกต มันทั้งสดใสและดูบริสุทธิ์ เมื่อจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นจะรู้สึกถึงความลึกลับที่ดูราวกับมีชีวิต ชายผู้นี้มีรอยเเผลเป็นยาวสีเเดงตั้งแต่ใต้ตาลงมาถึงข้างแก้มด้านซ้าย เห็นได้ชัดว่าเป็นเเผลที่ค่อนข้างใหม่ เเต่รอยแผลนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียโฉมมากนัก ตรงกันข้ามมันกลับช่วยเพิ่มความดุดันสมกับเป็นลูกผู้ชายให้เขา ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ไม่ได้สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง และมันก็มีรอยฉีกขาดอยู่เต็มไปหมด
ดวงตาของซุเป็นประกาย นางจ้องมองไปยังชายหนุ่มนามกาตอนผู้นั้นแล้วอุทานน้ำเสียงตื่นเต้น “โจรป่า?”
“นักผจญภัย”
“แย่จริง” เห็นได้ชัดว่าซุผิดหวังกับคำตอบของกาตอน แต่นางก็ยังคงถามต่อไป “ทำไมเจ้าถึงได้สะกดรอยตามพวกเรา ?”
กาตอนยิ้ม แล้วชี้ไปที่เอเลน่า “เพราะว่าข้าชอบนาง!”
“อ้า ช่างเป็นคนที่หน้าไม่อายจริงๆ” ซุเหน็บแนมตรงๆ นางไม่สามารถปิดบังความผิดหวังไม่ให้ออกมาทางสีหน้าได้
เอเลน่ายังคงนิ่งเงียบ แต่ผู้คุ้มกันหลายคนตบไปที่ชุดเกราะของตัวเองเพื่อเป็นการเตือน และบางคนก็ชักดาบออกมาแล้ว ทันทีที่ดาบถูกชักออกจากฝัก ออร่าของผู้คุ้มกันก็เปลี่ยนไป เกิดแรงกดดันหนักหน่วงเพิ่มมากขึ้นและบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน อุณหภูมิในห้องอาหารลดต่ำลงในทันที เหล่านักเดินทางคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องเริ่มลดเสียงของตัวเองลง พวกเขาที่มีประสบการณ์การเดินทางมาอย่างโชกโชน จึงพอจะดูออกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เเม้ว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้จะไม่ได้มีฝีมือเป็นเลิศในหมู่ผู้คุ้มกัน แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อย ความสามารถของพวกเขาเหนือกว่าความหนุ่มที่เห็นอยู่มาก
สถานการณ์ตรึงเครียดที่เกิดขึ้นทำให้เอเลน่าขมวดคิ้วมุ่น นางใช้ตาสีฟ้าคู่งามมองดูพวกพ้อง ในตอนนี้ดวงตาที่เคยเป็นประกายนั้นดูราวกับกำลังจะลุกเป็นไฟ ผู้คุ้มกันทั้งหมดเก็บอาวุธทันทีเมื่อเห็นนางส่งสัญญาณ พวกเขากลับไปนั่งที่ แต่ก็ยังจับจ้องไปที่กาตอนไม่วางตา หากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นพวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ดาบเเทงคนโอหังผู้นั้นทันที
เอเลน่าหันไปมองกาตอนดวงตายังคงมีแววขุ่นเคืองเล็กๆ นางพูดขึ้นเสียงเรียบ "ข้าไม่ชอบการยึดติดที่ไร้ความหมาย เจ้าจะไม่ได้อะไรจากข้าหรอก"
กาตอนหัวเราะ "ข้าชอบเจ้า และเจ้าก็จะตกหลุมรักข้า นี่คือคำพยากรณ์"
"ถ้าอย่างงั้นเจ้าชอบข้าก็เพราะคำพยากรณ์งั้นรึ ?" เอเลน่ายังคงแสดงท่าทีเรียบเฉยเช่นเดิม นางไม่สนใจจะเอ่ยถามเลยด้วยซ้ำว่าคำพยากรณ์นี้มาจากผู้ใด
“มันไม่ใช่คำพยากรณ์ที่เป็นทางการ ข้าชอบเจ้า ตั้งแต่เห็นเจ้าครั้งแรก เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว”
"มันเป็นคำพยากรณ์ของใคร?"
