เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0097
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 97 : ตรารับรองอาจารย์จารึก
หยวนหยานหยิงยิ้มสดใสที่ใบหน้า เส้นผมของนางยุ่งเหยิงไปบ้าง และเสื้อผ้าก็ทรุดโทรมไม่น้อย ทว่านางกลับดูเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้นางยังดูมีความกล้าหาญมากขึ้น
หยวนหยานหยิงที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับหยวนหยานหยิงที่เต็มไปด้วยความละโมบก่อนหน้า!
“เจ้าเปลี่ยนไปอีกแล้ว ทำเอาข้าเกือบจำไม่ได้!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้างดงามยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก! เมื่อใดที่จิตใจของผู้คนงดงาม เมื่อนั้นคนผู้นั้นก็จะงดงามแท้จริง!”
หยวนหยานหยิงยิ้มบางกล่าว “นี่เป็นเพราะพี่หยุนที่ช่วยปลุกข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นข้าคงกลายเป็นหญิงโฉดชั่วที่แปดเปื้อนไปแล้ว”
หยวนหยานหยิงตอนนี้สามารถบอกได้อย่างชัดเจน ว่าฉินหยุนไม่ใช่ผู้ที่หวังลาภยศอย่างองค์ชายรัชทายาทหรือจักรพรรดิ เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่ของเขา สิ่งเหล่านั้นล้วนเล็กจ้อย
ตอนนี้เย่ฉิงเฟิงผู้อยู่ตำแหน่งสูง ทั้งยังอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าได้ตายไปแล้ว อีกฝ่ายเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่มากกว่า แม้กระทั่งหนึ่งการโจมตีก็ไม่อาจทนได้!
ไม่ว่าทรงอำนาจเพียงใด มันจะมีประโยชน์อันใด? อย่างไรแล้วท้ายที่สุดซึ่งเผชิญก็คือความตายต่อพลังอันแข็งแกร่ง!
ฉินหยุนนับถือหยวนหยานหยิงที่ยิ้มออกราวดวงตะวัน เขาค่อยกล่าวได้อย่างโล่งใจ “ข้าดีใจนะที่เจ้าหลุดพ้นจากโคลนตมได้แล้ว!”
ความรู้สึกผิดปรากฏในดวงตากระจ่างของหยวนหยานหยิง นางถอนหายใจออกมา “เหตุผลที่ข้าหลุดพ้นได้ก็เพราะท่าน แต่แล้ว ครั้งที่ท่านตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ท่านกลับไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ท่านตัวคนเดียวมาตลอด...”
“ในตอนนั้น ทั้งที่ท่านต้องการกำลังใจและการเอาใจใส่ แต่แล้วข้ากลับทำกับท่านเช่นนั้น ข้าต้องขออภัยจากหัวใจ!”
ดวงตากระจ่างชัดและงดงามของนางเปี่ยมล้นด้วยน้ำตา นางรู้สึกอัปยศเกินจะกล่าวจนแทบใจสลาย... หัวใจของนางอยากกลายเป็นขี้เถ้าโบยบินโดยลำพังสักนานแสนนานเพื่อไถ่โทษสิ่งที่ได้ทำลงไป
“อดีตผ่านไปแล้วล้วนเป็นอดีต มากันดีกว่า มาดื่มให้มันหนำใจแล้วลืมเรื่องไม่น่าจำจดในอดีตเสียให้หมดกันดีกว่า!” ฉินหยุนหัวเราะขณะนำเอาไหหมักไวน์ออกมา
หยวนหยานหยิงคว้าไหดังกล่าวเอาและยกกระดกดื่มทั้งหมดในอึกเดียว หน้าของนางแดงเรื่อเล็กน้อย จากนั้นนางค่อยกระแทกไหกับพื้นรุนแรง ทั้งยังหัวเราะออกเสียงดังกล่าว “คราวท่านแล้ว!”
