เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0096
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
สารบัญ ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ [เรื่องใหม่]
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 96 : เย่ฉิงเฟิง
ฉินหยุนตอนนี้นับว่าได้เวลาแล้ว เขาต้องมุ่งหน้าสู่สถาบันซานเสวียน
ด้วยพละกำลังระดับเขา ต้องสามารถเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนได้สำเร็จอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ฉินหย่งเหอจึงสามารถวางใจและออกสำรวจความลึกลับของเทือกเขาเมฆมังกรได้อย่างไร้ซึ่งห่วงหา
“ท่านทวด... ท่าน ไม่มีสิ่งอื่นใดให้ข้าอีกแล้วหรือ?” ฉินหยุนเกาศีรษะ สีหน้าคล้ายกระดากอายขณะหัวเราะเบา
เขาคิดว่าฉินหย่งเหอเป็นถึงผู้อำนวยการมานานหลายปี ย่อมต้องร่ำรวยไม่ใช่น้อย
“หากเป็นก่อนหน้านี้คงดีกว่า ทรัพยากรทั้งหมดที่ข้าครอบครองถูกตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามยึดกลับไปหมด! ย้อนกลับไปเรื่องราวเก่าก่อน ผู้ก่อตั้งของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงก็มาจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เช่นนั้นข้าจึงไม่อาจพูดกล่าวอะไรได้”
ฉินหยุนผู้เดิมทียินดีไม่น้อยกลับกลายเป็นผิดหวัง
เมื่อฉินหย่งเหอได้เห็นท่าทีฉินหยุน เขาถึงกับหัวเราะลั่น “อย่าได้ห่วงไป ข้าก็ยังมีของให้เจ้าอยู่บ้าง รับไป!”
ฉินหยุนรับสิ่งของมาสำรวจ เป็นห้าสิบเหรียญม่วง เทียบเท่าได้กับห้าหมื่นเหรียญผลึก เขาเก็บมันแม้จะมองว่าเล็กน้อย แต่อย่างไรแล้วแม้เป็นขาของยุงก็นับเป็นขา ยังดีกว่าไม่ได้รับอันใดเลย
สีหน้ารังเกียจที่เผยออกนี้ทำฉินหย่งเหอต่อว่าทั้งรอยยิ้ม “เจ้าหนูนี่ เจ้าไม่ใช่อาจารย์จารึกหรอกหรือ? โอ้ใช่ ข้าขอถามอะไรเสียหน่อยแล้วกัน”
“เจ้าไม่น่าจะขาดแคลนวิชายุทธ์ หรือวิชาฝึกฝนพลังภายใน... แต่ก็ถามไว้ก่อนแล้วกัน เจ้าคิดอยากฝึกวิชาฉินหลิงหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ!” ฉินหยุนมีวิถีหัวใจตะวันดารา สิ่งนั้นดีกว่าวิชาฉินหลิงมากมายหลายเท่า มันจะทำให้เขาได้สามารถก้าวเดินด้วยวิชายุทธ์ของตนเองได้
ทั้งนี้เขายังไม่ขาดแคลนวิชายุทธ์ เคล็ดวิชาคลื่นยักษ์ที่เพิ่งได้รับก็เป็นวิชายุทธ์ระดับลึกล้ำขั้นสูง
ฉินหย่งเหอนำจดหมายออกมาและยิ้มตอบ “รับจดหมายนี่ จากนั้นจงไปตำหนักจารึกเทวะและส่งต่อมันให้แก่ต้วนเฉียน ข้าบอกต่อเขาให้ช่วยเจ้าจัดแจงเข้าร่วมสถาบันซานเสวียนในจดหมายนี้”
ตำหนักจารึกเทวะและสถาบันยุทธ์ซานเสวียน มีสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนาน ตำหนักจารึกเทวะบ่อยครั้งช่วยเหลือสถาบันยุทธ์ซานเสวียนด้วยผลงานจากตำหนัก
