ตอนที่ 50 ความตกใจของหลินหาน [อ่านฟรี]
ตอนที่ 50 ความตกใจของหลินหาน
เป็นไปไม่ได้!
เมื่อเห็นหลินหานที่แต่งชุดสีเขียวกำลังย่างก้าวอยู่บนท้องฟ้าอากาศ ความคิดแรกของทุกคนคือเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากนั้น พวกเขาสังเกตเห็นว่าใต้ฝ่าเท้าของหลินหานมีไอลมแห่งสสารถ่องแท้สองกลุ่มที่ล้อมรอบ ช่วยพยุงให้เขาเดิน
คือวิชายุทย์!
อย่างน้อยน่าจะเป็นวิชายุทย์ระดับสูงสุด!
อัจฉริยะของขุมอำนาจต่างๆที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่ธรรมดา พวกเขาจึงค้นพบสาเหตุในพริบตา
แต่สิ่งนี้ได้ทำให้ทุกคนตกใจ เแม้แต่ห้าผยองยังเปลี่ยนอารมณ์
หลินหานคนนี้ฝึกฝนวิชาท่าร่างที่น่าทึ่งได้ถึงขนาดนี้เชียว
ขอบเขตที่ต่ำว่าปรมาจารย์ยุทย์ สามารถเดินอย่างภาคภูมิใจในอากาศได้ด้วยเหรอ?
"ทะยานเหินเวหา"เป็นวิชายุทย์ระดับสูงสุดของตระกูลหลิน เคยมีผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลินคนหนึ่งใช้วิชานี้ แต่เขารู้แจ้งได้แค่ไม่กี่บท จึงสามารถทะยานบนท้องฟ้าได้แค่15นาที ทว่าเจ้าสามารถอยู่บนท้องฟ้าได้นานขนาดนี้ หลินหาน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย!" ซู่เหอยืนขึ้นอย่างอย่างฉับพลัน จิตใจที่อยากจะต่อสู้เพิ่มพูนขึ้น เขากล่าวอีกว่า "วิชายุทน์ขั้นสูงสุดบทนี้ เจ้าน่าจะตระหนักรู้ถึงขั้นที่เหนือกว่าบริบูรณ์แล้ว!"
ขั้นที่เหนือกว่าบริบูรณ์!
เมื่อซู่เหอพูดจบ สีหน้าทุกคนดูเหมือนจะเปลี่ยนจากตกใจและกลายเป็นตื่นตระหนก
วิชายุทย์ขั้นสูงสุดมีระดับของความเข้าใจในตำนานที่เรียกว่า ขั้นที่เหนือกว่าบริบูรณ์ หลายคนต่างพากันสงสัย เพราะขั้นที่เหนือกว่าบริบูรณ์เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
แต่วันนี้ เมื่อเห็นหลินหานที่เดินย่ำกรายเข้าจากบนท้องฟ้า อัจฉริยะอันนับไม่ถ้วนของเมืองต้วนเทียนจึงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ลึกๆ
วันนี้พวกเขาได้เห็น "ตำนาน" ด้วยตาของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เห็นดาวรุ่งอีกหนึ่งคน...
เวลานี้ ผู้คนจำนวนมากต่างมองหลินหานด้วยอารมณ์ที่เร่าร้อน ปีนี้เขาอาจจะเปลี่ยนรูปแบบของห้าผยอง แล้วกลายเป็นผยองแห่งนภาคนที่หก!
เป็นม้ามืดตัวตัวฉกาจจริง ๆ !