ฉินหยุนยิ้มขณะกระดกไวน์ในอึกเดียวเช่นกัน ทั้งยังกระแทกไหรุนแรงจนแตกพังไป
พวกเขาทั้งสองยิ้มให้กัน พวกเขาได้กลับมาเป็นมิตรกันอีกครั้งหนึ่ง
ฉินหยุนยังคงลูบพยัคฆ์โลหะตัวนี้และเอ่ยถาม “หยานหยิง เกิดอะไรขึ้นกับพยัคฆ์โลหะตัวนี้? เจ้านี่เลื่อนระดับแล้วด้วยใช่ไหม!”
หยวนหยานหยิงพยักหน้าและกล่าว “ครั้งแรกที่ข้าพบมัน ข้าตระหนักได้ว่าข้าน่าจะสื่อสารกับมันได้ ดังนั้นข้าจึงสอนวิธีการฝึกตนของมนุษย์แก่มัน ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะถึงขั้นเลื่อนสู่ระดับเก้า บางทีอาจเป็นเพราะวิญญาณยุทธ์ของมันจึงมีสภาพเป็นสีดำเช่นนี้”
เป็นสีดำ? ฉินหยุนนึกย้อนถึงวิญญาณยุทธ์สั่นไหวของตนที่เป็นสีดำเช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสงสัยต่อวิญญาณยุทธ์ของพยัคฆ์โลหะตรงหน้า
“หลังเลื่อนระดับ มันบอกว่าอยากมาเจอท่าน แต่ข้าเองก็ไม่ทราบว่าพวกเราจะได้เจอกันเมื่อไหร่” หยวนหยานหยิงลูบขนหนาของพยัคฆ์โลหะ “พวกเรารอคอยท่านอยู่ที่ป่าแห่งนี้มาหลายวันแล้ว”
ฉินหยุนพยักหน้ารับขณะมองเข้าไปในดวงตาของพยัคฆ์โลหะและเอ่ยถาม “แล้วหลังจากนี้เจ้าคิดทำอะไรต่อกัน?”
หยวนหยานหยิงตอบกลับ “พวกเราจะหาทางผ่านเทือกเขาเมฆมังกร! มันกล่าวเช่นนั้น พี่หยุน ท่านคิดอยากร่วมทางไปกับพวกเราด้วยหรือไม่?”
เมื่อได้ยินดังนี้ ความคิดของฉินหยุนยิ่งวิ่งไปมารุนแรง แต่เขายังมีอีกหลายเรื่องสำคัญที่ต้องทำ
เขาส่ายหน้า “ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ ในเมื่อพวกเจ้าคิดไป เช่นนั้นก็เดินทางโดยระวัง ข้ามอบนี่ให้แก่เจ้า”
เขาส่งสร้อยข้อมืออสนีบาตสองเส้นแก่หยวนหยานหยิง สิ่งนี้สามารถช่วยเหลือได้มหาศาล นอกจากนี้สำหรับเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากขัดเกลาขึ้นมาใหม่ ทั้งตอนนี้ยังสามารถทำได้ดีกว่า
หยวนหยานหยิงก็มอบกล่องใหญ่แก่เขา ภายในคือเกล็ดเกราะของพยัคฆ์โลหะ มันมีมากกว่าสิบเกล็ด ด้วยเพราะเป็นเกล็ดของสัตว์ปีศาจระดับที่แปด นับว่าล้ำค่าไม่ใช่น้อย
“พี่หยุนรักษาตัว! พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่!” หยวนหยานหยิงเข้ามากอดฉินหยุนพักหนึ่งก่อนจะขี่พยัคฆ์โลหะจากไปไกล
นางได้ประสบพบเจอหลายเรื่องก่อนสามารถเติบโตได้เป็นวันนี้ นางจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และนางก็มีเป้าหมายในอนาคตแล้ว
ฉินหยุนมองหยวนหยางหยิงจากไปพร้อมถอนหายใจ เป็นเขาต้องพบเจอการจากลาอีกครั้งแล้ว
จากนั้นเขาจึงเผาร่างของเย่ฉิงเฟิง ใช้ผังธาตุแสงเพื่อรักษาอาการบาดแผลขณะวิ่งไประหว่างทาง เมื่อถึงทางเข้านครหลวงก็พบว่าฟ้าค่ำมืดแล้ว อาการบาดเจ็บตอนนี้ก็ดีขึ้นไม่น้อย