ฉินหยุนติดตามฉินหย่งเหอออกจากถ้ำและขึ้นสู่จุดสุดยอดของภูเขายักษ์ ตอนนี้เขากำลังมองดวงตะวันร้อนแรงทั้งเก้าที่ค้างอยู่บนฟ้า
สีหน้าของฉินหย่งเหอเปี่ยมไปด้วยความโหยหาขณะกล่าวเสียงเบา “สิ่งลึกลับที่สุดอย่างไรแล้วก็ยังเป็นเก้าดวงตะวัน ย้อนกลับไปตอนนั้น อดีตผู้อำนวยการได้บอกว่า หากมีผู้ใดได้รับรู้ถึงความลับของเก้าตะวัน คนผู้นั้นก็จะได้รับพลังของเก้าตะวัน”
“แน่นอนว่าด้วยพลังของข้าตอนนี้ ข้าไม่อาจคิดฝันถึงขั้นนั้น ที่สุดปลายของดินแดนอ้างว้างทั้งเก้า พวกเราตกอยู่ในสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณน้อยนิด ทรัพยากรก็ขาดแคลน เพราะสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ พวกเราจึงต้องผ่านพ้นอันตรายของเทือกเขาเมฆมังกรมุ่งหน้าสู่แดนยุทธ์อ้างว้าง ที่แห่งนั้นจะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิถียุทธ์แห่งเต๋าที่พร้อมจะหล่อเลี้ยงยอดฝีมือให้เปล่งประกาย”
“ท่านทวด ขอท่านระวังระหว่างเดินทางเข้าเทือกเขาเมฆมังกรขอรับ!” ฉินหยุนอึกอักไปพักหนึ่งจึงค่อยกล่าว
“ข้ามีพลังเพียงพอ เจ้าอย่าได้ห่วงเกี่ยวกับข้า พวกเราจะได้พบกันอีกครั้งที่แดนยุทธ์อ้างว้าง... ไว้เจอกันใหม่!” ฉินหย่งเหอหัวเราะออกเสียงดัง เขาก้าวทะยานสู่หมู่เมฆ จากนั้นจึงจางหายไปลับสายตาเพียงดวงตากระพริบ
ฉินหยุนกลับมาหดหู่อีกครั้ง หลังถอนหายใจออก เขาค่อยสงบใจลง เขายังต้องไปบอกลาผู้อำนวยการจาง เขาต้องขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดีตลอดช่วงหลายวันมานี้
หลังจากนั้น เขาต้องออกจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง และมุ่งหน้าสู่ตำหนักจารึกเทวะที่นครหลวง
* * *
“ท่านพ่อ ข้าหวังว่าจะได้เจอท่านอีกครั้ง!” ฉินหยุนคิดเช่นนี้กับตนเองขณะเดินผ่านป่าไป
เขาคาดหวังว่าจะได้พบบิดาของตนในงานอภิเษกสมรสระหว่างเชี่ยวเย่ว์หลานและฉินเจิ้งเฟิงในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้!
ฉินหยุนไม่ได้เดินบนเส้นทางหลัก แต่เลือกที่จะเดินผ่านป่าเพื่อความปลอดภัยเหมือนครั้งก่อน
แต่แล้ว หลังวิ่งลัดผ่านไปมาได้ราวสองชั่วโมง เขาพลันพบคลื่นพลังจิตอ่อนจาง!
เป็นเขาอ่อนไหวต่อพลังจิตเป็นพิเศษตั้งแต่จิตวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาว
“มีคนคิดลงมือสังหารเรา!” หลังสัมผัสได้ ฉินหยุนทะยานกาย เขาพุ่งผ่านป่าหนาสู่ท้องฟ้า จากนั้น เขาจึงเริ่มออกวิ่งด้วยก้าวอัคคีเมฆา
“มีคนตามเราจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงหรือนี่?”