แม้แต่ลั่วชิงเฉิง บัดนี้ใบหน้าเลอโฉมของนางยังเผยความเคร่งขรึม ก่อนหน้านี้ตอนที่พบกับหลินหานในป่าหม่างเเห่งเมืองต้วนเทียน ลั่วชิงเฉิงเพียงชื่นชมหลินหานเท่านั้น ทว่า ตอนนี้ในใจของลั่วชิงเฉิงเริ่มให้ความสำคัญ จนถึงขั้นที่นางจุดประกายความคิดที่จะดึงหลินหานเข้ามาร่วมกับตระกูลลั่ว เพราะอัจฉริยะวัยเยาว์เช่นนี้ ขุมมขุมนาจต่างๆล้วนก็เป็นอยากได้มาเป็นพวก และจะพยายามชักชวนโดยไม่สนว่าจะต้องจ่ายด้วยมูลค่าเท่าไหร่
"ข้าแพ้แล้ว" บนสังเวียน ลั่วหงจวิ้นมองหลินหานที่ลอยอยู่บนอากาศ เขายิ้มอย่างขมขื่นแล้วยกมือขึ้นคำนับ ในด้านวิชายุทย์ท่าร่าง เขาพ่ายแพ้หลินหานอย่างสมบูรณ์ จึงยอมรับทั้งกายและใจ
ในไม่ช้าผู้คนนับไม่ถ้วนหันไปมองหลินหานอีกครั้ง บัดนี้พวกเขาไม่สามารถหาข้อด้อยและจุดอ่อนของหลินหานได้เลย เขาเป็นดั่งอัจฉริยะที่เก่งกาจในทุกๆด้าน ไม่มีจุดอ่อนในตัวเขา
นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
จอมยุทย์ที่ทรงพลังเพียงด้านเดียวนั้นไม่น่ากลัว แต่ถ้าพบกับผู้ที่เก่งรอบด้าน จึงจะเป็นเรื่องที่ปวดหัวมากที่สุดและน่าหวาดหวั่นมากที่สุด
เห็นได้ชัดว่าหลินหานกลายเป็นตัวตนเช่นนั้นในหัวใจของทุกคน บัดนี้ ในหัวใจของอัจฉริยะหลายคน ได้มองหลินหานว่าเป็นตัวตนที่เทียบเท่ากับห้าผยองไปแล้ว
เป็นอีกครั้งที่หลินหานได้ผลักบรรยากาศของงานชุมนุมชาวยุทย์ให้กลายเป็นคลื่นใหม่ที่ถาโถมขึ้น
ทว่า คนที่น่าหดหู่ที่สุดในเวลานี้คือหลินกู่เทียน
เขาเป็นผู้นำทีมของตระกูลหลิน แต่ผลลัพธ์ได้กลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกหลินหานคนเดียวแย่งชิงไปทั้งหมด ทำให้หัวใจของเขาเศร้าสลดจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
หลินกู่เทียนกัดฟันเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนทันที สายตาจ้องมองไปยังพื้นที่ของตระกูลซู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แล้วตะโกน "ซูเหอ ข้าต้องการต่อสู้กับเจ้า!"
ในที่สุดหลินกู่เทียนก็ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป เขาต้องการจะต่อสู้ เพราะเขาไม่อนุญาตให้ดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างหลินหาน เเย่งชิงชื่อเสียงของตัวเองไปจนหมด
ในฐานะที่เป็นบุคคลระดับห้าผยองเมื่อหลินกู่เทียนยืนขึ้น จึงทำให้ได้รับความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนทันที สิ่งนี้ทำให้หัวใจของหลินกู่เทียนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
และแล้วในเวลานี้ หลินหานกลับไปถึงที่นั่งของตัวเอง และพูดคุยกับหลินหรูเยียน
หลินกู่เทียนชำเลืองมองมาเล็กน้อย เขาพบว่าจิตใจของหลินหรุเยียนอยู่ในร่างของหลินหานอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะท้าประลองซู่เหอ แต่นางไม่ชายตาหันมามอง ความแตกต่างกันเช่นนี้ ทำให้จิตใจของหลินกู่เทียนกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง เพลิงริษยากำลังจะแผดเผาร่างของเขา
"ข้าจะต่อสู้กับเจ้าเอง ใช่ว่าใครก็ตามที่สามาถรท้าประลองพี่ซู่เหอได้!" ทันใดนั้นศิษย์ของของตระกูลซู่คนหนึ่งซึ่งมีพลังของยุทย์ฉะสวรรค์ได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย เขาจ้องมองหลินกู่เทยน
"พลังขาร่างมังกร!" ศิษย์ตระกูลซูคนนี้ก็มีพลังแข็งแกร่งมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นอันดับสองรองจากห้าผยองเท่านั้น เมื่อเขาเตะฝ่าเท้าออกไป ประหนึ่งเขากำลังฟาดด้วยแส้เหล็ก เตะออกไปจนอากาศส่งเสียงดังเกรียวกลาว
"อย่างเจ้าคงมิได้!" หลินกู่เทียนยิ้มอย่างเย็นชา เขาโบกมือ ออร่าจำนวนมากควบแน่นขึ้นในอากาศ กลายเป็นฝ่ามืออากาศที่ไร้รูปร่าง ฟาดจนศิษย์แห่งตระกูลซู่คนนั้นกระเด็นลอยไป
เพียงหนึ่งฝ่ามือก็สามารถฟาดจอมยุทย์แห่งยุทย์ฉะสวรรค์ขั้นสูงสุดจนกระเด็นลอยออกไป?
ในขณะนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนสีหน้า พลังต่อสู้ในระดับห้าผยองแห่งเมืองต้วนเทียนน่ากลัวโดยเเท้จริง ใช่ว่าคนธรรมดาจะต่อกรได้
พื้นที่ทางฝั่งตระกูลหลิน หลินหานมองการโจมตีแบบขอไปทีของหลินกู่เทียนซึ่งเปี่ยมพลังอันน่ากลัวได้เช่นนี้ ดวงตาของเขาจึงเผยให้เห็นความตึงเครียดเล็กน้อย
หลินกู่เทียนแข็งแกร่งจริงๆ ไม่ได้มีดีแต่ชื่อ ออร่าที่เขาปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่มีพลังในระดับของปรมาจารย์ยุทย์ครึ่งก้าว
หลินหานลองเปรียบเทียบอย่างเงียบๆ ก็พบว่าหลินกู่เทียนอาจจะแข็งแกร่งกว่าตอนที่ผู้อาวุโสไป๋เหมยกดดันเขาในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งวิถียุทย์ เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินหานจึงลดความคิดดูแคลนตู่ต่อสู้ลง แล้วเริ่มทำความเข้าใจวิชายุทย์หลายร้อยชิ้นที่เพิ่งถูกคัดลอกไว้ในเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไฟสีทอง ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยในการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม แม้หลินหานจะหวั่นเกรงต่อพลังการต่อสู้อันทรงพลังของหลินกู่เทียน แต่หลินหานไม่ได้หวาดกลัว
เมื่อเทียบเขาตอนนี้กันตอนงานเลี้ยงน้ำชาแห่งวิถียุทย์ หลินหานย่อมรู้ว่าตัวเขาก็ก้าวหน้าไปมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองวิชายุทย์ระดับสูงสุด หรือทักษะของนักพรตวิญญาณอย่าง "ดวงตาพิฆาต" ต่างก็มีพลังเพิ่มมากขึ้น สิ่งนี้ได้เพิ่มความมั่นใจที่กล้าแกร่งแก่หลินหาน
เขามั่นใจว่าเขาสามารถต่อสู้กับห้าผยองแห่งเมืองต้วนเทียนได้ ทว่าตอนนี้ใบหน้าหลินหานยังไร้อารมณ์อยู่ เขาสังเกตการเปลี่ยนแปลงบนสังเวียนอย่างเงียบๆ เพราะต้องการสังเกตทักษะของหลินกู่เทียนและซู่เหอ
มีเนตรนภาแห่งนักพรตวิญญาณ ทำให้หลินหานสามารถตรวจสอบข้อมูลที่คนธรรมดาไม่สามารถตรวจสอบได้ และข้อมูลนี้จะช่วยให้หลินหานคว้าชัยชนะได้
บนสังเวียนในเวลานี้ หลินกู่เทียนซึ่งโจมตีศิษย์ตระกูลซู่ผู้แข็งแกร่งจนแพ้พ่ายไป ทว่าสายตาของยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจ้องเขม็งชายหนุ่มชุดผ้าฝ้ายที่นั่งอยู่ตรงนั้น
"ได้ ข้ายอมรับการท้าดวลของเจ้า" ซู่เหอกล่าวแล้วยืนขึ้น ย่างก้าวอย่างมั่นคง ค่อยๆเดินขึ้นไปบนสังเวียน
ตุบ ~ ตุบ ~ ตุบ ...
