ตอนที่ 11 การลอบสังหารอย่างฉับพลัน
ตอนที่ 11 การลอบสังหารอย่างฉับพลัน
ตระกูลจี้เป็นตระกูลขุนนางผู้หลอมสร้างอาวุธแห่งรัฐนภากระจ่าง พวกเขาเป็นกลุ่มผู้หลอมสร้างและมีชื่อเสียงในดินแดนใกล้เคียงอีกด้วย
ตลอดหลายปีอาวุธที่สกุลจี้หลอมสร้างนั้นได้รับการยกย่องเชิดชูจากยอดฝีมือแทบทุกคนและไม่เคยมีปัญหาใดๆ ดังนั้นเรื่องการตีคืนสินค้านั้นเป็นอะไรที่เกิดขึ้นยากมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการตีคืนสินค้ามูลค่านับสองล้าน !
ใบหน้าของจี้เทียนซิงมืดมน “น้องสอง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ผู้ใดกล้าตีคืนสินค้าของสกุลจี้เรา ?”
“เป็นตระกูลกู่” จี้ห่าวเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธและความขุ่นเคือง เขากล่าวต่อไปอีกว่า
“ตระกูลกู่สั่งผลิตกระบี่ล้ำลึก 50 เล่มในเวลา 1 เดือนที่โรงหลอมของพวกเรา มูลค่า 2,230,000 เหรียญ”
“เมื่อวานนี้เป็นวันส่งมอบ แต่โรงหลอมสาขาชานเมืองทางใต้แจ้งกลับมาว่า ตระกูลกู่ไม่เพียงแค่ต้องการคืนสินค้า แต่พวกมันยังต้องการเงินมัดจำคืนอีกด้วย !”
จี้เทียนซิงเข้าใจเหตุผลทั้งหมดในทันทีว่าการขอคืนสินค้าและเงินมัดจำนั้นย่อมสืบเนื่องมาจากการตายของกู่เฮา
เขาทำอะไรไม่ได้เพียงแค่แสยะยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อตระกูลกู่ต้องการตีคืนก็ปล่อยพวกมันไป ไม่ต้องไปสนใจ !”
“ตระกูลจี้ของเราเป็นตระกูลหลอมสร้างอาวุธชั้นเลิศมานักต่อนักและเป็นที่รู้จักกันดีในรัฐนภากระจ่าง พวกเราไม่เคยขาดลูกค้า ในเมื่อตระกูลกู่ไม่ซื้อ คนอื่นก็ซื้อ”
จี้ห่าวขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยความกังวล “แต่ว่าพี่ใหญ่ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากเราปล่อยให้ตระกูลกู่คืนสินค้าล็อตใหญ่ขนาดนี้ อาจมีข่าวไม่ดีแพร่ออกไปได้ว่าสินค้าของเรามีปัญหาและย่อมต้องมีคนฉวยโอกาสนี้โจมตีตระกูลจี้”
“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าท่านน่าจะลองไปตรวจสอบดูก่อน นี่มันเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของตระกูลจี้”
จี้เทียนซิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปที่นั่น”
ในที่สุดชายหนุ่มก็หันหลังและเดินออกไปพร้อมทั้งบอกให้เด็กรับใช้ในตระกูลไปเตรียมม้า
จี้ห่าวติดตามไปอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่ ข้าไปกับท่านด้วย !”
จากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงและจี้ห่าวก็ออกจากเคหะตระกูลจี้ พวกเขาขี่ม้าเดินทางไปยังโรงหล่ออาวุธในเขตชานเมืองทางใต้
โรงหล่อกระบี่ล้ำลึกของตระกูลจี้นั้นตั้งอยู่บนภูเขาในเขตชานเมืองทางใต้ห่างจากเมืองจักรวรรดิมากกว่าหกสิบไมล์
มันไม่ได้เป็นเหมือนโรงหล่อมากนัก แต่เรียกว่าเป็นคฤหาสน์ตระกูลจี้ขนาดใหญ่ซึ่งครอบครองพื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งของภูเขาจะดีกว่า...
