มารดาปีศาจ ตอนที่ 26 แก้แค้น
ทว่าจ้าวฉิงกลับมิได้เคลื่อนไหว เนื่องเพราะเหยียนฮ่านชิงนั้นได้กระทำไปก่อนแล้ว เขาค่อยๆ วางร่างมารดาลงกับพื้น การกระทำนั้นอ่อนโยนนุ่มนวลระมัดระวังอย่างมาก ราวกับว่ามารดาของเขายังมีชีวิตอยู่
หลังจากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าราวกับไร้ชีวิตจิตใจ ชั่วขณะนั้นเอง ชายสองคนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้นก็รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาทันที โดยเฉพาะคนที่เป็นเพื่อนของเหยียนฮ่านชิงนั้น รีบเร่งหมุนกายไปอีกทางและเริ่มออกวิ่งหนีไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว
จ้าวฉิงไม่ได้คิดจะช่วยเหยียนฮ่านชิงแก้แค้นแต่อย่างใด แต่เธอก็ไม่ต้องการจะปล่อยให้ใครหลบหนีไปได้เช่นกัน หญิงสาวเรียกใช้เถาไม้ออกมา มัดตรึงข้อเท้าของชายคนนั้น และลากดึงเขากลับมายืนอยู่ที่เดิม
เขายังคงต้องการจะวิ่งหนีอีกครั้ง ทว่าเหยียนฮ่านชิงคว้าตัวเขาไว้แล้ว และทุบตีลงบนแผ่นหลังของเขาอย่างไร้ความปราณี
จ้าวฉิงเพียงแค่ยืนมองก็บอกได้ว่ากำปั้นนั้นจะทำให้เจ็บปวดได้ขนาดไหน คนผู้นั้นแผดเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานออกมาทันที สะดุดลงไปกองกับพื้น และถูกเหยียนฮ่านชิงทุบตีอย่างอำมหิตจนเกือบถึงแก่ความตาย
ถูกแล้ว ทุบตีจนเกือบถึงแก่ความตายทั้งเป็น กระดูกคอของเขาทุกท่อนแตกออกเป็นหกเจ็ดชิ้น ทั้งร่างกายสั่นกระตุกอ่อนเปลี้ยอยู่บนพื้น เขาเหลือลมหายใจรวยรินแทบเป็นเฮือกสุดท้าย เพียงหายใจออกอีกครั้งเดียวก็อาจกลายเป็นศพไปแล้ว
การเคลื่อนไหวของเหยียนฮ่านชิงนั้นยังมีการยับยั้งผ่อนแรงไว้ เพียงปล่อยให้อดีตเพื่อนผู้นั้นนอนแน่นิ่งอยู่ที่ริมขอบเหวแห่งความตาย จากนั้นก็โยนอีกฝ่ายไปที่ด้านข้าง เพื่อให้ชายผู้นั้นได้ลิ้มรสประสบการณ์อันทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บสาหัส คนผู้นั้นขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงรอคอยความตายที่จะมาถึงอยู่ตรงนั้น และตระหนักถึงความรู้สึกอันน่าหวาดกลัวที่คืบคลานเข้ามา
จากนั้นเขาก็หันศีรษะไปยังผู้สนับสนุนหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา เด็กหนุ่มคนนั้นหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นว่าเหยียนฮ่านชิงยังคงอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับแดงฉานและรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยมกระหายเลือดที่อยู่ข้างใน
“อย่ามามีปัญหานะ! ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป็นถึงผู้ใช้พลังพิเศษ! อย่าคิดนะว่าแกมีท่านผู้หญิงคนนั้นหนุนหลังอยู่แล้วจะทำตัวอวดดีตามใจชอบได้!” เด็กหนุ่มคนนั้นพยายามจะวางอำนาจขณะที่ในใจกลับขลาดเขลา