“ของข้าเอง”
เอเลน่าถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางมีความสงสัยเกี่ยวกับชายที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด แต่ไม่นานนักนางก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าเขาก็เเค่พวกอันธพาลธรรมดา แต่ทว่าด้วยเเววตาที่ดูแสนซื่อของเขาก็ยังชวนให้เกิดความกังขา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้นางยังไม่ยอมให้ผู้คุ้มกันของนางจัดการกับเขา เเต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ความอดทนของนางเริ่มหมดลงไปจากความไร้เหตุผลของเขาแล้ว
ทว่าซุกลับเริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาอีกแล้ว นางพูดเเทรกขึ้นมา "โอเค เจ้าชอบเอเลน่า งั้นเจ้าก็ต้องพิสูจน์มัน! ทำไมเจ้าไม่ซื้อเครื่องดืมให้เราสักหน่อยล่ะ ?"
กาตอนหยิบถุงเงินออกมา และก่อนที่เอเลน่าจะปฎิเสธได้ทัน เขาก็เทเหรียญในถุงลงบนโต๊ะ เขาชี้ไปที่ทุกคนในคาราวานขนสินค้าและตะโกน "เฮ้ เถ้าแก่! วันนี้ข้าจะเป็นเจ้ามือให้พวกเขาเอง เสริฟเหล้าองุ่นให้ทุกคนในนี้ด้วย !”
เขาเทเหรียญออกมาจำนวนมาก แต่เกือบทั้งหมดเป็นเหรียญทองแดง มีเหรียญเงินอยู่เพียงไม่กี่เหรียญ ไม่ต้องพูดถึงเหรียญทอง ซึ่งนั่นมันยังไม่เพียงพอแม้เเต่จะซื้อเหล้าองุ่น 1 แก้ว กาตอนเอามือจับหัวของตัวเองอย่างเขินอาย "เอ่อ คือ.. ข้าเพิ่งจะเริ่มเป็นนักผจญภัย ข้ายังไม่มี...."
และนั่นก็ทำให้คนอื่นๆทั้งห้องอาหารส่งเสียงหัวเราะออกมา การผจญภัยของพวกเขามักจะต้องเจอกับภาวะตึงเครียดและอันตราย น้อยครั้งนักที่พวกเขาจะได้พบเจอกับสถานการณ์ที่น่าขำเช่นนี้
แต่เหล่าผู้คุ้มกันกลับมีท่าทีตรงกันข้าม สีหน้าของพวกเขาดูบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม ซุเริ่มจะสนใจกาตอนมากขึ้น "ข้าเด็กกว่าเอเลน่าอีก และข้าก็หุ่นดีกว่าด้วย ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบข้าบ้าง ?" ซุมั่นใจว่าตัวนางดูมีชีวิตชีวา เเละเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสมากกว่า และนางก็ยังสูงกว่าเอเลน่าถึงครึ่งหัว และการที่นางฝึกซ้อมการต่อสู้มามากก็ทำให้รูปร่างของนางดูดีกว่าเอเลน่า และควรจะน่าดึงดูดสำหรับพวกหนุ่มๆมากกว่าด้วย
กาตอนลูบท้ายทอยของตัวเองแล้วตอบ "เอ่อ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข้าถึงชอบนาง ตั้งเเต่ที่ข้าเห็นนางครั้งแรกข้าก็ชอบนางแล้ว "
ซุดูจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ "งั้นก็ลองพูดถึงตัวเองหน่อย อะไรที่ทำให้เจ้าคู่ควรกับเอเลน่า ?"