ตระกูลจี้ทำให้ภายในของภูเขาว่างเปล่าและสร้างโกดังขนาดใหญ่หลายแห่งเพื่อเก็บวัสดุและแร่ที่ใช้โดยผู้หลอมสร้างอาวุธ
นอกจากนี้ยังมีเตาหลอมขนาดใหญ่ในภูเขา เมื่อเกิดเปลวไฟจากการหลอมสร้างก็สามารถเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นสีแดงและแม้กระทั่งเมฆก็เปลี่ยนเป็นสีแดงคละคลุ้งไปด้วยหมวกควัน
มีช่างฝึกหัดหลอมสร้างอาวุธและแรงงานกว่า 2,000 คนในโรงหลอมอาวุธ และมีผู้หลอมสร้างอาวุธหลายสิบคนที่ทำงานให้กับตระกูลจี้อยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังมีผู้พิทักษ์อีกกว่า 300 คนที่คอยดูแลโรงหลอมอาวุธซึ่งหลายคนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นสูง
ทุกคนที่ได้เห็นโรงหลอมอาวุธที่ชานเมืองทางใต้แห่งนี้ย่อมต้องประหลาดใจในความยิ่งใหญ่อันน่าประทับใจนี้
จี้เทียนซิงและจี้ห่าวใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อเดินทางมายังโรงหล่อกระบี่ในเขตชานเมืองทางใต้ของตระกูลจี้
หลังจากเข้าสู่โรงหล่อ จี้เทียนซิงก็เดินตรงไปพบผู้ดูแลโรงหล่อโดยตรงและสอบถามรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด
ผู้ดูแลโรงหล่อแห่งนี้เป็นสหายที่ไว้วางใจได้ของจี้ชางคง อีกทั้งเขายังคุ้นเคยกับจี้เทียนซิงเป็นอย่างดี ซึ่งชายหนุ่มก็ไว้วางใจในการทำงานและความกระตือรือร้นของอีกฝ่าย
ผู้ดูแลทราบข่าวเรื่องการสูญเสียพลังของจี้เทียนซิงแล้ว เขาเพียงสอบถามสารทุกข์สุขดิบไม่กี่คำหลังจากได้เห็นจี้เทียนซิง
ในขณะที่เดินเคียงคู่พลางพูดคุยกัน ผู้ดูแลก็กล่าวอย่างสง่างามว่า “คุณชายใหญ่ กระบวนการหลอมสร้างกระบี่เหล่านี้ล้วนถูกควบคุมโดยหัวหน้างานส่วนตัวของข้าเอง มันย่อมไม่มีปัญหาใดๆในการหลอมสร้าง”
“การตีคืนสินค้าของตระกูลกู่นั้นเป็นที่น่าอึดอัดและไร้เหตุผลสิ้นดี พวกมันไม่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม ตอนนี้อาวุโสและผู้ติดตามของตระกูลกู่ก็ยังนั่งอยู่ที่ห้องโถง”
จี้เทียนซิงตรวจสอบสินค้าแล้ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากเป็นเช่นนี้ พวกมันต้องการคืนสินค้าก็ให้คืนไป แต่เงินมัดจำย่อมต้องถูกพวกเราริบไว้”
“จากนี้ไปตระกูลจี้ของเราจะไม่ขายอาวุธใดๆให้กับตระกูลกู่อีกต่อไป ! สำหรับกระบี่ทั้ง 50 เล่ม เราจะหาผู้ซื้อรายใหม่”
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้ จี้เทียนซิงก็เดินออกจากโรงหลอมพร้อมกับจี้ห่าว
เมื่อทั้งสองลงจากภูเขามันก็เป็นเวลาใกล้จะเที่ยงวันแล้ว ถนนหนทางที่อยู่ใต้ภูเขาไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงชายหนุ่มทั้งสองเท่านั้นที่ควบม้ามาด้วยกัน
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทั้งสองก็ขี่ม้าผ่านป่าสีเขียวแห่งหนึ่ง
จี้เทียนซิงพบในทันใดว่าถนนเส้นหลักที่ไกลออกไปสิบฟุตข้างหน้านั้นมีเชือกขวางทางพวกเขาไว้อยู่
"หยุด !"
