เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0099
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 99 : อัคคีร่วงหล่น
ฉินหยุนค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามา แม้เขาสวมใส่ชุดเรียบง่าย ทว่าท่วงท่านั้นสง่างามและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ เป็นเขามั่นใจแต่ไม่ได้อหังการ เขาสงบเยือกเย็นไม่เหมือนดังอายุที่เผยให้เห็น นับว่าดึงดูดผู้คนได้ไม่น้อยแล้ว
สายตาทุกคู่ตอนนี้จับจ้องมองที่ตราทองแดงบนอกซ้ายของเขา!
นี่คือเหรียญตราที่มีแต่อาจารย์จารึกเท่านั้นจึงครอบครอง มันเปรียบเสมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง บ่งบอกว่าเขาเป็นอาจารย์จารึกระดับต้น
ทุกคนต่างทราบว่าฉินหยุนอายุเพียงสิบห้ากับอีกครึ่งปี!
เรียกได้ว่าเขาอ่อนเยาว์กว่าเหลียงซั่วจินถึงสี่ปี แต่แล้วตอนนี้กลับได้เป็นอาจารย์จารึกระดับต้นเรียบร้อยแล้ว บรรดาอาจารย์จารึกอาวุโสหลายคนล้วนอึ้งทึ่งกันทั้งสิ้น
ผู้จัดการต้วนเฉียนปรากฎตัว เขายิ้มและกล่าว “ครั้งนี้เหมือนจะมีคนเข้าร่วมเพิ่มขึ้นไม่น้อย โดยรวมแล้วราวแปดสิบคนเห็นจะได้”
“ท่านผู้จัดการ ฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกแล้วจริงหรือ?” อาจารย์เว่ยแทบไม่อาจยอมรับ
ต้วนเฉียนหัวเราะ “ฉินหยุนสามารถขัดเกลายันต์ ท่านเป็นประจักษ์พยานถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง! หลังเขาก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก เขาจึงขัดเกลาอาวุธวิญญาณระดับต่ำขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ทั้งยังสามารถจัดตั้งค่ายอาคม”
ความจริงที่ว่าฉินหยุนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก เป็นสิ่งที่หลายคนทราบอยู่แล้ว แม้กระนั้นได้ยินอีกครั้งก็ยังแทบไม่อยากเชื่ออยู่ดี
โดยเฉพาะกับคนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่า กว่าฉินหยุนจะก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี กระทั่งว่าอาจฝึกฝนวิถีวิญญาณผิดพลาดด้วยซ้ำ
แต่แล้ว เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้น ฉินหยุนสามารถเลื่อนพลังสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก นับเป็นการตบหน้าพวกเขารุนแรงยิ่งแล้ว
และถึงตอนนี้ เรื่องราวที่แทบไม่อาจยอมรับได้ที่สุดคือ ฉินหยุนถึงกับได้เป็นอาจารย์จารึกระดับต้น!
ภายในตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์ของพวกเขาก็อายุเข้าไปสิบเก้าแล้วยามเมื่อได้เป็นอาจารย์จารึกระดับต้น เพราะแบบนี้จึงเป็นเรื่องยากได้เห็นอาจารย์จารึกทั้งที่อายุยังเยาว์!
แต่แล้ววันนี้ ฉินหยุนที่โดนปลดจากตำแหน่งครั้งอดีต กลับมีความก้าวหน้าเติบโตอย่างน่าสะพรึงทั้งที่เว้นว่างไปถึงห้าปี ทุกผู้คนล้วนทราบกันดีว่าเขาต้องแบกรับความทุกข์ทรมานเพียงใดกว่าจะมาถึงตรงจุดนี้ได้!