"ข้าเป็นเชื้อพระวงศ์!" กาตอนตอบอย่างนึกขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็คลำหาบางอย่างในกระเป๋า สิ่งที่เขาล้วงออกมาเป็นตราสัญลักษณ์ ดูโบราณเก่าแก่ เเม้ว่าลวดลายของมันจะจางไปมากแล้วแต่ก็ยังเป็นที่จดจำได้ดี สถานะทางสังคมถือสิ่งที่สำคัญตราบใดที่ยังอยู่ในนัวเเลนด์ เพราะว่าสิทธิพิเศษส่วนมากจะถูกมอบให้กับเหล่าขุนนางหรือชนชั้นสูง
"แล้วเจ้ามาจากปราสาทของที่ไหน? ที่นั่นมีคนอยู่มากน้อยแค่ไหน" สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องเเสดงถึงอำนาจเเละอิทธิพลของคนในชนชั้นสูง
กาตอนหน้าเเดงขึ้นเล็กน้อย เขาพูดออกมาว่า "มันเป็นปราสาทที่ได้รับเป็นมรดก เอ่อ... มันถูกขายไปตั้งเเต่สามสี่รุ่นก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีมรดกอะไรหลงเหลือมาถึงข้าหรอก" นับว่าเขาเลือกใช้คำพูดที่ฉลาด เเต่กระนั้น นี่ก็เท่ากับว่าเขายอมรับว่าตระกูลของเขาสูญเสียอำนาจไปนานแล้ว และสูญเสียเเม้กระทั่งดินเเดนของตน เขาเป็นคนที่ไร้มรดกจากตระกูล ขุนนางที่ไม่มีเเม้เเต่ดินเเดนของตัวเอ
"แล้วมีอย่างอื่นไหม?"
"ข้าเป็นวอริเออร์ระดับ 3 ที่กำลังตามหาเส้นทางของตัวเอง” กาตอนกล่าวอย่างวางท่าพร้อมกับเบ่งกล้ามบนแขนและหน้าอกอวดสายตาหญิงสาวทั้งสอง แต่น่าเศร้าที่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งพิสูจน์ความสามารถของเขาเเต่อย่างใด แน่นอนว่าความสามารถของวอริเออร์ ไม่ได้วัดกันที่กล้ามเนื้อ
*วอริเออร์ = นักรบ
ซุบุ้ยปาก นางเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย "วอริเออร์ระดับ 3 มันก็พบเห็นได้ทั่วไปไม่ใช่เหรอ ?"
"ข้าแตกต่างจากวอริเออร์ ระดับ 3 ทั่วๆไป! ข้าเป็นอัจฉริยะ และร่างกายของข้าก็สามารถจารึกรูนลงไปได้! ดูนี่!" กาตอนยื่นเเขนออกมาข้างหน้าแล้วถอดเกราะตรงเเขนออกไป เผยให้เห็นรอยสักสีฉูดฉาดรูปวัวกระทิงบนต้นเเขนของเขา และนั่นไม่ได้เป็นเพียงรอยสักธรรมดา แต่มันคือรูนที่มีพลังเวทย์ เป็นเสมือนสัญลักษณ์เวทย์ขนาดเล็กที่ฝังลงไปบนเเขนของเขาเพื่อเพิ่มความเเข็งเเกร่ง
รูนที่จารึกลงไปนั้นจะส่งผลต่อพลังของเเต่ละบุคคลได้อย่างมหาศาล รูนถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก แต่มูลค่าของมันก็ขึ้นอยู่กับพลังและระดับความหายากในแต่ละชิ้นด้วย ทุกคนสามารถจารึกรูนไว้บนร่างกายของพวกเขาได้ แต่มันยากมากที่จะหาผู้ที่สามารถผสานพลังเข้ากับรูนได้อย่างลงตัวจริงๆ
"มันก็แค่บูลสเตร็งค์เอง ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอวดเลย มีอะไรที่ดีกว่านี้ไหม?" ด้วยความรู้ที่มี ซุเพียงเเค่มองดูรูนของกาตอน นางก็รู้ได้ถึงพลังของมัน บูลสเตร็งค์สามารถเพิ่มพลังทางกายภาพให้กับผู้ใช้ได้ แต่ประสิทธิภาพของมันก็ถือว่าอยู่ในระดับทั่วไป ไม่มีความพิเศษที่ชวนตื่นตะลึง ทว่าเอเลน่ากลับจ้องมองลายสักบนเเขนของกาตอนไม่วางตา นางขมวดคิ้วเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
