มารดาปีศาจ ตอนที่ 30 ฝูงซอมบี้
“พักกันก่อนเถอะ” กู้พ่านพ่านเหลือบมองนาฬิกาของเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันมองไปรอบๆ และเห็นบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างไกลออกไป หลังยุคโลกาวินาศเริ่มขึ้น ทุกวันเมื่อยามค่ำคืนมาถึง เหล่าซอมบี้นั้นจะมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นมากกว่าตอนกลางวันมาก ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่มีความฉลาดอยู่บ้างแม้เพียงเล็กน้อย ก็ย่อมต้องเลือกที่จะหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักหลบซ่อนอยู่ในยามที่ค่ำคืนมืดมิดเข้าปกคลุม
แน่นอนว่ายังมีสาเหตุอื่นอยู่ด้วย นั่นก็คือทั้งผู้มีพลังพิเศษและคนธรรมดาต่างก็ต้องการการพักผ่อนเช่นเดียวกัน ในแง่มุมนี้ จ้าวฉิงรู้สึกว่าตัวเธอเองค่อนข้างจะได้เปรียบกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง หากเปรียบเทียบร่างกายของเธอกับผู้ใช้พลังพิเศษทั่วไปแล้ว เธอก็ยังมีความยืดหยุ่นทนทานมากกว่าอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่การต่อสู้ที่ยาวนานจนเกินไป เธอก็แทบจะไม่ต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย
ไม่ว่าจะในแง่มุมใดๆ สำหรับทุกวันนี้ จ้าวฉิงก็ยังไม่ค้นพบข้อจำกัดของเธอเลย
ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่มีสิ่งใดจะใช้เติมเต็มพละกำลังของเธอได้ หากได้งีบหลับสักสามชั่วโมงก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับจ้าวฉิง ที่จะตื่นตัวขึ้นมาและเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาตลอดทั้งวัน
หลังจัดการกับซอมบี้ไม่กี่ตัวที่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว พวกเขาก็พักอยู่ที่บ้านหลังนั้น หมู่บ้านในบริเวณนี้เชื่อมต่อกันเกือบทั้งหมด เรียงต่อกันไปเป็นแถว หลังจากภัยพิบัติวันสิ้นโลกได้อุบัติขึ้น มีคนหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งและผู้ใช้พลังพิเศษบางคน ได้เป็นผู้นำกลุ่มผู้รอดชีวิตและอพยพออกจากที่นี่ไปแล้ว
บางคนก็ก่อตั้งฐานผู้รอดชีวิตขนาดเล็กของตัวเองขึ้นมา บ้างก็เข้าร่วมกับฐานผู้รอดชีวิตอื่นๆ และส่วนที่เหลืออยู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้สูงอายุและคนป่วยที่ทำได้เพียงรอคอยความตาย
ด้านในประตูที่ปิดสนิทแน่นหนา หากพึ่งพาเสบียงและพืชผักที่เก็บสะสมไว้ภายในบ้าน บางทีอาจทำให้อดทนผ่านพ้นไปได้จนถึงวันที่ต้องจากโลกนี้ไป
เมื่อกู้พ่านพ่านปีนกำแพงเข้าไป เธอก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่เน่าเปื่อย ผลักเปิดประตูขนาดใหญ่เข้าไป เธอจึงได้เห็นซากศพเน่าเปื่อยอย่างรุนแรงซึ่งแขวนคอตายด้วยเชือกที่แขวนกับขื่อหลังคา
มองดูจากเสื้อผ้าและรูปร่างแล้ว น่าจะเป็นผู้สูงอายุที่แก่ชราแล้ว
กู้พ่านพ่านเงียบขรึมลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกกู้ชวนให้พาผู้สูงอายุท่านนี้ลงมา จากนั้นทั้งสี่คนก็ช่วยกันขุดหลุมขึ้นมาหลุมหนึ่งในลานบ้าน และฝังชายชราผู้นี้ลงไป
อาจเป็นเพราะความจริงที่ว่าเขามีอายุมากแล้ว และก็เดินเหินไม่สะดวก ทำให้เขาถูกทอดทิ้งอยู่ที่นี่ หรืออาจจะเป็นเขาเองที่อาสาจะอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจ ดังนั้นแล้วเมื่ออาหารถูกบริโภคไปจนหมด เขาจึงตัดสินใจเลือกจะจบชีวิตของตัวเอง