เหลียงซั่วจินกัดฟันกรอด เพราะฉินหยุนปรากฏตัว แสงเจิดจรัสรอบกายเขาจึงถูกพรากเอาไป
“ไม่เลว ไม่เลว เป็นเรื่องดีที่คิดเข้าร่วมหาประสบการณ์ หากเจ้าต้องการได้อันดับที่ดี เช่นนั้นจงอย่าได้นับครั้งนี้น่าจะดีกว่า” อาจารย์เว่ยแค่นยิ้มออก
บุตรชายของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน และตอนนี้ฉินหยุนที่เขาเกลียดชังที่สุด ถึงกับได้มาเป็นอาจารย์จารึกระดับต้น ใจของเขาแทบหลั่งเลือดแห่งความเกลียดชังออกมาจนล้นกาย
ฉินหยุนเพียงยิ้มอ่อนตอบรับ
ต้วนเฉียนกล่าว “การแข่งขันวันนี้จะแตกต่างจากการแข่งขันครั้งก่อน ครั้งนี้พวกเราต้องการให้ทุกท่านหลอมเหล็กน้ำหนักหนึ่งหมื่นจินเป็นแท่งเหล็กวิญญาณ! โปรดจดจำว่าวัตถุตั้งต้นเป็นเหล็กหนักหนึ่งหมื่นจิน ไม่ใช่เหล็กวิญญาณ!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วแน่นขณะอาจารย์จารึกคนอื่นร้องออกอย่างประหลาดใจ
เหล็ก แน่นอนว่ามันคือเหล็กที่ผู้คนทั่วไปใช้ เหล็กประเภทนี้ถูกหลอมขึ้นจากแร่เหล็ก มันแตกต่างจากเหล็กวิญญาณ เหล็กทั่วไปไม่มีพลังวิญญาณ และมันยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ทั้งยังไม่บริสุทธิ์
มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมเหล็กเป็นเหล็กวิญญาณ แต่กระบวนการออกจะยากไปบ้าง
นอกจากนี้ มันยังเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะแปรเปลี่ยนเหล็กหนักหนึ่งหมื่นจินให้เหลือขนาดเพียงปลายนิ้วมือ
“นี่ไม่ยากเกินไปหรือ?” คนจากตำหนักดวงดาวกล่าวถาม
ต้วนเฉียนยิ้มกล่าว “ตำหนักจารึกเทวะของเราทราบว่าตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามของท่านต้องการเข้าร่วม เพราะแบบนั้นพวกเราจึงจัดเตรียมวัตถุล้ำค่ายิ่งไว้เป็นรางวัลของอันดับหนึ่ง เพราะแบบนั้นระดับความยากจึงเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย”
ทุกคนต่างสบถภายในใจ ชัดเจนว่ากฎการแข่งขันครั้งนี้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยตำหนักจารึกเทวะ
ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามส่งคนหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้มีฝีมือเข้าร่วม มันจะยิ่งเป็นการแข่งขันที่ยากยิ่งขึ้น โอกาสที่ได้รับนับว่าน้อยนิดแล้ว
“ผู้จัดการ นี่หมายความถึงรางวัลอันดับหนึ่งจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง เช่นนั้นสินะ?” อาจารย์เว่ยยิ้มกล่าว “ท่านพอจะบอกรายละเอียดก่อนได้หรือไม่? เช่นนั้นพวกเราจะได้ตัดสินใจว่าควรลงทะเบียนหรืออย่างไรดี”
หลอมเหล็กวิญญาณขนาดเท่าปลายนิ้วมือ จากเหล็กหนักหนึ่งหมื่นจินนับเป็นงานโหดหิน
อาจารย์จารึกกลุ่มนี้ตามปกติจะไม่ทำงานยากลำบากเช่นนั้น โดยเฉพาะกับอาจารย์จารึกรุ่นอาวุโส พวกเขามักส่งงานหลอมเหล็กวิญญาณให้กับผู้ใต้บัญชาเสียด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นก็ซื้อหามันโดยตรงเพื่อความสะดวกยิ่งกว่า
“อัคคีร่วงหล่น!” คำของต้วนเฉียนพอกล่าวออก อาจารย์จารึกทุกคนในโถงต่างเผยความยินดีกันออกมาไม่อาจปิดได้มิด
ใจของฉินหยุนก็เต้นระรัวยินดีเช่นกัน!
ตำนานกล่าวว่า วิญญาณยุทธ์อัคคีร่วงหล่นได้เคลื่อนคล้อยลงมาจากท้องฟ้า หากมันหลอมรวมเข้าด้วยกันได้สำเร็จ วิญญาณยุทธ์จะเลื่อนระดับขึ้นกลายเป็นวิญญาณยุทธ์อัคคีเทวะ
เมื่อได้เห็นสีหน้าทุกผู้คนที่นี้แตกตื่น ต้วนเฉียนจึงหัวเราะ “อันที่จริงอัคคีร่วงหล่นไม่ได้น่าทึ่งเหมือนดังตำนานกล่าว มันไม่อาจทำให้ผู้คนได้รับวิญญาณยุทธ์อัคคีเทวะในทันที และเพียงแค่ช่วยให้วิญญาณยุทธ์เลื่อนระดับขึ้นเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น
“ยกตัวอย่าง ความสามารถในการเพิ่มระดับของวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองให้เป็นระดับแพลทินัม หรือสูงขึ้นไปกว่านั้น”
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น สิ่งนี้ก็นับได้ว่าล้ำค่ายิ่งแล้ว
ฉินหยุนมองทางผู้คนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม พวกเขาก็คล้ายอยากได้อัคคีร่วงหล่นกันตัวสั่น หรือก็คือ สิ่งนี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแม้กับตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม
“แล้วมันต่างกับศิลาวิญญาณลอยล่องอย่างไรหรือขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม เพราะเขาก็มีศิลาดังกล่าวสีทองม่วงอยู่ก้อนหนึ่ง
ต้วนเฉียนตอบคำ “แตกต่างอย่างมาก ยกตัวอย่าง ศิลาวิญญาณลอยล่องสีทอง จะช่วยทำให้วิญญาณยุทธ์เลื่อนระดับขึ้นเป็นทอง นั่นเป็นขีดจำกัดที่มันสามารถทำให้วิญญาณยุทธ์ก้าวหน้าได้”
“อีกทางหนึ่ง อัคคีร่วงหล่นแตกต่างออกไป มันสามารถเพิ่มระดับของวิญญาณยุทธ์ไฟระดับใดก็ได้ ยกตัวอย่างเจ้าในตอนนี้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วง หากเจ้าสามารถเพิ่มพลังเป็นอีกระดับหนึ่งได้ เช่นนั้นคิดว่าเป็นอย่างไรเล่า?”
