เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0098
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 98 : การแข่งขันแปรธาตุ
ผังวิญญาณที่จำเป็นต่อค่ายอาคมรวบรวมน้ำ ทั้งหมดล้วนเป็นผังวิญญาณพื้นฐาน การได้รับพวกมันไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นฉินหยุนจึงค่อนข้างเชี่ยวชาญผังวิญญาณนี้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
เขาเคยติดตั้งค่ายอาคมขนาดใหญ่อย่างค่ายอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันมาก่อน ดังนั้นแค่ค่ายอาคมรวบรวมน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาแต่อย่างใด ไม่นานเขาก็ติดตั้งมันสำเร็จได้แล้ว
หลังแกะสลักผังวิญญาณบนหนังสัตว์ ฉินหยุนเพียงแค่วางเหรียญผลึกหรือเหรียญม่วงลงไปเพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายอาคมก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้น
จากด้านข้าง ต้วนเฉียนรับชมทั้งยังลอบประหลาดใจ นี่เป็นเพราะฉินหยุนทำได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังดูเชี่ยวชาญการวาดผังวิญญาณไม่ใช่น้อย เช่นกัน การแกะสลักก็เป็นไปได้อย่างดียิ่ง
เขาพยักหน้ารับเอ่ยชม “ค่ายอาคมรวบรวมน้ำ ทำได้ดี!”
ฉินหยุนเริ่มการทำงานของค่ายอาคม ไม่ช้า จิตวิญญาณน้ำที่โปร่งแสงและเป็นประกายจึงเริ่มหยดลงบนอ่างไม้ตรงกลางห้อง
“เจ้าผ่านการรับรองเป็นอาจารย์จารึกแล้ว ข้าจะมอบเหรียญตราอาจารย์จารึกระดับต้นแก่เจ้าเดี๋ยวนี้เลย!” ต้วนเฉียนหัวเราะยินดี “เจ้านับเป็นอาจารย์จารึกอายุน้อยที่สุดเท่าที่ตำหนักเราเคยพบเจอแล้ว!”
ฉินหยุนเพียงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด
ต้วนเฉียนนำเอาตราสัญลักษณ์ออกมาพร้อมสลักชื่อฉินหยุนไว้ คล้ายเขาก็ยินดีกับเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นกัน!
อาจารย์จารึกอายุเพียงสิบห้าปี กระทั่งในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ก็ไม่เคยปรากฏบุคคลเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเพียงแค่ตำหนักจารึกเทวะ
เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มสงบที่ใบหน้าฉินหยุน เขาก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้
หลังความลำบากยากแค้นห้าปี ไม่เพียงแต่เป็นองค์ชายรัชทายาทที่พิการซึ่งสามารถก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก แต่ยังได้เป็นอาจารย์จารึก พรสวรรค์เช่นนี้คงมีแต่เชี่ยวเย่ว์หลานแล้วที่สามารถเทียบเคียงได้
“ฉินหยุน ในอีกสองวัน ตำหนักจารึกเทวะของเราจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันแปรธาตุ เจ้าควรเข้าร่วมนะ!” ต้วนเฉียนแกะสลักป้ายชื่อเรียบร้อยพร้อมส่งให้ฉินหยุนประทับตราเลือดเป็นการยืนยันตัวตน
ฉินหยุนเอ่ยถามขณะหยดเลือดลงไป “การแข่งขันแปรธาตุหรือขอรับ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
ต้วนเฉียนหัวเราะ “เจ้าก็คงไม่ทราบแหละ แต่ในหมู่อาจารย์จารึก สิ่งนี้นับว่าเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียงไม่น้อย เมื่อเวลามาถึง บรรดาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจะเข้าร่วม ดังนั้นเจ้าก็ต้องเข้าร่วมให้ได้ละ”
“แล้วการแข่งขันหลักคืออะไรขอรับ?” ใจฉินหยุนเริ่มสั่นไหวขณะเอ่ยถาม
“การหลอม... เป็นการหลอมเหล็กพื้นฐานให้กลายเป็นเหล็กวิญญาณ หากเป็นอาจารย์จารึกระดับสูง คุณภาพของเหล็กวิญญาณก็จะยิ่งดีมากขึ้น” ต้วนเฉียนอธิบาย “อาจารย์เว่ยก็เป็นผู้ชนะเลิศมาแล้วสองครั้งในสายการแข่ง”
“อาจารย์เว่ยก็เข้าร่วมด้วย?” ดวงตาฉินหยุนเบิกออกกว้าง แม้อาจารย์เว่ยเป็นคนโหดเหี้ยมชั่วช้า แต่อีกฝ่ายก็มีฝีไม้ลายมือการหลอมอุปกรณ์ของจริง หาไม่แล้วคงไม่มีผู้คนมากมายนับหน้าถือตาเขาพร้อมติดสอยห้อยตามมากมายเพียงนั้น
ต้วนเฉียนพยักหน้า “มีเพียงอาจารย์จารึกที่เข้าร่วมได้ เจ้าก็เป็นอาจารย์จารึกแล้ว ดังนั้นจงเข้าร่วมเสีย นี่เป็นหนึ่งในการนัดพบครั้งใหญ่ของตำหนักจารึกเทวะ อาจารย์เว่ยมีชื่อเสียงได้ก็เพราะได้รับอันดับหนึ่งมาสองสมัย”
ฉินหยุนพยักหน้ารับเล็กน้อย หากเป็นการแข่งขันประลองยุทธ์หรืออะไรแบบนั้น คนที่เข้าร่วมก็ต้องอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าหรือไม่ก็หก แบบนั้นเขายังมีความมั่นใจ
แต่ถึงกับมีคนอย่างอาจารย์เว่ยเข้าร่วมการแข่งขันแปรธาตุ เขาไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าใดนัก
เมื่อเห็นฉินหยุนขาดความมั่นใจ ต้วนเฉียนจึงยิ้มให้ “ก็แค่การหลอมเหล็กวิญญาณ! เจ้านั้นไม่แย่กว่าผู้อื่นหรอก!”