บรรยากาศระหว่างทั้งสี่คนยามนี้จึงค่อนข้างอึมครึมอยู่บ้าง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงรับประทานเสบียงอาหารที่ตระเตรียมมา จากนั้นก็เตรียมตัวไปนอนหลับพักผ่อน
กลิ่นเน่าเหม็นในบ้านยังไม่กระจายหายไป ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจะนอนหลับอยู่ในถุงนอนที่ลานบ้านแทน นอนหลับกันไปจนถึงราวๆ เที่ยงคืน เสียงกึกก้องก็คล้ายจะดังกังวานลั่นมาจากทางด้านนอก
พวกเขาหลายคนเป็นผู้ที่ตื่นตัวระแวดระวังอยู่แล้ว จึงตื่นเต็มตาขึ้นมาในทันที ทั้งยังใช้ความรวดเร็วสูงสุดในการสวมใส่เสื้อผ้าตัวนอก จากนั้นเหยียนฮ่านชิงก็ปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างเงียบกริบเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอก
ในชั่วขณะที่เขามองออกไป ชายหนุ่มก็แข็งค้างไปทันที มีรถวอลโว่แบบยกสูง [1] คันหนึ่งจอดอยู่หน้าฝูงซอมบี้ที่แออัดหนาแน่นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งล้อมกรอบปิดกั้นหนทางหนีไว้จนหมดสิ้น
โดยไม่ชักช้าแม้แต่น้อย เหยียนฮ่านชิงปีนกลับลงมาจากกำแพง จากนั้นก็ให้จ้าวฉิงเข้าประจำการตำแหน่งนั้นแทน แค่เพียงมองดูภาพเหตุการณ์จากตรงนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีบางคนไปลากเอาคลื่นซอมบี้ฝูงนี้มา
ใครกันที่โง่เง่าไร้สมองถึงขนาดไปดึงดูดความความสนใจฝูงซอมบี้กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ออกมาตอนดึกดื่นเที่ยงคืน? พวกเขาไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรือ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจ้าวฉิงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเองหรือไม่ ต่อให้เธอมั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งอยู่ไม่เลว ทว่าต่อให้เป็นช้างตัวหนึ่งก็ยังอาจถูกมดทั้งฝูงกัดตายได้ แล้วนับประสาอะไรกับเธอและซอมบี้ที่มีความแตกต่างกันเปรียบเทียบแล้วเป็นเพียงหมาป่ากับสุนัขบ้าน
“อย่าส่งเสียงล่ะ” จ้าวฉิงวางเจ้าซาลาเปาน้อยของเธอลงไปในอ้อมแขนของกู้พ่านพ่าน “ฉันจะออกไปดูหน่อย”
ทุกคนอยากจะหยุดจ้าวฉิงไว้จากการกระทำเช่นนั้น ทว่าหญิงสาวกลับปีนข้ามกำแพงไปแล้ว เพราะรู้ดีว่าจ้าวฉิงไม่ใช่คนโง่เขลา และหากเธอไม่มั่นใจเธอก็คงไม่พุ่งเข้าไปกลางฝูงซอมบี้อย่างแน่นอน พวกเขาจึงค่อยๆ สงบใจลงได้อย่างช้าๆ
หลังจากออกมาแล้ว จ้าวฉิงก็เห็นฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลที่เพ่นพ่านไปทั่ว เป็นไปได้ว่ารถคันนั้นอาจจะไม่มีเชื้อเพลิงเหลืออยู่มากนัก ดังนั้นมันจึงถูกปิดกั้นและล้อมรอบด้วยฝูงซอมบี้ที่อยู่ไม่ไกล
กระจกรถและทุกสิ่งทุกอย่างแตกหักออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองอยู่ที่พื้น
ซอมบี้เหล่านั้นไม่ได้สังเกตเห็นจ้าวฉิงแต่อย่างใด ตัวที่เดินเตร็ดเตร่ก็ยังคงเตร็ดเตร่ต่อไป ซอมบี้เองก็มีความรู้สึกไวอย่างยิ่งเกี่ยวกับการได้ยินเสียงและการดมกลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นเลือด ซึ่งจะดึงดูดพวกมันได้โดยอัตโนมัติ
หญิงสาวปะปนไปกับฝูงซอมบี้ เธอมุ่งหน้าเข้าไปใกล้รถวอลโว่ยกสูงคันนั้นอย่างต่อเนื่อง รอบๆ ตัวรถล้วนแต่เต็มไปด้วยซอมบี้ พยายามจะเข้าไปใกล้นั้นไม่ง่ายเลย จ้าวฉิงจึงยังคงหลบฉากไปทางนั้นทีทางนี้ที ไม่ต้องการจะแตะสัมผัสเข้ากับซากสังขารที่มีแต่เลือดเนื้อเน่าเปื่อยเหล่านั้น