“คำพูดนั้น ควรจะเป็นฉันมากกว่าที่พูดกับแก!” เหยียนฮ่านชิงขบฟันแน่นจนแทบแหลกละเอียด ส่งร่างพุ่งทะยานเข้าไปต่อสู้กับอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เปรียบเทียบกับชายคนก่อนหน้านี้แล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้ยังถูกทุบตีอย่างขะมักเขม้นยิ่งกว่า กลายเป็นบอบบางยิ่งกว่าเยื่อกระดาษ อย่างน้อยชายคนก่อนก็ยังพยายามจะตอบโต้เหยียนฮ่านชิงบ้างเล็กน้อย
ไม่นานทั้งสองแขน, ใบหน้า และทั้งร่างกายของเด็กหนุ่มคนนี้ก็เต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะจมูกที่แตกหักมีเลือดโชกและวงหน้าบวมเป่งใบนั้น แม้แต่มารดาของเขาก็ยังไม่อาจจะจดจำเขาได้
ความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเปรียบเทียบกับเหยียนฮ่านชิงซึ่งมีพื้นฐานทางทหารแล้วย่อมไม่อาจสู้ได้โดยสิ้นเชิง ช่องว่างนั้นกว้างใหญ่เกินไป ทำได้เพียงส่งเสียงกรีดร้องชวนสังเวชออกมา เหยียนฮ่านชิงใช้ประโยชน์จากความห่างชั้นนี้และหักขาของเขา
กระดูกที่หักทิ่มแทงโผล่ออกมาจากขาของเขา ทะลุผ่านขากางเกงออกมา พร้อมด้วยเลือดเหนียวเหนอะหนะที่ไหลทะลักเป็นกองใหญ่ เหยียนฮ่านชิงใช้โอกาสนี้กระชากเส้นผมที่มีสีแปลกตาของอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วกระแทกศีรษะของเขาลงไปกับพื้นอย่างต่อเนื่อง
พื้นนั้นทำมาจากหินปูน ดังนั้น เพียงแค่หลังจากทุบกระแทกลงไปครั้งแรก ศีรษะของเด็กหนุ่มก็มีโลหิตหลั่งไหลเจิ่งนองออกมาเต็มไปหมด ทว่าเหยียนฮ่านชิงยังไม่ได้หยุดมือ ยังจับยึดเส้นผมของเด็กหนุ่ม แล้วกระแทกมันลงไป สี่ครั้ง ห้าครั้ง... แต่ละครั้งล้วนทำให้โลหิตไหลทะลักสาดกระเซ็นออกมามากกว่าเดิมเรื่อยๆ
ในที่สุด ครั้งสุดท้ายที่เด็กหนุ่มถูกยกศีรษะขึ้นมาจากพื้น เขาก็สูญเสียสตินึกคิดไปเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากยังกระซิบถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา “พี่น้องฉันเป็นผู้ใช้พลัง.... พี่น้องฉันเป็นผู้ใช้พลัง...”
จ้าวฉิงมองดูเขา ขาทั้งคู่ของอีกฝ่ายบิดงอในตำแหน่งที่แปลกประหลาด แสดงให้เห็นชัดเจนว่าถูกหักทิ้งโดยฝีมือเหยียนฮ่านชิงไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าถูกปกคลุมไปด้วยเลือดแดงฉาน ฟันทุกซี่ในปากหลุดร่วงออกมาจุมพิตกับพื้นโลก ไม่มีหลงเหลืออยู่ในปากเลยแม้แต่ซี่เดียว
เห็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มดูน่าสมเพชเวทนายิ่งขึ้น ทว่าเหยียนฮ่านชิงกลับไม่มีความคิดที่จะปล่อยเขาไปเพียงเท่านี้ ยังคงยกต้นคอเด็กหนุ่มขึ้นมา ขยับรวบตะครุบนิ้วมือครั้งหนึ่ง เขาก็หักกระดูกสันหลังของเด็กหนุ่มจนแตก ได้ยินเสียงหักกรอบแกรบเพียงแผ่วเบา เด็กหนุ่มก็สูญเสียสัญญาณชีพทั้งมวลไปแล้ว
จากนั้นเหยียนฮ่านชิงจึงเหวี่ยงศพของเด็กหนุ่มไปด้านข้างอย่างลวกๆ แล้วก็ทรุดเข่าลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง มือของเขายกขึ้นปิดบังใบหน้า ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
จ้าวฉิงปลอบโยนเขาเล็กน้อย ตบไหล่ของชายหนุ่มเบาๆ เธอปล่อยดอกไม้กินคนที่เพิ่งกำราบให้มันยอมจำนนเมื่อครั้งก่อนออกมา ดอกไม้กินคนดอกนี้มีส่วนดอกขนาดใหญ่โตและแกว่งไกวไปมาไม่หยุดหย่อน จากนั้นภายใต้การสั่งการของจ้าวฉิง มันก็งับเอาศพของเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้วกลืนกินลงไปทั้งตัว จากนั้นไม่นาน ศพของชายอีกคนหนึ่งก็ถูกกลืนลงไปเช่นกัน