“ตระกูลเย่เสียผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าไป ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่หลวงมากแล้ว เหอะ ใครกันให้คิดมาหาเรื่องข้า?” ฉินหยุนเพียงมองทางเข้านครหลวงขณะเดินผ่านความมืดยามราตรีกาลเข้าเมืองด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว
* * *
ฉินหยุนมาเยือนนครหลวงอีกครั้งหนึ่ง แม้เขาเติบโตในเมืองนี้ แต่กลับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับมันเลยสักนิด
หลังเข้าสู่นครหลวง เขารู้สึกได้ถึงความกังวลภายในใจ โชคยังดีที่สถานที่ปลายทางคือตำหนักจารึกเทวะ
มีเพียงตำหนักจารึกเทวะจึงทำให้เขารู้สึกวางใจได้
สำหรับเขาแล้ว สถานที่แห่งนี้ปลอดภัยยิ่งกว่าสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
ในห้องชุดของหอหลักแห่งตำหนักจารึกเทวะ ต้วนเฉียนเร่งรีบมาเยี่ยมเยือนหลังทราบว่าฉินหยุนมาถึง
พอฉินหยุนได้เห็นต้วนเฉียน เขาเร่งรีบลุกขึ้นกล่าวทักทายอีกฝ่าย จากนั้นจึงค่อยส่งจดหมายให้
เพียงแค่มอง ต้วนเฉียนก็ทราบได้ว่าฉินหยุนได้รับคำแนะนำให้เข้าร่วมสถาบันซานเสวียน นี่หมายความถึงระดับพลังของเขาก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกแล้ว
แม้เขาตระหนักได้ดีถึงพรสวรรค์ของฉินหยุน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะรวดเร็วได้เพียงนี้
“ครั้งล่าสุดที่เจ้าไปจากที่นี่ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าอีกครั้งที่เจ้ามาที่นี่จะนำสิ่งนี้มาด้วย แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้!” ต้วนเฉียนเปิดจดหมายอ่านขณะยิ้มพยักหน้ารับ
ฉินหยุนยิ้มซุกซน “ท่านปู่ต้วน ข้าไม่ได้มาที่นี่เพียงเพราะเรื่องเข้าร่วมสถาบันซานเสวียน แต่ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องทำด้วยขอรับ”
ต้วนเฉียนเผยความสงสัย หลังคิดชั่วครู่เขาจึงถาม “เรื่องอะไรหรือ?”
ฉินหยุนนำเอาค้อนราชันยักษ์วิญญาณออกมาเหวี่ยงมันเบา ๆ ไปมาหลายครั้ง เขากล่าวยิ้มกว้างว่า “เพื่อเข้าทดสอบเป็นอาจารย์จารึกขั้นต้นอย่างเป็นทางการ!”
ต้วนเฉียนจ้องมองค้อนดังกล่าวด้วยดวงตาเบิกออกกว้าง หลังแตกตื่นไปวูบ เขาค่อยถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม
เพียงมองเขาก็ทราบว่านี่คือค้อนราชันยักษ์วิญญาณ
แม้ไม่ใช่อาวุธวิญญาณระดับราชัน แต่ค้อนราชันยักษ์วิญญาณนี้ก็ขัดเกลาขึ้นจนเป็นอาวุธวิญญาณระดับต่ำ เพียงเท่านี้ก็นับว่าเหนือล้ำได้แล้ว
“นี่เจ้าขัดเกลามันขึ้นมาเองจริงหรือนี่?” ขณะอัศจรรย์ใจ ต้วนเฉียนที่เคยเห็นพิมพ์เขียวของค้อนราชันยักษ์วิญญาณจึงทราบว่ามันเป็นสิ่งที่หลอมได้ยากยิ่ง
กระทั่งว่าเป็นอาวุธวิญญาณระดับต่ำ มันก็ยังไม่ใช่อะไรที่หน้าใหม่อย่างฉินหยุนจะสามารถหลอมขึ้นได้