ด้วยความลำบากลำบนอย่างมาก ในที่สุดจ้าวฉิงก็แทรกตัวเข้ามาตรงกลางจนได้ และได้เห็นรถวอลโว่ยกสูงคันนั้นอยู่ตรงหน้า ประตูรถนั้นถูกกระชากให้เปิดออกมาอย่างดุดันและบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่างไปหมด มันแขวนห้อยติดอยู่ข้างใน และอาจจะหลุดผลัวะออกมาได้หากโดนแตะเบาๆ อีกแค่ครั้งเดียว ผู้คนที่อยู่ด้านในนั้นถูกลากออกมาแล้ว เหลือเพียงเศษเนื้อติดกระดูกเป็นชิ้นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น
มันสายเกินไปแล้วที่จะช่วยเหลือพวกเขา
ในขณะที่จ้าวฉิงกำลังจะจากไป เธอก็เห็นว่าที่แขวนอยู่ภายในรถเป็นถุงผ้าที่ถูกฉีกขาด ที่รอยขาดนั้นเผยให้เห็นผลึกของผู้มีพลังพิเศษสองสามชิ้นที่หลุดร่วงออกมา พิจารณาจากขนาดที่แตกต่างนั้นแล้ว แม้แต่ชิ้นที่เล็กที่สุดก็ยังเป็นถึงผลึกระดับสอง
นี่ช่างเป็นการค้นพบอย่างกะทันหันที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ชิ้นผลึกทั้งหมดนั้นเพียงพอที่จะทำให้เธอเพิ่มพลังขึ้นไปได้อีกระดับเลยทีเดียว และอาจจะทำให้เสี่ยวเปาจื่อเลื่อนระดับขึ้นไปได้อีกขั้นเช่นกัน
จ้าวฉิงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่า การอุบัติขึ้นของผู้มีพลังพิเศษนี้จะต้องเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ร่างกายของพวกเขาจะต้องมีการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ใครจะรู้ได้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ จ้าวฉิงยังตระหนักได้แม้กระทั่งว่าซอมบี้ก็สามารถวิวัฒนาการได้
การถือกำเนิดของเสี่ยวเปาจื่อนั้นแตกต่างจากคนธรรมดา เขาเกิดมาจากครรภ์ของจ้าวฉิงยามที่เธอได้เสียชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเขาหรือสติปัญญาของเขา ก็ล้วนแตกต่างจากเด็กทั่วไปโดยสิ้นเชิง
เสี่ยวเปาจื่อเองก็สามารถพัฒนาได้ แล้วถ้าหากเจ้าซาลาเปาน้อยนี้วิวัฒนาการต่อไป เขาจะสามารถกลายเป็นเหมือนเด็กปกติทั่วไปได้หรือไม่?
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นอย่างไร จ้าวฉิงก็จะต้องเพิ่มระดับของเสี่ยวเปาจื่อขึ้นไปให้จงได้ หญิงสาวยื่นมือออกไปยังผลึกหลายชิ้นนั้น ในชั่วขณะที่ปลายนิ้วของเธอเพิ่งปัดผ่านเศษผลึกเหล่านั้น เสียงกึกก้องเหมือนมีสิ่งของแตกหักก็ดังลั่นขึ้นจากทางด้านหลังเธอ
เพราะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้จ้าวฉิงตอบสองได้อย่างรวดเร็ว เธอกวาดเอาผลึกเหล่านั้นมาได้ในเสี้ยววินาที แล้วก็วิ่งทะยานไถลตัวไปใต้ท้องรถวอลโว่ยกสูงคันนั้น
จากด้านหลังรถวอลโว่ยกสูง เสียงแหลมเสียดแทงแก้วหูเสียงหนึ่งดังขึ้น จ้าวฉิงอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์ กวาดตามองไปแวบหนึ่ง ร่างกายอันกำยำบึกบึนอย่างยิ่งร่างหนึ่งปรากฎขึ้นอีกฝั่งของรถ แขนที่ปูดนูนขึ้นของมันเจาะทะลุผ่านตัวรถเข้ามา ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือเจ้าสิ่งนั้นเน่าเหม็นหลุดล่อนกะรุ่งกะริ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวหนังเลือดเนื้อของมันอยู่ในสถานะกึ่งเน่าเปื่อย มันย่อมไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน!
------------
[1] รถวอลโว่แบบยกสูง คือรถ SUV แบบเน้นใช้สมบุกสมบัน (ฉบับอิ้งใช้คำว่า cross country car) ตามรูป: https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2016/02/V40_Back.jpg หรืออาจเป็นรถแลนด์โรเวอร์ Land Rover Defender ตามรูป: https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSS4tH-3mm6s9Z0BsFi_nIGu3GeCLcstLjMlS9z7nE--SilxL8R