จี้เทียนซิงเปล่งเสียงเพื่อสั่งให้ม้าสีขาวที่กำลังขึ้นขี่อยู่นั้นหยุดวิ่ง
ม้าสีขาวส่งเสียงร้องและหยุดวิ่งกะทันหัน
จากนั้นจี้ห่าวที่ขี่ม้าตามหลังมาก็สั่งให้ม้าหยุดตามและมาที่ด้านข้างของจี้เทียนซิง
“น้องสองระวังด้วย ! ข้าเกรงว่าจะมีการซุ่มโจมตีที่นี่ !”
จี้เทียนซิงกล่าวเตือนจี้ห่าวด้วยเสียงต่ำและชักกระบี่จากข้างเอวออกมา – กระบี่มังกรโลหิต
จี้ห่าวตระหนักสถานการณ์ได้ในทันที เขาเริ่มตื่นตัวและชักกระบี่ระดับล้ำลึกสีทองข้างเอวออกมาเช่นกัน สายตาจ้องมองไปรอบๆด้วยความระแวดระวัง
ในเวลานี้เอง ป่าทึบทั้งสองด้านของถนนหลักก็มีเสียงดังขึ้น
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !
ในเวลาต่อมาผู้ฝึกยุทธ์หกคนที่สวมใส่ชุดรัดรูปสีดำและสวมหน้ากากก็พุ่งออกมาเหมือนเสียงระเบิด พวกมันควงกระบี่และพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งสอง
"ฆ่า !"
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหกคนนี้เป็นนักฆ่า การเคลื่อนไหวของพวกมันรวดเร็วและแข็งแกร่งมาก พวกมันวิ่งไปที่เบื้องหน้าของจี้เทียนซิงและจี้ห่าวอย่างรวดเร็วยิ่ง
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงจะตกลงสู่ระดับปรับแต่งกายาขั้นที่สาม แต่ประสบการณ์ในเชิงยุทธ์ของเขาก็ยังคงอยู่ ดวงตาของเขายังคงคมกริบและน่ากลัว
เมื่อมองไปที่การเคลื่อนไหวและความเร็วของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหกคนนี้ จี้เทียนซิงตัดสินในใจว่าพวกมันทั้งหกน่าจะอยู่ในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 8
“เช้ง เช้ง เช้ง !”
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหกคนชักกระบี่ออกมาอย่างพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกันและมุ่งหน้าไปยังจี้เทียนซิงและจี้ห่าว
ผู้ฝึกยุทธ์ 4 คนกลุ้มรุมจี้เทียนซิง ส่วนอีก 2 คนกำลังโจมตีจี้ห่าว
เมื่อได้เห็นเงากระบี่มาถึงเบื้องหน้า จี้เทียนซิงก็ใช้กระบี่มังกรโลหิตกวาดปัดป้องการโจมตีเหล่านั้นโดยสัญชาตญาณ
จี้เทียนซิงรอดพ้นจากการถูกสับสังหารอย่างหวุดหวิด แต่เขาก็ถูกโจมตีจนกลิ้งตกลงจากหลังม้า
เขามีเลือดไหลซึมออกมาจากปากหลังการปะทะและแขนขวาก็รู้สึกชาด้าน ดังนั้นเขาไม่มีแรงกายต่อต้านอะไรได้อีก
"ตาย !"
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสี่ร่ำร้องออกมาอีกครั้งและกวัดแกว่งกระบี่เข้าจ้วงแทงเขา
จี้เทียนซิงรีบวิ่งไปรอบๆและกลิ้งตัวไปยังที่ข้างถนน ถึงแม้ว่าใบหน้าจะซีดเซียวกลายเป็นสีเทาดูทุลักทุเล แต่ชายหนุ่มก็สามารถรอดจากการสับสังหารของกระบี่ทั้งสี่เล่มและเอารอดชีวิตมาได้
เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสี่กำลังตามไล่ล่าดั่งเสือที่ปราดเปรียว ชายหนุ่มก็กระโจนตัวเข้าไปในป่าทันที
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็โจมตีเข้ามาในฉับพลันเข้าใกล้หน้าอกของเขา
ดวงตาของจี้เทียนซิงจ้องไปที่กระบี่เล่มนั้นและสังเกตเห็นว่า มันเป็นกระบี่ในมือของ 1 ใน 2 ผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งจะปิดล้อมโจมตีจี้ห่าว
ชายหนุ่มเข้าใจในทันทีว่าเป้าหมายของนักฆ่าสวมหน้ากากทั้งหกคนนี้ก็คือเขา !