หากจะใช้วิธีการกำจัดซากศพทำลายหลักฐาน เลือกใช้ดอกไม้กินคนเพื่อกำจัดซากศพเช่นนี้ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ส่วนดอกขนาดมหึมาของดอกไม้กินคนนั้นกระดุกกระดิกไม่กี่ครั้งเท่านั้นขณะที่กลืนกินคนทั้งสองลงไป เมื่อปิดงับส่วนดอกเข้าหากันแล้ว มันก็เริ่มย่อยสลายทันที หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มันก็ถ่มกระดูกขาวที่ยากต่อการดูดซึมออกมา
หลังจากบรรลุเป้าหมาย จ้าวฉิงก็ยืนอยู่ข้างๆ เหยียนฮ่านชิงอย่างเงียบงัน รอคอยให้เขาฟื้นคืนสติขึ้นมา ถึงแม้จ้าวฉิงจะไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน แต่เธอก็ยังสามารถเข้าใจความรู้สึกที่ต้องสูญเสียมารดาไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้อยู่บ้าง
ที่สำคัญที่สุด เหยียนฮ่านชิงและมารดาของเขานั้นพึ่งพาอาศัยกันและกันเพียงลำพังมาหลายปีแล้ว ความผูกพันนั้นอาจจะลึกซึ้งยิ่งกว่ามารดาและบุตรโดยทั่วไป
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเหยียนฮ่านชิงก็ยกใบหน้าสิ้นหวังไร้ชีวิตชีวาของเขาขึ้นมา และหันหน้าไปมองจ้าวฉิง “ผมมันไร้ค่าใช่รึเปล่า”
“ผมปกป้องอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายแล้วแม้แต่แม่ของผมก็ต้องจบสิ้นชีวิตลงในสภาพที่น่าสมเพชแบบนี้ ทั้งชีวิตของเธอ เธอยังไม่เคยได้สัมผัสกับความสุขสบายเลยสักวัน” เหยียนฮ่านชิงยิ้มเยาะตัวเอง “ผมมันไร้ค่า เป็นแค่เศษสวะ ผมทำอะไรดีๆ ไม่ได้เลยซักอย่าง! ผมทำได้แค่รอรับสิ่งของจากคนอื่น....”
ถ้าหากเป็นบุคคลอื่น พวกเขาอาจจะพยายามปลอบโยนและเอาใจใส่เขาด้วยการเอ่ยถ้อยคำจำพวกว่า ‘คุณไม่ได้ไร้ค่านะ’ หรือสิ่งอื่นๆ เช่น ‘คุณแข็งแกร่งมากแล้ว’
ทว่าจ้าวฉิงไม่ได้ทำเช่นนั้น
ชำเลืองมองลงไปยังเหยียนฮ่านชิงที่กำลังหดหู่สิ้นหวัง หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอึมครึม “วันสิ้นโลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าหากคุณอ่อนแอ คุณก็ทำได้เพียงอดทนยอมรับชีวิตเหมือนกับหญิงโสเภณีที่ค้าขายร่างกาย ดังนั้นแล้ว ตัวคุณในตอนนี้ทำไมถึงเอาแต่หมกหมุ่นอยู่กับข้อผิดพลาดของตัวเอง ทำไมไม่มุ่งมั่นที่จะหาทางกลายเป็นคนเข้มแข็งแทนล่ะ”
“คุณอาจจะคิดว่าตัวคุณในตอนนี้ไม่สามารถปกป้องสิ่งใดได้เลย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนจำนวนมากที่ไม่อาจจะปกป้องได้แม้แต่ตัวเอง คุณยังถือว่าดีกว่ามากแล้ว” น้ำเสียงเยือกเย็นของจ้าวฉิงทำให้ผู้คนไม่อาจเพิกเฉยต่อคำชี้แนะของเธอได้ “ตอนนี้ สิ่งที่คุณต้องทำคือตะเกียกตะกายกลับขึ้นมาให้ได้ และรวบรวมความมุ่งมั่นศรัทธาในชีวิตของตัวเองเข้าด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็ว ย่อมต้องมีวันที่คุณสามารถโยนชีวิตเยี่ยงสุนัขทิ้งไป และพลิกคว่ำชะตากรรมของคุณ”