ทุกผู้คนล้วนสูดลมหายใจเข้าลึก วิญญาณยุทธ์ระดับทองม่วงก็นับได้ว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสูงสุดที่พวกเขาทราบแล้ว
พวกเขาคิดอยากทราบคำตอบ แต่ก็ไม่อยากเป็นพยานรู้เห็นต่อการเลื่อนระดับวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงของฉินหยุน
“ก็ตามนั้น คิดอยากลงทะเบียนหรือไม่แล้วแต่การตัดสินใจส่วนบุคคล!” ต้วนเฉียนหัวเราะดังให้ได้ยิน
เมื่อฉินหยุนเห็นสีหน้าผู้อื่น เขาจึงทราบว่าค่าลงทะเบียนต้องไม่ใช่เล่นแล้ว นอกจากนี้เขายังไม่มีเหรียญผลึกอยู่กับตัวมากสักเท่าใดนัก
“ห้าแสนเหรียญผลึกเหมือนเดิม?” อาจารย์เว่ยเป็นคนแรกที่ก้าวเดินออก หากวิญญาณยุทธ์ไฟของเขาเลื่อนระดับ พละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ไม่ต้องกล่าวถึงห้าแสนเหรียญผลึก ต่อให้เป็นห้าล้านเหรียญผลึกก็นับว่าคุ้มค่า
“ปีนี้ราคาแปดแสนเหรียญผลึก และผู้เยาว์ไม่จำเป็นต้องจ่าย” ต้วนเฉียนยิ้มกล่าว
ผู้ใหญ่ถูกนับก็ต่อเมื่ออายุสิบหกปี และฉินหยุนปีนี้อายุเพียงสิบห้าปี ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าลงทะเบียน เรื่องนี้ค่อยทำเอาเขาถอนหายใจโล่งอกได้
กฎนี้มีมานานยิ่งแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทักท้วง
“แปดแสนเหรียญผลึก!” อาจารย์เว่ยวางเงินอย่างใจกว้าง
ต้วนเฉียนยิ้มขณะรับแปดร้อยเหรียญม่วงเก็บเข้าไป อาจารย์จารึกท่านอื่นเองก็ร่วมลงทะเบียนและจ่ายค่าธรรมเนียม แต่ไม่มีใครแม้สักคนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามเข้าร่วม
“เรื่องนี้รอได้หรือไม่?” ผู้นำของตำหนักดวงดาวกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ ท่าทีอหังการในตอนแรกยามมาถึงนั้นเลือนหายไปแล้วเช่นกัน
นี่สมควรเป็นเพราะกลุ่มของพวกเขาไม่มีใครนำเหรียญผลึกติดตัวมาด้วย!
ค่าลงทะเบียนคือแปดแสนเหรียญผลึกต่อคน ไม่มีทางที่ผู้เยาว์เหล่านี้จะมีความสามารถพอจ่าย ทั้งนี้พวกเขายังมีกันถึงยี่สิบคน แค่นั้นก็เป็นเงินมากถึงสิบหกล้านเหรียญผลึกแล้ว!
หากต้องลงทะเบียนอาจารย์จารึกอาวุโสของพวกเขาด้วย แบบนั้นจะกลายเป็นเงินปริมาณมหาศาลเกินจะกล่าว ถึงตอนนั้นกระทั่งว่าตำหนักจารึกเทวะต้องส่งมอบอัคคีร่วงหล่นออกไป ก็แทบไม่นับเป็นการสูญเสียแต่อย่างใด
“พวกท่านมั่นใจหรือว่าอันดับหนึ่งนั้นต้องได้รับแน่นอน?” แม้เขาจะยิ้มกล่าวอย่างสุภาพ แต่ก็เผยให้เห็นถึงการเย้ยหยันแอบแฝง
“ในหมู่พวกเรายี่สิบคน หนึ่งในพวกเราต้องได้อันดับหนึ่ง!” หลังจากผู้นำจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามรู้สึกคล้ายโดนยั่วยุ เขาจึงตะโกนออก “เรื่องนี้สามารถรออีกหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะส่งเรื่องให้คนนำเหรียญผลึกมาเพื่อชำระค่าลงทะเบียน”
ต้วนเฉียนยังคงยิ้มไม่เสื่อมคลายขณะกล่าวรับคำ “ข้าให้พวกท่านทั้งหมดลงทะเบียนก่อนได้ เช่นนั้นพวกเราจะได้เริ่มการแข่งขันในช่วงบ่ายวันนี้”
อาจารย์จารึกแทบทุกคนล้วนอิจฉาฉินหยุน ถึงกับสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด กระทั่งว่าไม่ได้รับอันดับหนึ่ง แต่ก็ได้นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสั่งสมประสบการณ์แล้ว
“ก็เป็นตามนี้ การลงทะเบียนแข่งขันแปรธาตุประจำปีนี้จะสิ้นสุดลงในช่วงบ่าย!” ต้วนเฉียนกล่าวประกาศก้อง