กาตอนใส่เกราะกลับไปบนเเขนของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้น "ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินมากพอจะซื้อรูนดีๆ แต่ถ้าหากข้าค้นพบสมบัติหรือไม่ก็ฆ่ามอนสเตอร์ระดับสูงได้ ข้าก็จะมีเงินมากมาย ร่างกายของข้าสามารถรองรับพลังของรูนได้ถึง 4 รูนพร้อมๆกัน"
"ต้องแบบนี้สิถึงจะดูเข้าท่าหน่อย!" ซุดูจะพอใจมากขึ้น พรสวรรค์ของเเต่ละคนจะวัดได้จากระดับของคลาสและจำนวนรูนที่สามารถรองรับได้ คนส่วนมากจะรับพลังของรูนได้ครั้งละ 1 รูนเท่านั้น ดังนั้นคนที่สามารถรับพลังของรูนได้ถึง 4 รูนพร้อมกันอย่างกาตอนนั้นถือว่าไม่ธรรมดา มันจะทำให้เขามีพลังและความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ทั่วๆไปในระดับเดียวกัน
ในตอนนี้บรรยากาศรอบห้องอาหารผ่อนคลายลงไปแล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว นักผจญภัยคนอื่นๆในห้องอาหารจึงเลิกให้ความสนใจกับการสนทนาของกลุ่มผู้คุ้มกันและชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อีก เสียงดนตรีของวงดนตรีพเนจรเริ่มจะดังก้องไปทั่วห้องอาหารอีกครั้ง จังหวะของกลองบวกรวมกับฤทธิ์ของสุราทำให้ทุกคนในห้องอาการนั้นยิ่งสนุกครึกครื้น ไม่นานนักซุก็เมาหลับพับไปพร้อมกับกาตอน พวกเขาเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเเต่ละคนในการผจญภัยที่ผ่านมา พวกเขาคุยกันขณะที่ดื่มเหล้าไปด้วย กาตอนพบว่าจริงๆเเล้วนี่เป็นครั้งเเรกที่ซุต้องเดินทางออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ ส่วนเรื่องราวที่น่าสนใจของกาตอนก็ทำให้ซุรู้สึกหลงใหลในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป บรรยากาศระหว่างอาหารมื้อค่ำก็ยังคงเป็นไปด้วยดี มีเเต่ความคึกคักสนุกสนาน สถานการณ์คุกรุ่นที่เหมือนกับจะมีเรื่องชกต่อยกันก่อนหน้านี้ไม่เกิดขึ้นอีกเลย ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ทุกคนเเยกย้ายกันไปนอนหลับพักผ่อน ซึ่งก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว ดูจากรอยยิ้มที่แสนพึงพอใจของเจ้าของโรงแรมก็บ่งบอกได้ว่าลูกค้าในวันนี้ เลือกดื่มเครื่องดื่มราคาเเพงเข้าไปไม่น้อย ซุเดินโซเซจนเอเลน่าต้องลากตัวนางกลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่านักเดินทางก็ออกเดินทางไปตามเส้นทางของพวกเขาต่อ ขณะที่กลุ่มผู้คุ้มกันก็จัดเตรียมคาราวานขนส่งสินค้าของพวกเขาให้พร้อมสำหรับการออกเดินทางต่อไปเช่นกัน ก่อนหน้าที่จะเตรียมตัวออกจากโรงเเรมนั้น ผู้คุ้มกันหลายคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่ากาตอนตื่นก่อนหน้าพวกเขานานแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมและกำลังล้างคอกม้าอยู่ซึ่งนั่นเป็นงานที่มีเเต่คนรับใช้เท่านั้นที่ทำ