ฉินหยุนมีพื้นฐานการหลอมค่อนข้างดี แต่ว่า เขาไม่เคยนำตนเองไปเทียบเปรียบกับผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าตนเองทำได้ดีระดับใด
“อืม หลังการแข่งขัน เราน่าจะได้รู้รายละเอียดและเข้าใจอาจารย์จารึกคนอื่นมากขึ้น” ฉินหยุนพยักหน้า
* * *
สองวันถัดมา ฉินหยุนฝึกฝนหลอมเหล็กวิญญาณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในกระบวนการหลอมเหล็กวิญญาณ คือการนำแร่เหล็กธรรมดาใส่เข้าเตาหลอมที่มีผังแปรธาตุ ทั้งการแกะสลักและเปลวเพลิงเป็นของเขาเองทั้งสิ้น เขาจึงสามารถหลอมแร่เหล็กและทุบตีมันด้วยค้อนครั้งแล้วครั้งเล่าได้
ระหว่างกระบวนการหลอม ต้องกำจัดความไม่บริสุทธิ์ออกจากตัวแร่ และใช้กำลังภายในเพื่อผสมผสานหลอมขึ้นเป็นเหล็กวิญญาณ
แร่เหล็กหนักราวหนึ่งพันจิน จะถูกขัดเกลาจนกลายเป็นแท่งเหล็กวิญญาณขนาดหัวนิ้วมือ นี่คือขนาดพื้นฐานของแร่เหล็กวิญญาณที่ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว
หากเขาต้องการเหล็กวิญญาณชิ้นใหญ่ เช่นนั้นก็ต้องนำเหล็กวิญญาณขนาดเล็กหลายแท่งมารวมกันเป็นชิ้นใหญ่เพียงหนึ่ง
ฉินหยุนตีเหล็กวิญญาณเหล่านี้อยู่ในตำหนักจารึกเทวะอยู่หลายต่อหลายครั้งเมื่อนานมาแล้ว เขาได้ผสมเหล็กวิญญาณกับกระดูกของสัตว์ปีศาจเข้าด้วยกันจนเกิดขึ้นเป็นกระดูกเหล็กกล้าคุณภาพดีด้วยซ้ำ
เพื่อได้เป็นอาจารย์จารึก การแปรธาตุและการหลอมคือทักษะที่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญ
“ยิ่งได้แท่งเหล็กขนาดเดียวกันแต่หนักกว่า ยิ่งหมายถึงคุณภาพของแท่งเหล็กที่สูงกว่า การแข่งขันแปรธาตุสมควรต้องใช้พื้นฐานตรงส่วนนี้งั้นสินะ?” ฉินหยุนชั่งน้ำหนักแท่งเหล็กวิญญาณที่เขาทำออกมา เพียงขนาดเล็กน้ำหนักก็กว่าสิบจินเข้าไปแล้ว ซึ่งก็ถือว่าหนักกว่าแท่งเหล็กวิญญาณที่เขาซื้อจากตำหนักจารึกเทวะกว่าสองหรือสามจินได้
หลังผ่านไปสองวันกับการฝึกฝนตีเหล็ก เขาจึงค่อยมั่นใจว่าพัฒนาขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ด้วยเปลวเพลิงทองม่วง เขาสามารถเสริมศักยภาพการหลอมเหล็กได้มหาศาลเลยทีเดียว
* * *
ตำหนักจารึกเทวะเวลานี้ถูกอาบไล้ด้วยแสงอรุณรุ่งอบอุ่น
เช้าวันใหม่มาถึง วันนี้คือวันเริ่มต้นการแข่งขันแปรธาตุ เป็นวันที่ผู้คนต่างรอคอย!