“วัสดุที่ใช้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขอรับ อย่างไรแล้วนี่ก็เป็นการขัดเกลาครั้งแรกด้วย น่าจะใช้เท่าที่มีไปก่อน” ฉินหยุนส่งค้อนให้ต้วนเฉียนได้รับชม
ต้วนเฉียนรับค้อนมาพร้อมขมวดคิ้วพิจารณาสำรวจ เขาทดลองใส่พลังภายในเข้าไปเพื่อตรวจสอบ บางครั้งก็ส่ายหัว และบางครั้งก็พยักหน้า
เขายังดูต่ออีกชั่วครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวออกมาเชื่องช้า “กระบวนการหลอมวัสดุค่อนข้างวิเศษมาก วัสดุที่ใช้ไม่ดีพอดังที่ว่า แต่มันก็นับว่าเหนือกว่าอุปกรณ์วิญญาณระดับต่ำทั่วไปนัก”
“หากเจ้าต้องการหาข้อผิดพลาด ก็คงบอกได้ว่าเป็นลวดลายแกะสลักที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เรื่องนี้เพราะเจ้าขาดประสบการณ์ แต่ก็ยังดีกว่าผู้สร้างชราภาพหลายคนนัก”
“พวกเราจะเริ่มการทดสอบได้เมื่อไหร่ขอรับ?” หลังฉินหยุนได้เป็นนักทำยันต์ระดับต้นแล้ว เขาจึงมีอิสระในการเข้าออกตำหนักจารึกเทวะ ทั้งนี้เขายังสามารถใช้ห้องชุดที่หรูหราได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างมืออาชีพยามต้องการซื้อหาวัสดุ
หากเขาได้เป็นอาจารย์จารึกระดับต้นที่แท้จริง สถานะของเขาจะดียิ่งกว่านี้ ตำหนักจารึกเทวะมีสาขาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และทุกแห่งล้วนอำนวยความสะดวกได้อย่างดีเยี่ยม
ต้วนเฉียนกล่าว “อาจารย์จารึกจะต้องสามารถสร้างอุปกรณ์วิญญาณ สร้างยันต์ และติดตั้งค่ายอาคม ข้ายังไม่ทราบความสามารถในการติดตั้งค่ายอาคมของเจ้า แต่หากเจ้าต้องการทดสอบ ก็ทดสอบเพียงแค่ความสามารถในการติดตั้งค่ายอาคมก็พอ”
ครั้งเหตุการณ์ในหอคอยทัณฑ์สวรรค์ ฉินหยุนได้ติดตั้งค่ายอาคมวิญญาณบรรจบเก้าตะวันเพื่อใช้หลบหนี เพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่เป็นปัญหากับเขาแต่อย่างใด
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงมาดมั่น “ขอรับ เช่นนั้นข้าขอเริ่มติดตั้งค่ายอาคมเลยแล้วกัน!”
ต้วนเฉียนนำเอาแผ่นหนังสัตว์สี่เหลี่ยมกว้างด้านละเมตรออกมาจากอุปกรณ์มิติเก็บของและกล่าว “แกะสลักค่ายอาคมที่หนังแผ่นนี้!”
ค่ายอาคมหนังสัตว์ เป็นหนึ่งในสิ่งที่จัดเก็บค่ายอาคมได้ง่ายที่สุด
ฉินหยุนนั่งยองลงขณะนำเอามีดแกะสลักออกมา จากนั้นจึงเริ่มการแกะสลักผังวิญญาณ
เขาคิดแกะสลักค่ายอาคมรวมน้ำที่ค่อนข้างง่ายที่สุด
จุดประสงค์ของค่ายอาคมรวมน้ำคือ วางมันเอาไว้ในถังและค่อยสั่งให้ค่ายอาคมทำงาน จากนั้นมันจะค่อย ๆ รวบรวมพลังวิญญาณเก้าตะวันและควบแน่นจิตวิญญาณน้ำก่อเกิดเป็นน้ำจนเต็มถัง
จิตวิญญาณน้ำโดยหลักแล้วมักจะใช้ร่วมกับการหลอมหรือขัดเกลาอุปกรณ์ด้วย ทั้งนี้ยังมีการใช้สำหรับการอาบน้ำแช่สมุนไพร ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว และมีการใช้งานกันบ่อยครั้งที่สุดก็ว่าได้