สัญชาตญาณบอกแก่เขา ว่าคนผู้นี้ทรงพลังและแข็งแกร่งยิ่ง อย่างน้อย... อีกฝ่ายสมควรอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปด
“อย่าได้คิดว่าจะหนีพ้น!” เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้ว เสียงตะโกนดังขึ้นจากในป่า พายุหมุนขนาดใหญ่ยักษ์พลันปรากฏ
เสียงลมหมุนกรีดร้อง มันทะยานขึ้นท้องฟ้านำพามาพร้อมฝุ่นปริมาณมหาศาล!
โลกกลับกลายเป็นมืดมิด สายฟ้าสว่างวูบวาบ ฟ้าร้องคำราม เสียงลมกระโชกรุนแรง ราวกับนี่คือนรกที่พลันผุดขึ้นในผืนโลก
ต้นไม้ใหญ่สูงกว่าร้อยเมตรในป่าถึงกับถูกถอนรากก่อนจะโดนฉีกกระชากออกเป็นเป็นเศษซาก เพียงเห็นก็ชวนให้สะพรึงขนหัวลุกแล้ว
ฉินหยุนตอนนี้อยู่กลางอากาศ เขากำลังต่อต้านขุมพลังรุนแรงขณะพยายามก้าวเดินกลางอากาศ ทว่า เขาไม่อาจหลบหนีพ้น
“คนผู้นี้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ลมและสายฟ้า น่ากลัวนัก!”
เพียงพริบตา ฉินหยุนตื่นตระหนก เขาจดจำภาพต้นไม้ใหญ่ที่ถูกแรงพายุปะทะจนฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นใจ ทั้งยังมีอสนีบาตรุนแรงเหล่านั้นที่พร้อมจะผ่าลงมาใส่ร่างของเขาอีก
เพียงอึดใจหลังโดนลากเข้าสู่กลางพายุหมุน เขาโดนจับตัวเอาไว้โดยชายวัยกลางคนในชุดสีม่วง
“เจ้าหนู คิดจับเจ้าทั้งเป็นง่ายเพียงข้าพลิกฝ่ามือ! ฮ่าฮ่า...” ชายในชุดสีม่วงหัวเราะลั่นขณะคว้าคอฉินหยุนเอาไว้ อีกฝ่ายกำลังปล่อยพลังสายฟ้ารุนแรงเตรียมฟาดฟันเป็นอสนีบาตผ่าลงมา
“เจ้า... พี่ชายของนังแพศยาจักรพรรดินี!” ฉินหยุนจดจำอีกฝ่ายได้ทันทีเมื่อเห็นใบหน้า
คนผู้นี้คือผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าในจุดสูงสุด นามนั้นคือเย่ฉิงเฟิง!
“เจ้าเพียงเห็นข้าตอนยังเด็ก แต่กลับจดจำข้าได้หรือ ฮ่าฮ่า... เจ้าหรือคิดอยากต่อต้านตระกูลเย่ของเรา? กระทั่งจะเป็นหรือตายตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ตัว!”
เย่ฉิงเฟิงยิ้มชั่วร้ายขณะออกแรงบีบที่คอมากขึ้น เขากำลังโคจรพลังสายฟ้าเข้าสู่ร่างของฉินหยุน เป็นผลให้ร่างกายต้องสั่นกระตุกอย่างรุนแรงจนกระทั่งต้องกรีดร้องออก
ชั่วขณะที่สิ้นหวัง เขาพลันรู้สึกได้ถึงสองออร่าที่คุ้นเคยยิ่ง แต่แล้ว เขากลับนึกไม่ออกว่าพวกเขาเป็นใคร
“ใครกัน?” เย่ฉิงเฟิงพลันหันศีรษะมองไปทางเงาสีดำซึ่งกำลังพุ่งเข้ามา เป็นร่างพยัคฆ์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำ ความเร็วนี้ราวสายฟ้า!
ขณะที่พยัคฆ์ร่างใหญ่สีดำพุ่งเข้ามา มันกัดเข้าที่คอของเย่ฉิงเฟิง!
เย่ฉิงเฟิงเร่งร้อนหลบ ทว่าเนื้อจำนวนหนึ่งบริเวณหน้าอกก็ถูกเฉือนออกไปเพราะความกระชั้นชิด รอยฉีกกระชากเนื้อยาวถึงไหล่ มันเป็นรอยของกรงเล็บพยัคฆ์!
เขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า แต่แล้วกลับไม่อาจทานทนต่อการโจมตีของสัตว์ปีศาจได้!
สัตว์ปีศาจที่โหดเหี้ยมล้วนน่าสะพรึงกันทั้งสิ้น กระทั่งตอนที่ฉินหยุนร่อนลงกับพื้นยังรู้สึกแขนขาด้านชา เป็นเขารู้สึกหวาดกลัว!
เขานึกย้อนถึงสิ่งที่ติงเทียนฉวนเคยกล่าว สัตว์ปีศาจมีพลังอำนาจมากพอที่จะทำลายจักรวรรดิได้!
“พยัคฆ์โลหะ... แต่กายเป็นสีดำ!” ฉินหยุนจดจำพยัคฆ์โลหะที่มีสายตาเป็นมิตรได้ เขาพลันยืนขึ้น จากนั้นจึงคว้าเอาค้อนราชันยักษ์วิญญาณระดับต่ำออกมาพร้อมเหวี่ยงค้อนรุนแรงใส่ร่างของเย่ฉิงเฟิงด้วยกระบวนท่าอุกกาบาตทลาย!
พลังภายในสั่นไหวและอัคคีหลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ มันทั้งรุนแรงและลื่นไหลขณะไหลเข้าสู่ค้อนราชัน กำลังภายในเริ่มทำงานขณะทะลวงผ่านหน้าอกของเย่ฉิงเฟิง
เส้นสายกำลังภายในทิ้งร่องรอย เป็นหลุมเลือดลึกในหน้าอกของเย่ฉิงเฟิง ถัดจากนั้น แรงกระทำของมันยังทะลุผ่านถึงพื้นดินเบื้องล่าง เกิดขึ้นเป็นหลุมลึกขนาดเล็กบนพื้นยุบตัวลงไป
เมื่อเย่ฉิงเฟิงที่ครึ่งเป็นครึ่งตายเห็นฉินหยุนกอดรัดแนบกายกับพยัคฆ์โลหะ ความโกรธแค้นพลันโหมขึ้นภายใน
ตั้งแต่เขาก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าในช่วงครึ่งปีมานี้ พรสวรรค์ของเขานับว่าเลิศล้ำ ตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามเคลื่อนคล้อยลงมา มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะก้าวหน้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าในอีกไม่กี่ปี
แต่แล้วตอนนี้ เขากลับต้องจบสิ้นที่ตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะเกลียดชังน้องสาวตนเองสุดหัวใจ เหตุใดเขาต้องมายุ่งเกี่ยวกับฉินหยุน!
เย่ฉิงเฟิงสิ้นลมหายใจ กระนั้นดวงตาก็ยังเปี่ยมล้นด้วยความไม่ยินยอมรับโชคชะตา...
“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้อีกแล้ว!” ฉินหยุนลูบหัวพยัคฆ์โลหะ มันก็ก้มศีรษะลงต่ำคล้ายเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกคะนึงหาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ เขาเพียงช่วยเหลือพยัคฆ์โลหะตัวนี้เล็กน้อย แต่กลับเป็นเขาที่ได้มันช่วยชีวิตเอาไว้ถึงสองครั้ง
“นี่เจ้าเป็นสัตว์ปีศาจระดับที่เก้าแล้วงั้นหรือ?”
ฉินหยุนนึกขึ้นมาได้ ว่าตอนนั้นหยวนหยานหยิงติดตามพยัคฆ์โลหะไป...
เขาพลันมองหาโดยรอบ ไม่ช้าจึงได้เห็นเด็กสาวสวมใส่ชุดหนังสัตว์กำลังลอยมาทางนี้ นางดูร่างกายสกปรกไปบ้าง แม้กระนั้นก็ยังงดงามแบบดิบเถื่อน
เด็กสาวผู้นี้คือหยวนหยานหยิง!