“กาตอนเจ้ากำลังทำอะไร?” ซุทักทายด้วยคำถามเสียงดัง
"ข้าไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าอาหารหรือค่าที่พัก และมันก็ช่วยไม่ได้ ที่ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่ข้าทำได้มีเพียงเเค่ต้องทำงานเพื่อจ่ายเเทนเงินเท่านั้น!" เสียงของกาตอนดูสดใสเเละชัดเจน และยังคงเต็มไปด้วยความครื้นเครง แม้ว่าสถานะของเขาจะเป็นชนชั้นขุนนาง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอับอายที่ต้องมาทำงานของคนรับใช้เช่นนี้ เขายังคงตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ขนของม้าที่เขาดูแลเป็นประกายเงางามเเละสะอาดสะอ้านด้วยฝีมือของเขา
ในตอนนั้นเองที่ซุนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนนางส่งบิลค่าเครื่องดื่มของนางยื่นให้กาตอนเป็นคนไปจ่าย เมื่อนึกได้ดังนั้นนางก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง นางปล่อยให้กาตอนสนุกกับการทำงานของเขาต่อไปขณะที่ออกไปขึ้นม้าเตรียมออกเดินทาง คาราวานขนส่งสินค้าเริ่มออกเดินทางต่อ เเละเมื่อซุหันกลับไปมองก็เห็นร่างที่สูงใหญ่กำยำกำลังโบกมือให้พวกเขาเป็นการบอกลาจากคอกม้า
คาราวานขนส่งสินค้ามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ออกจากเขตเเดนไวเคานต์แอนซิการ์ และผ่านไปในดินเเดนของเอิร์ลเวอร์นอน ก่อนที่จะเข้าไปยังเขตอิทธิพลของเอิร์ลทูดอร์ ครึ่งเดือนผ่านไปพวกเขาเดินทางได้อย่างราบรื่นไม่มีสิ่งใดติดขัด และพวกเขาก็ยังไม่เคยพบเจอกับโจรดักปล้นเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ซุรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
ทว่ากาตอนยังคงเดินทางติดตามคาราวานขนส่งสินค้าของพวกเขามา หลังจากการทำงานแลกค่าที่พักและเครื่องดื่มเสร็จสิ้น เขาก็ออกติดตามคาราวานขนส่งสินค้าของเอเลน่าและซุมาในทันที เขาเดินทางร่วมกับเหล่าผู้คุ้มกันและทำให้ซุและเอเลน่าได้สนุกสนานกับเรื่องราวการผจญภัยของที่เขาเล่าอีกครั้ง และครั้งนี้กาตอนก็เลี้ยงเครื่องดื่มทุกคนอีกเช่นกัน และสุดท้ายเขาก็ต้องทำงานรับใช้ เพื่อแลกค่าเครื่องดื่มไปอีกหลายวันก่อนที่เข้าจะติดตามขบวนสินค้าได้ทันอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง พื้นที่ที่คาราวานขนสินค้าเดินทางผ่านเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัย ทำให้ไม่มีโอกาสที่กาตอนจะทำเงินได้เลย และทุกๆครั้งที่เขาเลี้ยงเครื่องดื่มเหล่าผู้คุ้มกันสินค้า ซุก็มักจะเเสร้งทำเป็นไม่รู้ขนาดถุงเงินของกาตอน นางดื่มอย่างเต็มที่ทุกครั้งแล้วให้กาตอนเป็นคนจ่าย
"นี่เป็นการลงโทษที่เขามาพันติดเจ้า!" ซุหัวเราะขณะพูดกับเอเลน่า ทำให้เมจ*สาวไม่มีทางเลือกนอกจากต้องส่ายหน้าอย่างเงียบๆ