ภายในโถงที่เป็นทางการและงดงาม มีอาจารย์จารึกกว่าห้าสิบคนรวมตัวกันเรียงเป็นแถว
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นอาจารย์จารึกจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่เรียกได้ว่าวัยชรากันแล้วทั้งนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นวัยกลางคน ทางด้านผู้เยาว์ไม่ต้องกล่าวถึง ไม่มีแม้แต่คนเดียว
อาจารย์จารึกเหล่านี้บ่อยครั้งมักจะมีท่าทีอหังการ แต่แล้วเมื่อพวกเขามาอยู่ที่โถงจารึกแห่งนี้ ท่าทีอหังการของพวกเขากลับเก็บเอาไว้มิด
การแข่งขันแปรธาตุจะจัดขึ้นทุกสิบปีต่อหนึ่งครั้ง นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญแก่พวกเขายิ่ง
หากสามารถได้รับอันดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่ชื่อเสียง ทั้งยังจะได้รับรางวัลไม่ใช่น้อย
รางวัลที่ได้รับกระทั่งว่าเป็นอาจารย์จารึกยังต้องเอาจริงเอาจังเพื่อไขว่คว้าพวกมันมา!
โดยเฉพาะในปีนี้ กล่าวว่าตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามได้ส่งคนมาเข้าร่วมด้วย!
“คิดว่าอาจารย์จารึกจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามน่าจะมีกว่ายี่สิบคน” ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา
“ก็ไม่เยอะ! ดูเหมือนตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามก็เหมือนเช่นพวกเรา ทั้งตำหนักดวงดาวกลับมีเพียงแค่ยี่สิบคน” ชายชราอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้น
อาจารย์เว่ยพลันแค่นเสียงกล่าว “บุคคลที่ถูกส่งมาโดยตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เพื่อเข้าร่วมแข่งขันแปรธาตุล้วนอายุยี่สิบถึงสามสิบปี! แต่แล้วในแถบภูมิภาคเรามีอาจารย์จารึกวัยเยาว์กี่คนกัน? ไม่มีเลยแม้สักคน!”
ไม่มีแม้สักคน?
เรื่องนี้ทำเอาบรรดาอาจารย์จารึกอาวุโสหลายท่านรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง!
“ดังนั้น พวกเราจะแพ้พวกคนหนุ่มสาวไม่ได้ ไม่งั้นก็อับอายขายหน้าแย่แล้ว!” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวทั้งยังหัวเราะ
อาจารย์จารึกจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามมาถึงแล้ว!
กลุ่มคนที่เดินเข้ามา ท่วงท่าก้าวเดินของพวกเขาสูงส่ง ทั้งหมดล้วนสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน
แม้พวกเขาสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าความอหังการนั้นไม่ปิดบัง
อีกทางหนึ่ง ผู้อาวุโสคนหนึ่งหันมองที่อาจารย์เว่ยขณะยิ้มและพยักหน้าให้
อาจารย์เว่ยเดินเข้าไปพร้อมยิ้มกล่าวทักทายจางเสวียนด้วยท่าทีมีมารยาท
ทุกผู้คนล้วนลอบริษยาและอิจฉาเมื่อได้เห็น ว่าอาจารย์เว่ยและคนจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม มีความสัมพันธ์อันดีกันเพียงใด
อาจารย์เว่ยมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีพร้อมยิ้มกล่าว “นี่คงเป็นอัจฉริยะแห่งตำหนักทิศใต้ที่มีชื่อเสียงด้านการแกะสลักแล้ว เหลียงซั่วจิน? ถึงกับได้เป็นอาจารย์จารึกระดับต้นด้วยวัยเพียงสิบเก้า ช่างน่านับถือนัก วันนี้ข้าโชคดีแล้วที่ได้พบเจออาจารย์เหลียงที่น่านับถือด้วยตนเอง นับว่าหล่อเหลาและมากล้นด้วยพรสวรรค์นัก สมแล้วที่เป็นผู้โด่งดัง!”
เหลียงซั่วจินยิ้ม ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอหังการขณะตอบกลับ “อาจารย์เว่ยก็เชี่ยวชาญผังวิญญาณที่ผู้อาวุโสหลายท่านนับถือไม่น้อย ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมาไม่น้อยเช่นกัน”
ขณะพวกเขาพูดคุย อาจารย์เว่ยพลันเห็นฉินหยุนก้าวเดินเข้ามา รอยยิ้มพลันแข็งค้าง
“นั่นฉินหยุนนี่?” เมื่ออาจารย์จารึกอาวุโสท่านหนึ่งเห็นฉินหยุน เขาพลันตะโกนอย่างตระหนก
ถึงตอนนี้ ศีรษะทุกผู้คนล้วนหันควับมองทางประตู สิ่งที่พวกเขาได้เห็นคือ เด็กหนุ่มในชุดสีเทา หน้าตาหล่อเหลา และกำลังเดินเข้าสู่โถงที่เงียบงันทันทีเมื่อเขาปรากฏกายขึ้น