เสียงฝีเท้าก้าวเดินทีละก้าวทีละก้าว แต่ดูเหมือนจะมีพลังเวทย์มนตร์แปลกๆที่ทำให้หลินกู่เทียนที่อยู่ตรงกันข้ามมีเหงื่อผุดบนหน้าผาก
เป็นความรู้สึกนี้อีกแล้ว!
หลินกู่เทียนจ้องมองชายหนุ่มชุดผ้าฝ้ายที่เข้ามาอย่างเฉยชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในเวลานี้ หลินหานที่อยู่ด้านล่างสังเวียนสื่อความตกใจเล็กน้อยในดวงตา
เสียงก้าวเดินเมื่อครู่ของซู่เหอ ราวกับกำลังรวบรวมพลังงานอย่างไม่อาจอธิบายได้ในทุกย่างก้าวที่เขาเดิน พลังไร้รูปร่างอันทรงพลังค่อยๆควบแน่นบนร่างกายของซู่เหอ ในที่สุดก็ก่อให้เกิดพลังกดดันอย่างถาโถมแก่ร่างกายและวิญญาณของหลินกู่เทียน
"รังสรรค์พลัง! นี่คือการควบคุมพลังแห่งผืนโลก!" ดวงตาของหลินหานเป็นประกายทันที จากพลังที่ซู่เหอแสดงออกมาให้เห็นในเวลานี้ ทำให้เขาจำได้ว่ามีเขียนบันทึกในหนังสือโบราณ
ว่ากันว่า เมื่อจอมยุทย์แข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่ง คำพูดและการกระทำของเขาสามารถทำให้เกิดพลังกดดันที่มองไม่เห็นต่อคู่ต่อสู้ เป็นพลังที่กดดันทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ
อาจกล่าวได้ว่า"ดวงตาพิฆาต"ของหลินหานมีผลเช่นเดียวกัน ทว่า พลังกดดันนี้ยังไม่มีผลที่ลึกถึงระดับดวงวิญญาณ จำกัดอยู่ที่ร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หลินหานตกตะลึง
ซู่เหอคนนี้ยังอายุน้อย ทั้งที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ยุทย์ครึ่งก้าว แต่เข้าใจการรังสรรค์พลังแล้ว?
มันถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณว่า ต่อให้เป็นถึงปรมาจารย์ยุทย์สูงสุดในขอบเขตนวสวรรค์ ก็ใช่ว่าจะมีหนทางในการควบคุมพลังงานของแห่งผืนโลกรอบๆ
ตอนนี้ หลินหานเริ่มเกิดความรู้สึกระรังตัวต่อซู่เหอผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งห้าผยอง
ชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายที่ดูเหมือนจะธรรมดา ทว่าเขากลับซ่อนความลับที่ไม่มีใครรู้
ในเวลาเดียวกัน ในใจของหลินหานก็เกิดความยินดี เขาสื่อสารกับเปลวไฟสีทองในใจ การเคลื่อนไหว การแสดงออกและแม้แต่ความถี่การหายใจของซู่เหอ หลินหานได้เเกะรอยออกมาอย่างเงียบๆแล้วเริ่มทำความเข้าใจ
ในใจของหลินหานแอบรู้สึกตื่นเต้น บางทีเขาอาจจะสามารถ“ขโมย” เรียนวิชายุทย์ที่เหลือเชื่อบทนี้ได้
.......................................................................................................