*เมจ = ผู้ใช้เวทมนตร์
คาราวานขนส่งสินค้ายังคงเดินทางกันต่อไป พวกเขาจะหยุดพักในทุกครั้งที่เสบียงอาหารเเละน้ำหมด ทำให้เสบียงของพวกเขาถูกเติมอยู่เสมอ กาตอนจะปรากฎตัวขึ้นเป็นครั้งคราว และในทุกครั้งที่เขาปรากฎตัวก็จะได้ยินเสียงควบม้าของเขาดังราวกับเสียงฟ้าร้อง พร้อมกับเสียงหัวเราะที่สดใสดังก้องไปทั่วเสมอ เหล่าผู้คุ้มกันรู้ดีว่ากาตอนเป็นคนทำงานใช้หนี้เเทนพวกเขา ทำให้บางคืนที่กาตอนไม่ปรากฎตัว พวกเขายังเเอบรู้สึกคิดถึงเสียด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปกว่า 2 เดือน และกาตอนก็เลี้ยงเหล้าคนในคาราวานขนสินค้าไปถึง 6 ครั้งแล้ว พวกเขารู้ว่ากาตอนต้องทำงานอย่างหนักทุกวัน จนทำให้เเม้เเต่ผู้คุ้มกันที่ไม่ชอบหน้าเขาก็ยังเริ่มใจอ่อน ไม่อยากจะให้เขาต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มให้อีก มีเพียงซุเท่านั้นที่ไม่สนใจและยังสนุกกับการทิ้งบิลให้ไว้กาตอนจัดการส่วนของนาง
ตลอด 2 เดือนมานี้ กาตอนเเละเอเลน่าพูดคุยกันไม่ถึง 20 ประโยค แต่เเววตาเเห่งความกระตือรือร้นของเขาก็เริ่มจะงดงามในสายตาของนางแล้ว ในตอนนี้การเดินทางยังคงเงียบสงบเป็นปกติ
จนกระทั่งพวกเขาเดินทางเข้ามาสู่ดินเเดนของเอิร์ลไคล์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ ‘สหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์’ คือกองกำลังหรือกลุ่มอำนาจที่น่าเกรงขามมากที่สุดของทวีปนัวเเลนด์ เป็นความร่วมมือกันของตระกูลขุนนางเเละชนชั้นสูงต่างๆหลากหลายระดับไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต่างจากอาณาจักรทั่วไปที่จะมักจะมีความร่วมมือกันเช่นนี้เพียงเเค่สมาชิกในราชวงศ์เท่านั้น
ดินเเดนแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองในตำนานของทวีปนี้ ‘เมืองหลวงแห่งสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ --- เฟาสต์’ ราว 3,000 กิโลเมตร คาราวานขนสินค้าเดินทางไปตามถนนสายเล็กของนัววูดอร์ ผ่านเขตเเดนที่เป็นของเอิร์ลไคล์และที่แห่งนี้คือที่ที่พวกเขาหยุดพักเพื่อค้างคืน
เเต่เมื่อพวกเขาเดินทางเข้าใกล้ตัวเมืองของนัววูดอร์ พวกเขาก็เห็นกลุ่มทหารม้าประมาณ 10 คนที่เดินทางห้อมล้อมเมจคนหนึ่งไว้ คณะเดินทางแปลกประหลาดนั้นออกมาจากซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง ผู้คนที่เข้าออกซอยเล็กๆแห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักเดินทางหรือไม่ก็พ่อค้า และพ่อค้าที่ปกติจะใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ เมื่อเห็นขบวนของทหารม้าและเมจผู้นั้นก็รีบหลีกทางให้ในทันที โดยปกติแล้วทหารม้าจะค่อนข้างมีฝีมือ พวกเขามักจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และหมุนตัวหลบผู้ที่ขวางทางเพื่อรักษาความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกเขา
เมจที่อยู่บนหลังม้ามีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเดินทางผ่านคาราวานขนสินค้า เขามองไปที่ซุและเอเลน่า คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอม เนื้อตัวของเขาส่องเเสงสีเขียวคล้ำออกมา คล้ายกับว่าได้รับพิษบางอย่างจากการทดลองในห้องทดลองซึ่งตกค้างในผิวหนังของเขา แม้ว่าดวงตาของเขาจะมืดมน แต่วิธีการจ้องมองที่น่าหวาดกลัวของเขาก็สามารถทำให้ผู้ที่ถูกจ้องมองหวาดกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาได้ เสื้อคลุมของเขาดูหรูหราและตัดเย็บอย่างประณีตบรรจง และมีลวดลายที่สลับซับซ้อน นั่นคืออุปกรณ์เสริมที่สามารถช่วยให้ใช้รูนเวทมนตร์ได้ และนี่เป็นสิ่งที่มีเพียงเเค่เมจระดับ 9 หรือสูงกว่าเท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองได้
ไม่นานนักกลุ่มของเมจระดับ 9 ผู้นั้นก็ขี่ม้าผ่านไปจนถึงถนนสายหลัก แต่ดวงตาที่มืดมนของเขาก็ยังคงจ้องมาที่กลุ่มของผู้คุ้มกันในคาราวานขนสินค้าไม่วางตา ด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้บรรยากาศดูมืดมนตามไปด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงโรงแรมเดียวกันกับที่เป็นจุดหมายสำหรับการค้างแรมของเหล่าผู้คุ้มกันคาราวานสินค้า และทันทีที่เอเลน่าเห็นผู้คุ้มกันของนางหยุดและลงจากหลังม้าเตรียมจะเข้าไปในโรงแรม นางก็พูดขึ้นมาอย่างรีบร้อน
"รีบเดินทางออกจากที่เถอะ!"
"หะ ...แต่กาตอนจะตามมาสมทบกับพวกเราที่นี่นะ"
"ออกเดินทางเดี๋ยวนี้ !" เอเลน่าย้ำอีกครั้ง และครั้งนี้ซุก็ไม่มีข้อโต้เเย้ง นางกลับขึ้นไปบนหลังม้าอย่างเงียบๆ เอเลน่ามักจะไม่ชอบพูดมาก เมื่อนางย้ำถึงสองครั้งก็เเสดงว่ามีความจำเป็นอย่างแท้จริง และทุกคนย่อมต้องเชื่อฟังนาง
เวลานี้ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ถนนที่อยู่ใกล้ที่สุด อยู่ไกลออกไปจากที่นี่ถึง 10 กิโลเมตร ถ้าหากพวกเขาออกไปจากนัววูดอร์ในตอนนี้ พวกเขาจะต้องตั้งเต็นท์กลางป่าเขา แต่ซุก็ไม่กล้าค้านการตัดสินใจของเอเลน่า นางส่งสัญญาณให้เหล่าผู้คุ้มกันออกเดินทางกันต่อ ทุกคนกลับขึ้นหลังม้าอีกครั้ง และคาราวานขนสินค้าของพวกเขาก็ออกเดินทางต่อไป ทันทีที่พวกเขาออกจากเขตนัววูดอร์ พวกเขาก็เริ่มเร่งความเร็วในการเดินทางทันที และถึงกับเลือกที่จะทิ้งพวกม้าที่ลากขบวนสินค้าได้ช้าเกินไปไว้ตามถนนที่พวกเขาผ่านไป แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังเดินทางไปได้ไม่ถึง 20 กิโลเมตรก็ต้องเกิดอาการตื่นตระหนกอย่างหนัก เมื่อได้ยินเสียงควบม้าดังกึกก้องกำลังเร่งฝีเท้าตามหลังมา
เอเลน่าชี้ไปที่เนินเขาที่อยู่ด้านข้างของถนนและพูดด้วยเสียงเบา
"เปลี่ยนทิศทาง เตรียมการป้องกัน!"
เหล่าผู้คุ้มกันทิ้งขบวนสินค้าทั้งหมดและควบม้าไปที่เนินเขาอย่างเต็มฝีเท้าเมื่อไปถึงพวกเขาก็ชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมทันที และมากกว่าครึ่งเอาธนูที่เป็นอาวุธหลักของพวกเขาออกมา นี่ไม่น่าจะเป็นกองกำลังของทหารรับจ้างธรรมดา!
เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากกระทบพื้นดังกึกก้อง คนพวกนั้นกำลังเข้ามาใกล้พวกเขาจากถนนสายหลัก ม้าศึกที่สวมชุดเกราะสีดำพุ่งออกมาจากหมอกควัน ทหารม้าถืออาวุธหนักไว้ในมือ แต่ละคนถือดาบเหล็กที่มีความยาวกว่า 2 เมตร มีทหารม้าเกือบ 50 คนที่เป็นคนของเอิร์ลไคล์เอง และที่เหลือก็เป็นกองกำลังจากแหล่งอื่นๆของเขา
ที่ขนาบอยู่ทั้งสองข้างของทหารม้าคือ ‘ทหารเกราะเบา’ นับ 100 คน ตรงกลางมีเมจคนหนึ่ง ในตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำพอดี เขายังคงสวมเสื้อคลุมที่ดูงดงามและหรูหรา แต่ตอนนี้เขามีไม้เท้าที่มีขนาดยาวกว่า 3 เมตรในมือ บริเวณส่วนปลายของมันฝังคริสตัลขนาดใหญ่เอาไว้ แสงจากคริสตัลเมื่อมารวมกันกับลวดลายแปลกประหลาดและสลับซับซ้อนบนเสื้อคลุมของเขา ก็ทำให้พวกมันส่องเเสงลึกลับขึ้นมาในความมืด
สีหน้าของเหล่าผู้คุ้มกันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นกองทัพทหารม้าที่กำลังตรงเข้ามา คนในคาราวานขนสินค้าเชี่ยวชาญในการต่อสู้เป็นอย่างดี และแม้แต่คนขับรถม้าก็ยังเป็นถึงวอริเออร์ระดับ 2 แต่พวกเขามีเพียงเเค่อาวุธเบาและมีจำนวนไม่ถึง 50 คน ธนูธรรมดาสามารถสร้างความเสียให้กองทัพม้าได้จำกัด และในกลุ่มของผู้ที่บุกเข้ามายังมีเมจระดับสูงอีกด้วย! เมื่อนักเวทย์ผู้นั้นเลิกการซ่อนเร้นออร่าของตัวเอง คนในคาราวานสินค้าก็รับรู้ถึงเค้าลางของความหายนะในทันที อีกฝ่ายเป็น --- เกรทเมจระดับ 12 ! แม้แต่ขุนนางระดับสูงอย่างเอิร์ลไคล์ก็ยังต้องปฎิบัติกับกองทหารม้าระดับนี้อย่างอ่อนน้อม ดังนั้นก็ชัดเจนว่าผู้สั่งการกองทัพทหารม้าเหล่านี้น่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าขึ้นไป
ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาเตรียมพร้อมต่อสู้ ความหวังของพวกเขาก็คือขอให้ตนเองอย่าได้เป็นเป้าหมายของทหารม้าและกองทัพทหารม้านี้ แต่แล้วความหวังของพวกเขาก็ต้องมืดมัว!
...
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นบนถนนนัววูดอร์อีกครั้ง กาตอนอยู่บนหลังม้าศึกสีดำ เขากำลังควบม้าทะยานผ่านถนนเพื่อไปหยุดที่หน้าประตูของโรงเเรมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง แต่เขากลับไม่พบคาราวานขนสินค้าที่คุ้นเคยอยู่บริเวณนั้นเลย และในคอกม้าก็ว่างเปล่า!
กาตอนขมวดคิ้ว บังคับม้าศึกสีดำให้หมุนไปรอบๆ เสียงกีบเท้าของมันกระทบกับพื้นดังลั่นไปทั่ว กาตอนรีบควบม้าทะยานออกไปตามถนนอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ทั้งม้าและคนหายลับไปในความมืด
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**